วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขอเล่าประสบการณ์ที่คนไม่เคยไม่แต่งงาน ไปร่วมงานแต่งของคนอื่น
ก็ได้ความรู้สึกที่แปลกๆไปอีกแบบหนึ่ง  ยิ่งผู้ร่วมนั่งโต๊ะจีนในงานเลี้ยงมีความหลากหลายในด้านอายุ
และสถานะภาพ ก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดที่ไหลพรั่งพรูออกมาแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนหน้านี้เลยครับ
เข้าเรื่องเลยดีกว่า  วันก่อนได้ไปงานแต่งงานของเพื่อนเรียนร่วมชั้น แต่คงไม่ได้ร่วมรุ่นครับ เพราะผมกับเพื่อนที่เป็นเจ้าสาว อายุก็แตกต่างกันมาก  มีเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันไปให้กำลังใจด้วยกันหลายคน มีทั้งที่เป็นพยาบาลโสด และสละโสด แต่เข้าสู่เลขสี่  ที่เป็นครูโรงเรียนยังไม่แต่งงานทั้งสาวและเลยวัยสาวมาแล้ว  รถเริ่มสตาร์ทรถเวลา 18.30 น.
มีรถเพื่อนอีกคันตามหลังเป็นองค์รักษ์ และโดยมีเพื่อนอีกคนเป็นนาวิเกเตอร์ให้ ปรากฎว่าทำได้ดีมากๆ
ไม่หลงทางครับ ขณะผมขับรถไปก็เปิดเพลงฟัง ไม่คิดว่าจะมีผู้โดยสารในรถขอให้ช่วยก็อปเพลงที่เปิด
ให้ฟัง  แสดงว่าผู้โดยสารและ พขร. อยู่ในยุคเดียวกันครับ  ก็รวมกันทั้งรถประมาณเกือบ
200 ปีเห็นจะได้  ถึงสวนอาหารนาทองเวลา 19.10 น. เข้าไปก็พบคู่บ่าวสาวยืนรอ
ให้เก็บภาพเป็นที่ระลึก เจ้าบ่าวในชุดทักซิโด้สีขาวดูเก๋และเท่ห์ ถ้าเปรียบเทียบกับ
ผมชายโสดในกลุ่ม ก็ต้องเข้าเกียร์ถอยหลัง เพราะชุดที่ใส่ธรรมดามากๆ  ส่วนเจ้าสาว
ของเราก็อยู่ในชุดวิวาห์สีไข่ไก่ ดูสง่า แฝงรอยยิ้มที่น่ารักและสดใสร่าเริง
เพราะเป็นคาแร้กเตอร์ของเพื่อนอยู่แล้ว  เก็บภาพเรียบร้อย ก็เข้าในงานเลี้ยง
พบกับกลุ่มของเพื่อนอีกภาคสาขามาด้วยกัน 6-7 คน แต่ที่แน่ๆ เพื่อนผู้ชาย นามสมมติ ในกลุ่มที่นั่งอยู่ บอกได้เลยว่า ใบหน้าใสมากๆ เพื่อนๆวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะแป้ง แต่ผมเดาเอาว่าเป็นเพราะอิ่มเอิบ
ยินดีร่วมกับเจ้าสาว สังเกตได้ในชั้นเรียนจะเป็นคู่หู คุยกันได้สนุกและเฮฮา
ทักทายเสร็จ นั่งโต๊ะ อาหารมาครับ เยื่ยมๆทัั้งนั้น กระเพาะปลา  เพื่อนพยาบาลโสดบอกว่าอร่อยสุด
ส่วนเพื่อนพยาบาลจิตเวชชอบข้าวเกียบกุ้งมาก  เพื่อนที่เป็นครูกทม.โสดอยู่ บอกว่าเย็นตาโฟแห้งรสจัดดี  ส่วนเพื่อนพยาบาลที่ไม่โสดไม่มีคอมเม้นอะไรแต่เห็นทานได้ทุกอย่างอร่อย แต่จะอินไปกับ Presentation บนจอ (ผมเดาว่าสมัยที่เพื่อนแต่งงาน เทคโนโลยีคงยังมาไม่ถึง จะมีก็แต่จอหนังกลางแปลง หนังขายยา ให้คู่หนุ่มสาวได้นั่งเสื่อจู๋จี๋กัน)   ส่วนเพื่อนที่เป็นครูอีกคนหนึ่งซึ่งเลยวัยสาวมาแล้วชอบหมี่ซั้วผัดเป็นอย่างมาก ขนาดว่าใช้ตะเกียบยังไม่คล่อง แต่สามารถคีบได้เป็นมัดๆ
ส่วนตัวผมเองกำลังหิว อร่อยไปหมด  ทำให้ลืมนึกถึงเกี๋ยวเตี๋ยว 2 ชามกินเมื่อตอนกลางวันที่มหาวิทยาลัยไปฉับพลัน  เพลงก็เพราะ นักร้องเสียงดีมาก มีเสียงชมจากโต๊ะที่ผมนั่ง และโต๊ะข้างๆ 
หลังดนตรีจบก็มีการจับฉลากรางวัลสำหรับผู้มาร่วมงาน เป็นตุ๊กตาหมีน่ารัก พวกเราก็หวังว่าจะได้สักตัวหนึ่งมาเป็นโชคสำหรับผู้จะแต่งงานเป็นคิวต่อไป  ในวงก็คุยกันทำไมยังไม่แต่ง มีหรือยัง คบใครอยู่
ยิงคำถามแบบไม่เอาอายุมาเป็นเกณฑ์ครับ  ใครจะแต่งเป็นคนต่อไปน่ะ ใครจะได้ช่อดอกไม้ของคู่บ่าวสาว  มีการใช้การวิจัยเชิงปริมาณมาจับโดยใช้สถิติเปรียบเทียบโดยใช้การวิเคราะห์แบบ
One-way Anova หรือ Regression ขั้นสูง  เพราะอายุส่วนใหญ่ของสมาชิกร่วมโต๊ะก็มีแต่ถดถอยกันเสียซะส่วนใหญ่  ปรากฏว่าวืดกันหมดครับ ทั้งรางวัลตุ๊กตาหมี ทั้งช่อดอกไม้ของเจ้าสาว  สุดท้ายก็กลับมาคิดว่าเรียนให้จบจะดีกว่า
เมนูอาหารปิดท้ายด้วยของหวานสุดโรแมนติก ปอเปี๊ยะไส้กล้วยหอมจุ่มช็อคโกแล็ค เมนูนี้ทุกคน
สรุปว่าอร่อยจริง  ทิ้งท้ายตัวผมเองก็อยากจะสั่งพนักงานเส็ร์ฟขอผลไม้พิเศษให้กับโต๊ะของพวกเรา
ปิดงาน นั่นคือ แห้วกระป๋องครับพี่น้อง....555  เวลา 21.45 น.ก็ได้เวลากลับบ้านกัน  ผมอาสาไปส่งเพื่อนๆที่อยู่ในเส้นทาง  หลังจากนั้นก็นั่งขับรถมาคนเดียวก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย  พอดีเพลงในรถก็ดังขึ้นมา  ....อยู่คนเดียว ดีกว่า.....ของปั่น   ก็โยงความคิดไปถึงเรื่องงานวิจัย และ Seminar ผมอาจจะขอ
ท่านอาจารย์ทำวิจัยเชิงคุณภาพ เรื่องของพืชชนิดหนึ่ง..."แห้ว ทำไมจึงคู่กับความผิดหวัง กรณีศึกษานักศึกษาป.เอกจิตวิทยา การให้คำปรึกษารุ่นที่..."  เครื่องมือที่ใช้ in-depth interview, observation ในชั้นเรียน, Focus group  แบบสอบถาม Summerated หรือ Likert Scale, และการจัดเวทีเพื่อคืนข้อมูลสู่กลุ่มตัวอย่าง

ส่วนตัวผมเองก็ขอร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนรู่นน้องให้มีความสุขในชีวิตคู่ สมหวังตลอดไป

ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ตราบนานเท่านาน 
สวัสดีครับ
วันนี้ผมขอเป็นมือใหม่ในบล็อกเกอร์นี้  ก็อยากจะแชร์สิ่งที่ไปเจอะเจอมาเล่าสู่กันฟัง ในแง่มุมของการมีจิตที่ดี ความคิดดี แล้วความสุขก็จะตามมาครับ  เอาเริ่มต้นเลยครับ
วันหนึ่งมีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
เข้าใจว่าเพื่อนคงเครียดเรื่องสอบ...หรือเปล่า? หรือเป็นเรื่องของหัวใจ?  หรือเป็นเรื่องของอารมณ์ ความคิด?  ผมหาเหตุผลไปเรื่อยโดยเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง
อันนี้เรียกว่าปรากฏการณ์ทึกทักเอาเอง (Fundamental attribution error) 
แรกว่าจะนั่งรถเมลสาย 72 ลงหน้ากระทรวงต่างประเทศ
เดินอีกประมาณ 500 เมตร ก็ถึงโรงพยาบาล   แต่มองเวลาแล้ว
อาจจะไม่ทันเวลาเยี่ยม  เลยอาศัยบริการรถแท็กซี่่ ก็เลือก
เอาคันที่ไม่มีการเมือง เพราะขี้เกียจคุยครับ เดี๋ยวพาลทะเลาะเบาะแว้ง
พอตกลงกันได้ ก็ขึ้นนั่งด้านหลัง
โชเฟอร์ก็ไม่พูดอะไร  แต่ที่น่ากังวลใจคือ  แกเริ่มเอามือเกาหัว
ผมก็สังเกตที่ศีรษะของโชเฟอร์  เอ้า เป็นขี้กากนี่นา หรือชัณตุประมาณนั้น
แอร์ก็พ่นผ่านแกมาหาผม  กลิ่นในรถก็แปลกๆ  แกขับไปมือหนึ่งจับพวงมาลัย
อีกมือเกาหัว แคะหนังศีรษะไปเรื่อย   แถมมีดีดให้ร่องลอยอยู่ในรถอีก
โอ้แม่เจ้า...จากเรื่องปลอดการเมือง กลายเป็นเรื่องขี้กาก  แล้วผมก็กำลังจะได้รับอานิสงฆ์จาก
แท็กซี่คันนี้หรือเปล่า  ไม่คิดอะไรมาก เรียน Solution-Focused Brief Therapy มาแล้ว
ปัญหาไม่ใช่ปัญหา  ไปที่ solution เลย  จะลงจากรถทันทีเพื่อแก้ปัญหาก็ไม่ SFBT แน่นอน
solution คือไปถึงที่หมาย  ตอนนี้อยู่ในรถสิ่งที่ทำได้ดีสุด ทำใจให้สงบ ใช้ CBT (Cognitive Behavior Therapy) คอยสังเกตดูอนุภาคที่กระจายมาถึงเราหรือเปล่า  พยายามส่ายหัวหลบไปมา  โชเฟอร์ก็คิดว่าเราร้อน หรือมีปฏิกิริยาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในรถ  ด้วยความเป็นห่วงในการบริการลูกค้า
แกก็เลยเร่งแอร์สูงสุด  โอ้...คราวนี้ ไม่ต้องคิดอะไรแล้วครับ ลองนึกดูก็แล้วกัน
ทั้งสะเก็ดหนังหัว  กลิ่นในรถ ประดังเข้ามาด้านเบาะหลังคนนั่ง
วิชาที่เรียนมาทั้งหมดถูกขุดขึ้นมาใช้กับตัวผมเอง กายจิตสมอง ทฤษฎีจิตวิทยา ใช้หมด
พอถึง รพ.รามา ลงจากรถ สิ่งแรกที่ทำคือ เอามือขยุ้มหัว
เหมือนสระผม จินตนาการว่าสิ่งที่ร่องลอยของแกมาติดอยู่ที่เรา ปัดๆๆ....ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า
แต่เอาปลอดภัยไว้ก่อน  ขณะที่ปัดหัวอยู่ พบบางสิ่งติดที่หัว....สะเก็ดหนังหัว...ของใคร?...ซวยแล้ว
คิดในใจ คิดถึงร้านซาลอนถ้ามีคงเข้าสระผมก่อนเข้าเยี่ยมเพื่อน  แต่สุดท้าย เป็นใบไม้ปลิวมาตก
โล่งอก... จากนั้นเดินไปร้านเซเว่น คิดอยู่ว่าจะซื้ออะไรฝากให้คนที่เพิ่งรับการผ่าตัด
รังนก แบรนด์..เห็นเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเท่ากับน้ำตาลหนึ่งช้อน ถ้าจะเชื่อได้เพราะเพื่อนเป็นพยาบาล
ช่อดอกไม้ ก็กลัวว่าจะแพ้ละอองเกสร  แพมเปอร์สก็สำหรับคนคลอดลูก  พอดีเหลือบไปเห็น
กระเช้าผลไม้ เหมาะเลยครับท่าน มีทั้งแอปเปิ้ล ส้ม องุ่น ลุกพลับ  หิ้วออกจากร้านก็เป็นที่สังเกต
ของผู้คนพอสมควร ผมก็เขินบ้างเหมือนถือร่มสีชมพู  แต่คิดว่ากระเช้าผลไม้น่าจะดูดีมาก คนถึงได้มอง
คราวนี้ก็ต้องตามหาตึก ห้อง เตียง  ก็ไม่ยากเย็น อาศัยถามด่ะ  เริ่มจากพนักงานเข็นเตียง ไม่ตอบแต่ชี้นิ้ว พี่แกคงเบื่องาน เห็นแต่คนนอนเตียง ชีวิตก็เลยเฉาตาม ก็เข้าใจและรับได้กับการชี้นิ้วของแก ผมก็ตอบขอบคุณตามธรรมเนียม
เจอตึก ก็เดินขึ้นชั้น 5 เพราะรอลิฟต์ไม่ไหวทั้งช้าทั้งคน   เดินไปแต่ละชั้น ก็เห็นแต่คนเจ็บคนป่วยนั่งรอ
ก็ทำให้คิดถึงสุภาษิตที่ว่า ปรมา โรคา พยาธิ....อะไรประมาณนี้แหละครับ แปลว่าการไม่มีโรค เป็นลาภของชีวิต  พอถึงห้องศัลยกรรมหญิง ก็เข้าไปหาเตียงเลข 34 (หวยออก?)  เจอเพื่อนนอนด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ไม่มีสีหน้าของความเจ็บป่วย หรือทุกข์กังวล ก็ทำให้คิดถึงว่าหากร่างกายไม่อยู่ในสภาวะปกติ แต่ทำจิตให้ปกติ รับมือกับความไม่ปกติของร่างกายนั้น ก็จะทำให้ความคิดเป็นปกติดี และผลก็คือใจที่ปกติมีความสุข   ผมได้ทักทายครอบครัวของเพื่อน มีทั้งพ่อแม่ พี่ชาย พี่สาว ที่มาให้กำลังใจ เป็นยาวิเศษยิ่งกว่าโอสกที่คุณหมอให้เสียอีก  วันนี้ถือว่าเป็น Family day  ผมทักทาย พูดคุยกัเพื่อนซึ่งดูแข็งแรงดีครับ ผ่าตัดแผลยาวประมาณ 5 เซนติเมตร  กะเอาจากช่วงนิ้วมือที่เพื่อนบอก   เวลามาถึงเที่ยงพอดี อาหารมาเสริฟที่เตียง เป็นข้าวต้ม หมูปั้นทอด และลอดช่องของหวาน  แต่พนักงานเสริฟยกอีท่าไหนไม่ทราบ
ลอดช่องลงไปรวมกับข้าวต้มบางส่วน  เพื่อนก็บอกว่าไม่เคยทานแบบนี้เลย ถือว่าเป็นเมนูใหม่ นี่แหละครับ คิดดี จิตดี มีความสุขกับเมนูที่เลือกไม่ได้ แต่เป็นใจของเราที่เลือกจะคิดที่จะมีความสุขกับมัน ก็เข้าตำราของ Gestalt  Here and Now   ผมก็เลยไม่รบกวนเวลาอิ่มของเพื่อน ร่ำลาเป็นที่เรียบร้อย
ออกจาก รพ. เห็นแท็กซี่เข้าคิวรอผู้โดยสาร  คิดจะเรียก  อย่าดีกว่า... ประสบการณ์ตอนขามายังหลอนอยู่  เลยเดินไปขึ้นรถเมลแทน  ขณะเดิน ก็ภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้เพื่อนหายไวๆ และมีสุขพละกำลังที่่แข็งแรงกลับมาโดยเร็ว  แถมด้วยพละศึกษา และสุขศึกษาที่สมบูรณ์อนามัยอีกด้วยครับ