วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

Postmodern Therapies (SFBT & Narrative Therapy)

 

SOLUTION-FOCUSED BRIEF THERAPY

AND NARRATIVE THERAPY

 

ประวัติโดยสังเขปของผู้ร่วมก่อตั้ง Postmodern Therapies

1.    Insoo Kim Berg

เป็นผู้ร่วมพัฒนาแนวคิด Solution-focused approach ท่านเป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Brief Family Therapy Center ใน Milwaukee มลรัฐ Wisconsin จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 2007  ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำในการปฏิบัติ Solution-Focused Brief Therapy (SFBT) ท่านจึงเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการในสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, เดนร์มาก, อังกฤษ, และเยอรมันนี   งานเขียนของท่านได้แก่

·       Working With the Problem Drinker: A Solution-Focused Approach (Berg & Miller, 1992)

·       Interviewing for Solutions (De Jong & Berg, 2008)

2.    Steve De Shazer

เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิก SFBT ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการวิจัยของสถาบัน Brief Family Therapy Center ใน Milwaukee เป็นเวลานานหลายปี  ท่านเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม ดังนี้

·       Keys to Solutions in Brief Therapy (1985)

·       Clues: Investigating Solutions in Brief Therapy (1988)

·       Putting Difference to Work (1991)

·       Words Were Originally Magic (1994)

·       More Than Miracles: The State of the Art of Solution-Focused Brief Therapy (2007)

          ท่านได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ และให้คำปรึกษาอย่างกว้างขวางในอเมริกาเหนือ, ยุโรป,       ออสเตรเลีย และเอเชีย   ท่านสิ้นใจในเดือนกันยายน 2005 ในขณะที่กำลังทัวร์การสอนในยุโรป

3.    Michael White

เป็นผู้ร่วมก่อตั้งขบวนการ Narrative Therapy พร้อมกับ David Epston  ท่านทำงานอยู่ที่ Dulwich Center ใน Adelaide ประเทศออสเตรเลีย  งานของท่านที่ทำกับครอบครัวและกลุ่มบุคคลที่เป็นหมู่คณะ ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ  ผลงานเขียนของท่านได้แก่

·       Narrative Means to Therapeutic Ends (White & Epston, 1990)

·       Reauthoring Lives: Interviews and Essays (1995)

·       Narrative of Therapists’ Lives (1997)

4.    David Epston

เป็นผู้ร่วมพัฒนา Narrative Therapy  ท่านเป็นผู้อำนวยการร่วมของสถาบัน Family Therapy Center ใน Auckland ประเทศนิวซีแลนด์   ท่านสอนและให้การอบรมเชิงปฏิบัติการในออสเตรเลีย, ยุโรป, อเมริกาเหนือ   ท่านร่วมเขียนหนังสือ ได้แก่

·       Narrative Means to Therapeutic Ends (White & Epston, 1990)

·       Playful Approaches to Serious Problems: Narratives Therapy With Children and Their Families (Freeman, Epston, & Lobovits, 1997)

 

Introduction to Social Constructionism

          การให้คำปรึกษาแต่ละรูปแบบมีลักษณะความเป็นจริง (reality)ตามทฤษฎีที่มันวางรากฐานอยู่  ความจริงหลายประการที่ดำรงคงอยู่และขัดแย้งกันนำไปสู่ความสงสัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสักวันหนึ่งคงจะมีเพียงทฤษฎีเดียวที่เป็นสากล สามารถอธิบายความเป็นมนุษย์ (human being)และระบบที่เราอาศัยอยู่  พวกเราได้เข้าสู่ยุค postmodern ซึ่งความจริง (truth)และความเป็นจริง (reality)จะวางอยู่ในกรอบของประวัติศาสตร์และบริบท (history and context) มากกว่าข้อความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง (immutable facts)

            พวก modernist เชื่อว่าความเป็นจริง (reality)ที่เป็นแก่นแท้ มีอยู่จริง และสามารถรู้ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์  พวกเขายังเชื่อว่าความเป็นจริงดำรงอยู่ได้อย่างอิสระ  พวก modernist เชื่อว่า คนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากกฎข้อบังคับ (objective norms) ต้องได้รับการรักษา เช่น โศกเศร้าทุกวี่ทุกวันจนเกินขีดจำกัดที่กฎของสังคมยอมรับได้ ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ปกติ (abnormal) และต้องรับการรักษาเพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติ (normal)

          พวก postmodernist กลับเชื่อว่าความเป็นจริงไม่สามารถดำรงอยู่อย่างอิสระ      social constructionism ถือเป็นพวกหนึ่งของ postmodernist  พวกนี้เน้นความเป็นจริงของคนไข้โดยไม่ดูที่ความเป็นเหตุเป็นผล (Gergen,1991; Weishaar, 1993)  พวก social constructionistยึดหลักการที่ว่าความเป็นจริง (reality)ขึ้นอยู่กับการใช้ภาษา (language) และสถานการณ์ (situation)ที่บุคคลอาศัยอยู่  ความเป็นจริงถูกสร้างจากสภาพแวดล้อม เช่น เมื่อบุคคลหนึ่งยอมรับคำนิยามของความทุกข์  ความทุกข์ก็จะอยู่ในตัวเขาเพราะเขายอมรับมัน  ดังนั้นก็เป็นการยากที่จะรับสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่มีอยู่ในตัว (subjective) เช่น การมีอารมณ์ดี (good mood)

          ตามแนวคิดของ postmodern, ภาษาและการใช้ภาษาในการบอกเล่าเรื่องราวทำให้เกิดความหมายมากมาย  เรื่องเล่าแต่ละเรื่องก็เป็นจริงสำหรับผู้เล่า  ยิ่งกว่านั้นแต่ละคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็สามารถรับรู้ถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์นั้นๆได้    เมื่อ Kenneth Gergen (1985, 1991, 1999)เริ่มศึกษาวิธีการที่บุคคลสร้างความหมายในแวดวงความสัมพันธ์ทางสังคม  แนวคิดการสร้างทางสังคม (social constructionism) ก็ถือกำเนิดขึ้น   Berger และ Luckman (1967)เป็นกลุ่มแรกที่ใช้คำ “แนวคิดการสร้างทางสังคม” (social constructionism) และถูกนำไปใช้ในการรักษาทางจิตกับบุคคล และครอบครัว

 

          Historical Glimpse of Social Constructionism

            (เกล็ดประวัติศาสตร์ของ social constructionism)

-          หลายร้อยปีที่แล้ว Freud, Adler, และ Jung เป็นบุคคลที่มีส่วนในการปรับมโนทัศน์ (Paradiam Shift) ของศาสตร์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา, ปรัชญาศาสตร์, วิทยาศาสตร์, แพทย์ศาสตร์, และศิลปะ   ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 21 แนวคิด Postmodern Approaches ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งของการปรับมโนทัศน์ และมีอิทธิพลต่อการรักษาแนวจิตวิทยา (psychotherapy)  พวก Modernist ที่มุ่งค้นหาเฉพาะเรื่องความเป็นตัวตนของมนุษย์และความจริง ก็ถูกแทนที่ด้วยแนวคิดของ Postmodernism ที่มุ่งประเด็นเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของมนุษย์ในสังคม ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายและพหุโครงสร้าง ซึ่งต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยอยู่ร่วมกัน และก่อให้เกิดมุมมองทางสังคมที่กว้างขึ้น   การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการรื้อเรื่องราวเก่าๆทางวัฒนธรรมทิ้งไป  และเสริมสร้างด้วยความหมายของชีวิตใหม่

 

-          มีกระบวนการรักษามากมายที่ผุดขึ้นตามแนวคิด Postmodernism ได้แก่

·       Collaborative language system approach (Anderson & Goolishian, 1992)

·       Solution-focused brief therapy (de Shazer, 1985, 1988, 1991, 1994)

·       Solution-oriented therapy (Bertolino & O’Hanlon, 2002; O’Hanlon & Weiner-Davis, 2003)

·       Narrative therapy (White & Epston, 1990)

 

          The Collaborative Language System Approach

-          การสนทนาแบบไม่มีโครงสร้างในแนวคิดของ constructionist ถูกนำเสนอโดย Harlene Anderson และต่อมาโดย Harold Goodlishian (1992) แห่งสถาบัน Houston Galveston แย้งกับทฤษฎ๊ที่ให้counselorอยู่เหนือเหนือclient ในฐานะผู้ควบคุมกระบวนการรักษา    Anderson & Goolishian ได้พัฒนารูปแบบการรักษาในลักษณะการให้ความเอาใจใส่, ดูแล, และอยู่กับ client  แนวคิดนี้เหมือนกับทฤษฎี person-centered ของ Carl Rogers ยกเว้นในเรื่อง self-actualization  ทั้งสองเชื่อว่าชีวิตมนุษย์เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของเรื่องเล่าและประสบการณ์ของส่วนตัว และของครอบครัว ซึ่งดำเนินเป็นกระบวนการและให้ความหมายในชีวิตผู้คน   มนุษย์เจริญชีวิตอยู่ภายในระบบของสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเป็นผลผลิตของปฏิสัมพันธ์ร่วมกันทางสังคม  เรื่องเล่าประสบการณ์ของมนุษย์ก็เกิดจากปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมเช่นเดียวกัน  ดังนั้น การรักษา (Therapy) คือกระบวนการของระบบที่ก่อตัวในรูปแบบของการสนทนาระหว่าง counselor กับ client

-          เมื่อคนมาเพื่อรับการรักษา บ่อยครั้งเขาจะยึดติดกับรูปแบบการสนทนาอย่างมีระบบ ซึ่งเป็นเรื่องของภาษา, ความหมาย, กระบวนการ ที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาของเขา  ดังนั้นการรักษาจึงเป็นระบบของการสนทนาอีกรูปแบบหนึ่ง อันมีเป้าหมายที่จะบริหารจัดการและแก้ไขปัญหา (Anderson & Goolishian, 1992, p.27)  มันเป็นความสมัครใจของ counselor ที่จะเข้าสู่บทสนทนาด้วยท่าที not-knowing position ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้เกิดสัมพันธภาพที่เอาใจใส่กับclient   ด้วยท่าที not-knowing position, counselorไม่แสดงความรู้ความ สามารถ และประสบการณ์ที่สั่งสมมานานของตนเองเหนือclient  แต่ปรับตนเองให้เข้ากับบทสนทนาของ client ด้วยท่าทีที่เอาใจใส่และสนใจที่จะค้นหา  ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เจาะเข้าไปในโลกของclientให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้   ส่วนclientกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้ข้อมูล แบ่งปันเรื่องราวชีวิตของตนเองให้กับ counselor

-          Not-knowing position เป็นท่าทีของการวางตัวที่เต็มด้วยความเห็นอกเห็นใจร่วมทุกข์ร่วมสุข (Empathy) กับคู่สนทนา ซึ่งบ่อยครั้งแสดงออกด้วยรูปแบบของคำถามที่มาจากใจจริง และมีลักษณะต่อเนื่อง  แต่ก็ไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจเร็วเกินไป (Anderson, 1993, p.331)

-          Counselor ใช้คำตอบของ client มาตั้งคำถามข้อต่อไป เพื่อสืบเสาะหาเรื่องราวชีวิตของclient โดยในความคิดของcounselorต้องไม่มีธงหรือการชี้นำทางให้กับบทสนทนา  กล่าวคือ ปล่อยให้บทสนทนาลื่นไหลไปตามที่clientเป็นผู้กำกับเรื่องราวชีวิตของตน  วิธีการนี้เหมือนกับวิธีการของโสคราเตส (Socratic method)  “การบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง เป็นการนำเสนอประสบการณ์ของเขา, มันเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ ณ เวลาปัจจุบัน” (Anderson & Goolishian, 1992, p.37)

-          Not-knowing position ถือเป็นหัวใจของ Postmodernism ทั้ง SFBT และ Narrative therapy

 

Solution-Focused Brief Therapy  (SFBT)

Introduction

-          กระบวนการ SFBT เป็นการมองข้ามตัวปัญหา ไปสู่การมองที่ทางออกหรือการแก้ไขปัญหา  Steve de Shazer และ Insoo Kim Berg เป็นผู้บุกเบิกวิธีการนี้ ณ สถาบัน Brief Therapy Center ใน Milwaukee ประมาณปี 1970 กว่า  อย่างไรก็ตามทั้งสองยังไม่พอใจกับรูปแบบที่ทำอยู่  ดังนั้นประมาณปี 1980 กว่า de Shazer ได้ร่วมมือกับนักบำบัดทางจิตวิทยาหลายคน ได้แก่  Eve Lipchik, John Walter, Jane Peller, Michelle Weiner-Davis, และ Bill O’Hanlon ซึ่งแต่ละคนก็มีงานเขียนเกี่ยวกับ Solution-Focused Therapy และก่อตั้งสถาบันฝึกอบรมในเรื่องดังกล่าวตามแนวทางของตนเอง  แม้ว่าทั้ง O’Hanlon และ Weiner-Davis จะได้รับอิทธิพลจากงานดั้งเดิมของ de Shazer และ Berg แต่ทั้งสองก็แตกสาขาออกมาเป็น Solution-Oriented Therapy

-          เนื่องจาก Solution-focused brief therapy, Solution-focused therapy, และ Solution-oriented therapy ต่างก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากกว่าลักษณะแตกต่างกัน  ดังนั้นในบทนี้ผู้เขียนจึงเน้นที่จะอธิบายลักษณะคล้ายคลึงกันมากกว่าความแตกต่าง

Key Concepts (De Shazer, 1988, 1991)

-         ไม่สนใจในเรื่องอดีต  มุ่งปัจจุบันและอนาคต

-         ให้ความสำคัญน้อยมากกับการเข้าใจปัญหา และการรวบรวมปัญหาเพื่อวิเคราะห์ทางออกให้กับ client  เพราะการแก้ปัญหาของแต่ละคนต่างกัน และเหมาะกับเฉพาะตัวบุคคล  โดยจะให้ client เลือกเป้าหมายที่ตนเองอยากจะทำให้สำเร็จ

 

1.    Positive Orientation 

-         Optimistic assumption àมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีศักยภาพและความสามารถที่จะสร้างหนทางเพื่อเอาตัวรอด

-         ยอมรับ client อย่างที่เขาเป็น  กระตุ้นการมองโลกในแง่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดในตัว client ว่าการเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นไปได้ (ไม่ว่าจะดีเลวขนาดไหน มนุษย์ก็ยังมีเมล็ดแห่งความดีที่เมื่อได้รับการรดน้ำ พรวนดิน มันก็จะงอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่ให้นกมาเกาะอาศัยได้)

-         Client มาด้วยปัญหาที่รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา  ตัวเขาจะพยายามคิดหาทางออกโดยไม่รู้ว่าเขาเองถูกกักให้วนเวียนอยู่ใน Fixed problems (Story rooted shapes the future) ดังนั้น counselor ต้องช่วย client ให้ก้าวข้ามสภาพที่ปัญหารุมเร้า สู่ทางออกที่มีความเป็นไปได้มากมาย  อาจจะใช้เทคนิคโดยการให้ client เขียนทางเลือกหลายๆทางที่จะแก้ปัญหา

2.    Looking for what is working

-         SFBT มุ่งสิ่งที่ client กำลังทำอยู่ในชีวิตประจำวัน (เน้นปัจจุบัน) ตรงข้ามกับความคิดดั้งเดิมซึ่งเน้นไปที่ตัวปัญหาของ client

-         Client เล่าชีวิตของตนให้ฟัง  บางคนถึงกับขนาดเชื่อว่าไม่มีอะไรจะมาฉุดชีวิตของเขาให้ดีขึ้นได้ หรือเลวร้ายกว่านั้น คือยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลงทุกวัน

-         Counselor ต้องพยายามช่วยให้ client หลุดออกจากวังวนของปัญหาชีวิต โดยสร้างความหวังให้เกิดในตัว client ที่จะค้นพบสิ่งที่อยู่นอกเหนือกรอบปัญหา โดยเฉพาะในช่วงที่ปัญหายังไม่ถาถมเข้ามา   การให้ client เล่าเรื่องงาน, ชีวิตประจำวัน, สิ่งที่กำลังทำอยู่ ก็จะช่วยให้ตัวเขาเองมองเห็นถึงประโยชน์และการบรรลุเป้าหมายจากงาน,ชีวิตประจำวัน และสิ่งที่กำลังทำอยู่ เช่น “บอกผมหน่อยว่า กี่ครั้งที่คุณรู้สึกว่าชีวิตมันดีขึ้น เมื่อสิ่งต่างๆมันเข้าที่เข้าทาง”  ด้วยวิธีการนี้ ก็จะไม่มาเสียเวลานั่งคิดถึงปัญหา นั่งกลุ้มอกกลุ้มใจ แต่มองหาทางออกใหม่ๆที่มาจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ (ตัวอย่าง ปี40 ต้มยำกุ้ง จากนักธุรกิจร้อยล้าน มาขายแซนวิช, ขับแท็กซี่)

 

3.    Basic assumptions guiding practice.

-         ต้องการสร้าง model ซึ่งนำ client สู่การเปลี่ยนแปลง และบรรลุเป้าหมายชีวิต โดยตั้งสมมติฐาน ดังนี้

·       ทุกคนมีศักยภาพที่จะลุถึงการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล  แต่บางครั้งมันถูกบล็อกด้วยสมองที่มัวแต่ครุ่นคิดถึงปัญหา

·       ต้องมีน้ำใจของ client +  solution talk

·       ปัญหาทุกปัญหามีข้อยกเว้น  ดังนั้นปัญหาที่สุมอกอยู่ สามารถยกออกไปได้  การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น  ทางออกใหม่ๆก็จะตามมา

·       ปกติclientจะสนใจและเล่าเรื่องของตนเองฝ่ายเดียว โดยเฉพาะเรื่องที่หนักอกหนักใจ  ต้องช่วยให้clientมีมุมมองที่กว้างขึ้น ให้สำรวจอีกด้านหนึ่งของเรื่องที่เล่า เหมือนกับการดูเหรียญ ต้องมองดูทั้งสองด้าน

·       ก้าวเล็กๆของการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นพื้นฐานของการแก้ปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิต

·       เมื่อ client ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต  counselor ต้องสนับสนุนวิธีการของ clinet และช่วยปรับปรุงให้ดีขึ้น  ไม่ใช่ออกแบบแนวทางชีวิต และบังคับให้ client ใช้วิธีการของตน  (clients are experts on their own lives)

·       ไม่มีสูตรเฉพาะสำหรับการแก้ปัญหาที่เหมือนกัน  clientหลายคนอาจจะมีปัญหาคล้ายกัน แต่ solution ของแต่ละคนต่างกัน เพราะ client แต่ละคนก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว

·       สำหรับ Walter and Peller (2000) ใช้ personal consultation แทน therapy, ใช้ helper แทน expert เพราะในบรรยากาศวงสนทนา solutionต้องมีทิศทางตามclient   counselorแสดงบทบาทผู้ช่วยเหลือและให้กำลังใจclientที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามแนวทาง solutionของclient

 

 

 

 

 

The Therapeutic Process

-         เน้น collaborative approach vs. educative approach เพราะ educative approachเป็นแนวคิดเก่า โดย counselor จะสั่งสอน และจัดเตรียมทางแก้ปัญหาให้ client เสร็จสรรพเรียบร้อย

-         Client เป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับชีวิตของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอดีต หรือเรื่องอนาคต  ดังนั้นถ้า client ร่วมใจร่วมแรง (collaboration) กับ counselor ตั้งแต่เริ่มกระบวนการจนจบ ความสำเร็จในการรักษาก็จะสูงมาก

-         4 ขั้นตอนของกระบวนการ SFBT โดย Walter and Peller (1992)

1.    ค้นหาให้พบว่า client ต้องการอะไร  แทนที่จะรู้สิ่งที่ client ไม่ต้องการ

2.    ไม่ควรไปจำกัดขอบเขตของ client ด้วยการให้เจ้าตัววิเคราะห์ปัญหาของตนเอง  แต่ควรส่งเสริมและให้กำลังใจ client ก้าวเดินต่อไปในสิ่งที่กำลังทำอยู่

3.    ถ้าสิ่งที่ client กำลังทำอยู่ไม่เกิดผล  ควรแนะนำให้เขาลองวิธีการใหม่ที่ต่างออกไป

4.    พยายามทำการให้คำปรึกษาแต่ละครั้งสั้นกะทัดรัด เหมือนว่าเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย

-         สมัยก่อน การให้คำปรึกษาแก่ client ก็คือการลงไปดูที่สาเหตุของปัญหา โดยมีความเชื่อว่าถ้ารู้ถึงสาเหตุ และแก้ไขได้ตรงสาเหตุ  ปัญหาก็จะถูกแก้ไขด้วย  แต่ De Shazer (1991) กลับมองว่า client สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้โดยไม่ต้องย้อนกลับไปสำรวจต้นตอของปัญหา De Jong & Berg (2008) สนับสนุน และเสนอขั้นตอนดังนี้

1.    Client บอกเล่าเรื่องปัญหาส่วนตัว ขณะที่ counselor ฟังอย่างตั้งใจและให้เกียรติ  และทำให้ client รับรู้ว่ามี counselor พร้อมที่จะช่วย  เช่น “มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ครับ”

2.    Counselor & client ร่วมกันกำหนดและพัฒนาเป้าหมายให้เป็นรูปเป็นร่างเร็วที่สุด  โดยตั้งคำถาม “ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ถ้าปัญหาได้ถูกแก้ไข?”

3.    Counselor ถามถึงช่วงเวลาชีวิตของ client ที่ไม่มีปัญหา หรือถ้ามีก็ไม่มาก  จากนั้นช่วยให้ clientสำรวจตัวเองว่าได้ดำเนินชีวิตอย่างไรในช่วงเวลาดังกล่าว ปัญหาถึงไม่เกิด

4.    ช่วงท้ายของการให้คำปรึกษา counselorสรุปสิ่งที่พูดคุยกันมาเกี่ยวกับทางออกของปัญหา (solution building)  ให้กำลังใจ และแนะนำสิ่งที่ต้องทำและต้องเตรียมสำหรับการพบในครั้งต่อไป

5.    Counselor & client ร่วมกันประเมินถึงความก้าวหน้า และความพึงพอใจในแนวทางแก้ปัญหาโดยใช้ rating scale  clientต้องรับทราบว่าก่อนที่ปัญหาจะถูกแก้ไข อะไรคือสิ่งที่เขาต้องทำ  และก้าวต่อไปต้องทำอะไร

 

          Therapeutic Goals

-         กระบวนการ SFBT เน้นที่ change, interaction, goals

-         มนุษย์มีความสามารถที่จะกำหนดเป้าหมายของชีวิต และมีหนทางมากมายที่จะแก้ปัญหา  clientกำหนดเป้าหมายแตกต่างกันไปแล้วแต่ปัญหาของแต่ละคน  เป้าหมายที่คลุมเครือไม่ชัดเจน จะทำให้ counselor & client ไปคนละทิศคนละทาง  ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นกระบวนการSFBT จำเป็นอย่างยิ่งที่ counselor ต้องระบุให้ชัดเจนว่าclientมีเป้าหมายอะไร ต้องการอะไร และต้องการจะสำรวจประเด็นปัญหาใด  ในการพบปะครั้งแรกcounselorต้องสร้างบรรยากาศที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมให้ clientคิดไตร่ตรองความเป็นไปได้อื่นๆ

-         Counselorจะใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเล็กน้อยไม่สำคัญ แต่เป็นจริงในชีวิตและสามารถสำเร็จได้  เป้าหมายต้องถูกกำหนดขึ้นมาเมื่อชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  counselorใช้ภาษาเดียวกับclientไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์ น้ำเสียง จังหวะจะโคน  คำถามที่ใช้ต้องเปิดประเด็นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง มีคำตอบได้หลายทางเลือก และนำไปสู่เป้าหมายที่ได้กำหนดไว้  ตัวอย่างเช่น “คุณได้ทำอะไรบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา และมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งล่าสุด?” หรือ “ลองสังเกตดูว่ามีอะไรบ้างที่ดีขึ้นในชีวิตของคุณ?”

-         เป้าหมายที่ดีควรมีลักษณะคือ 1.เป็นประโยคเชิงบวก และออกมาจากclientเอง  2.เป็นกระบวนการทำได้จริง  3.เน้น here and now  4.กะทัดรัด ไม่เพ้อฝัน และสำเร็จได้จริง  5.ควบคุมโดยclient

-         Counselorต้องปล่อยให้clientรู้สึกอิสระในการแสดงความคิดเห็น และเลือกเป้าหมายโดยตนเอง  ดังนี้clientจะยอมรับเป้าหมายของตน (ไม่ใช่ของcounselor) เข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง และทำให้มันเกิดความหมายในชีวิตของตนเอง  สิ่งที่counselorพึงระวัง คือบางครั้งด้วยความกระตือรือร้น อยากที่จะช่วยเหลือclient  counselorจัดทำทุกอย่างให้ด้วยความหวังดี  แต่ตรงกันข้าม การกระทำเช่นนี้กลับทำลายกระบวนการปฏิสัมพันธ์ภายในระหว่างบุคคล (Interpersonal process) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ SFBT

-         เป้าหมายมีหลายรูปแบบ เช่น เปลี่ยนทัศนคติในการมองสถานการณ์รอบข้าง,  เปลี่ยนวิธีอื่นๆในการแก้ปัญหา,  ดึงเอาพละกำลังและศักยภาพภายในตัวclientมาใช้ให้เกิดประโยชน์   การที่จะบรรลุเป้าหมายได้ ต้องอาศัยการพูดคุยเพื่อหาทางออก (solution talk)  ไม่ใช่พูดคุยเรื่องปัญหา (problem talk) เพราะยิ่งพูดเรื่องใด เรื่องนั้นก็จะก่อตัวขึ้นมา  ยิ่งพูดเรื่องปัญหา ปมปัญหาก็จะสะสมและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ   ต่อเมื่อclientได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง พลังภายในตัวเขาก็จะถูกนำมาใช้  สิ่งที่เขาได้ทำไว้ก็จะถูกสานต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เขาตั้งไว้

 

          Therapist’s Function and Role

-         บทบาทและหน้าที่ของcounselor คือการประคับประคองclientให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองตามแนวทางที่เขาได้ไตร่ตรองและตัดสินใจเลือกที่จะเดิน  ตรงกันข้ามกับแนวคิดดั้งเดิมของการรักษา ที่counselorในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ชี้แนะ วางกรอบ และประเมินผลให้client ดังนั้นclientจะถูกทำให้เปลี่ยนแปลงตนเองในแนวทางของcounselor  แต่สำหรับSFBT counselorเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง  และclientเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ตนเองวางเป้าหมายไว้

-         Counselor ต้องสร้างสัมพันธภาพกับclientให้เกิดความร่วมมือกัน (collaboration) เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งในปัจจุบันและอนาคต   counselorต้องสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือกันให้เกิดขึ้นในการสนทนา ตั้งคำถาม และส่งเสริมให้clientรู้สึกอิสระที่จะสร้างเรื่องราวชีวิตของตนเองต่อไป

-         หน้าที่หลักของcounselor คือช่วยclientสร้างจินตนาการในสิ่งที่ตัวclientเองอยากจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แตกต่างไปจากชีวิตเดิม  เช่น “มาที่นี่ปรารถนาอะไรครับ?”,  “มันทำให้ชีวิตของคุณแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร?”,  “พอมีเครื่องหมายอะไรบ้างที่จะบอกได้ว่า ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณแล้ว?”   

 

 

 

 

 

          The Therapeutic Relationship

-         การสร้างสัมพันธภาพระหว่างcounselor & client ถือเป็นหลักพื้นฐานของ SFBT  ผลของการให้คำปรึกษาจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยนี้

-         ความไว้วางใจ(trust)ที่clientมีให้กับcounselorเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะนำclientให้กลับมาพบcounselorในครั้งต่อๆไป เพื่อรับคำปรึกษาและข้อเสนอแนะไปปฏิบัติ  ในกรณีกลับกัน ถ้าไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน  เป็นการยากที่clientจะเชื่อและเลือกปฏิบัติตามคำแนะนำของcounselor

-         สัมพันธภาพที่เกิดขึ้นทำให้counselorสามารถที่จะส่งเสริมclientให้ใช้พลังและศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเขา คิดหาทางออกให้กับปัญหาและอนาคตที่ต้องดำเนินต่อไป

-         De Shazerแบ่งสัมพันธภาพเป็น 3 รูปแบบ

1.    Customer แบบลูกค้า: ทั้งสองร่วมกันช่วยตีประเด็น(identify)ปัญหา และทางแก้ไข  สุดท้ายclientต้องรับรู้ว่าการที่จะบรรลุเป้าหมาย  ตัวเขาเองต้องเป็นผู้ออกแรงทำให้สำเร็จ

2.    Complainant แบบคนบ่น: clinetจะพรรณนาปัญหาของตนเองแบบบ่นตัดพ้อ และไม่สามารถกำหนดทางออกให้ปัญหาได้ เพราะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของตนเอง  แต่หวังจะให้ผู้อื่นโดยเฉพาะบุคคลที่มีปัญหาด้วย เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับตนเอง  โดยคิดแต่จะพึ่งcounselorให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ย

3.    Visitor แบบผู้เยี่ยมเยียน: clinetมาพบcounselorเพราะถูกส่งตัวมา  โดยที่พ่อแม่, คู่ชีวิต, ครู หรือเจ้าหน้าที่ดูแลคิดว่าตัวclientมีปัญหา  แต่ในขณะที่clientเองคิดว่าตนเองไม่มีปัญหา  ดังนั้นการกำหนดประเด็นปัญหาร่วมกันจึงทำไม่ได้

-         Counselorต้องมองให้ออกว่าclientมาในรูปแบบใด โดยสังเกตจากบทสนทนาเริ่มต้น เช่น ถ้าclientมาในลักษณะบ่นตัดพ้อ ต่อว่าผู้อื่นว่าเป็นผู้สร้างปัญหา  counselorต้องหาวิธีเข้าไปขัดจังหวะความคิดของเขา แล้วนำเขากลับมาสำรวจบทบาทของตนเองในปัญหาที่เกิดขึ้น  และถ้าเป็นไปได้ก็ต่อยอดไปถึงการหาทางออกให้กับปัญหานั้นๆ  หรือในกรณีมาแบบผู้เยี่ยมเยียน(visitor) counselorใช้เทคนิคสร้างสัมพันธภาพแบบลูกค้า(customer)ได้ทันที และเชิญชวนให้clientสำรวจตนเองว่ามีอะไรที่ตนเองคิดว่าทำแล้วจะทำให้ผู้อื่นพอใจและชื่นชม  บางครั้งclientมาในสภาพท้อแท้หมดหวัง หรือจมปลักอยู่กับปัญหาร้อยแปด หรือบอกเล่าปัญหาของตนเองไม่รู้เรื่อง  แต่ด้วยความชำนาญของcounselorที่มองออกว่าclientมาในรูปแบบใด  ก็ค่อยๆกำหนดกรอบให้clientมาเล่นบทบาทของลูกค้า(customer) ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่ดีทีสุดในการรักษา

 

Application: Therapeutic Techniques and Procedures.

-         Counselorต้องระวังไม่ให้clientมารับการรักษาจนเกิดความเคยชิน ซึ่งจะทำให้เขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะไม่มีพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต รับการรักษาแบบซ้ำซาก   counselorต้องเชื่อว่าclientเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องราวของตนเอง เทคนิคต่างๆต้องถูกนำมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นสัมพันธภาพของความร่วมมือซึ่งกันและกัน

-         Pretherapy Change: ทุกครั้งที่clientมาพบตามนัดหมาย ก่อนเริ่มกระบวนการรักษา counselorใช้เทคนิคตั้งคำถามว่า “หลังจากคุยกันครั้งสุดท้าย ได้ทำอะไรบ้างที่ทำให้ปัญหามันแตกต่างเปลี่ยนแปลงไป?”  ด้วยการตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลง(changes) จะกระตุ้นให้clientนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ได้ทำและเกิดการเปลี่ยนแปลงทางบวกในชีวิตของตน  ด้วยการใช้เทคนิคนี้จะกระตุ้นให้clientสำนึกได้ว่าตนเองมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ด้วยตนเอง   ไม่ใช่หวังพึ่งcounselorแต่ฝ่ายเดียว

-         Exception Questions: บางครั้งclientมาพบด้วยความคิดว่ามีปัญหาที่หนัก  แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่ปัญหา หรือเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย    counselorใช้เทคนิค exception questions ช่วยclientให้เห็นว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่หนักอะไรมาก และปัญหาก็ไม่ใช่จะคงอยู่ตลอดไป มันก็ควรจะมีข้อยกเว้นบ้างสำหรับปัญหาชีวิต ไม่ใช่จะกดทับชีวิตตลอด ไป  มีบางครั้งที่ปัญหาไม่เกิดและมีอะไรดีๆให้กับชีวิต นี่คือข้อยกเว้นของปัญหาและทำให้ชีวิตมีอะไรที่ดีๆขึ้นบ้าง  ดังนั้นด้วยเทคนิคนี้ counselorกระตุ้นให้clientมองโลกในแง่ดี มีความ หวังและพลังที่จะคิดหาทางออกให้กับชีวิตได้

-         The Miracle Questions:  ถือเป็นเทคนิคหลักของ SFBT  เป็นการตั้งคำถามให้clientจินตนาการทางเลือกและเป้าหมาย  เช่น “ถ้ามีมหัศจรรย์เกิดขึ้น...สมมติว่าปัญหามันถูกแก้ไขได้หมด  รู้ไหมว่าปัญหาถูกแก้ไขได้อย่างไร?,  ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?”, และมันแตกต่างกันอย่างไรระหว่างการที่ปัญหายังอยู่ กับการที่ปัญหาถูกแก้ไขแล้ว?”  คำถามเช่นนี้จะกระตุ้นให้clientเปลี่ยนแปลงชีวิต แทนที่จะนั่งจมอยู่กับปัญหา  บางครั้งclientยังกล้าๆกลัวๆ ต้องการความมั่นใจและปลอดภัย  counselorใช้เทคนิคนี้กับclientให้จินตนาการว่าตนเองกำลังทำอะไรก็ได้ด้วยความมั่นใจและรู้สึกปลอดภัย   จากนั้นให้clientบอกว่ารู้สึกแตกต่างอย่างไร  การเปลี่ยนทัศนคติการมองและวิธีการแก้ไขปัญหา ก็ทำให้ตัวปัญหาเปลี่ยนแปลงไปด้วย  การให้clientจินตนาการถึงสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนำไปสู่รูปแบบชีวิตที่ตนเองวาดฝันไว้   จะช่วยให้clientเริ่มรู้ว่ามีหลากหลายรูปแบบของชีวิตที่ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยปัญหา  และปัญหาทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อชีวิตที่วาดฝันไว้ในอนาคต

-         Scaling Questions: คือการให้คะแนนกับปัญหาในชีวิต  ใช้เทคนิคนี้กับclientที่counselorยากที่จะสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลง, อารมณ์, ความรู้สึก (de Shazer & Berg, 1988)   ตัวอย่างเช่น มีหญิงคนหนึ่งมาพบด้วยความรู้สึกกระสับกระส่าย และกังวลใจ counselorอาจถามว่า มีคะแนน 0-10,  ครั้งแรกที่คุณมาพบด้วยปัญหาดังกล่าว คุณมีคะแนนเป็น 0  และคุณจะมีคะแนนเต็ม10เมื่อสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น คือปัญหามันหายไปในพริบตา ขณะนี้คุณให้คะแนนปัญหาความกังวลในตัวคุณเท่าไร?  แม้ว่าclientจะมีการขยับคะแนนจาก 0 มาเป็น 1 ก็ถือว่าclientมีความก้าวหน้าในการลดปัญหาความกังวลลง  แล้วclientได้ทำอย่างไรความกังวลถึงลดได้?  และclientต้องการอะไรที่จะมาช่วยทำให้คะแนนขยับสูงขึ้น   เทคนิคนี้ทำให้clientมองเห็นปัญหาเป็นรูปธรรม และสามารถจัดการกับปัญหาได้ง่ายยิ่งขึ้นในรูปของคะแนนความก้าวหน้า เช่นนี้ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่clientวางเป้าหมายไว้

-         Formula First Session Task (FFST):  เป็นรูปแบบของการให้งานกับclientไปทำหลังจากพบกันครั้งแรก เช่น “ให้ไปทำเป็นการบ้าน  ครั้งหน้าพบกัน ช่วยเล่าให้ฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับชีวิตของคุณ กับครอบครัวของคุณ กับคู่สมรสของคุณ หรือกับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งคุณเองก็อยากจะให้มันดำเนินต่อไป”   ดังนั้น การพบครั้งต่อไป counselorสามารถถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น และสิ่งที่clientอยากจะให้เกิดขึ้นในชีวิตอนาคต  เทคนิคการมอบหมายงานจะทำให้clientตระหนัก และมองโลกในแง่ดีว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถเป็นไปได้ และไม่ใช่เป็นเรื่องของเงื่อนไข เพียงแต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้นเอง  ข้อสำคัญคือclientต้องมีความเข้าใจในงานที่ถูกมอบหมายให้ทำ และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของมันเพื่อนำสู่การเปลี่ยนแปลง  มิฉะนั้นเขาก็จะไม่สนใจในการบ้านตัวนี้

-         Therapist Feedback to Clients: ก่อนจะจบการให้คำปรึกษาทุกครั้ง ให้มีเวลาสัก 5- 10 นาทีที่counselorให้feedbackแก่client  De Jong and Berg (2005) แบ่งกระบวนการ feedback เป็น 3 ขั้นตอน

+ Compliment คือ การที่counselorกล่าวชื่นชมในสิ่งที่clientกำลังทำอยู่ และกำลัง   

   จะเกิดผล  counselorต้องระวังอย่างให้ขั้นตอนนี้เป็นการทำด้วยความเคยชินหรือแบบ

   เครื่องจักร   แต่ต้องเติมอารมณ์ความรู้สึกที่จะกระตุ้นให้กำลังใจclientดึงเอาพลังและ

   ศักยภาพในตัวเขาออกมาใช้ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

+ Bridge เป็นขั้นตอนของการเชื่อมโยงจาก compliment ไปสู่ suggestion อย่างมี

   ความสอดคล้องซึ่งกันและกัน

+ Suggestion เป็นข้อแนะนำให้ทำเป็นการบ้าน มี 2 รูปแบบคือ

·       Observational task คือการสังเกตความรู้สึกนึกคิด การดำเนินชีวิตของตนเอง  โดยเฉพาะยามที่ตนเองรู้สึกดี มีความสุข มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร?

·       Behavioral task คือการปฏิบัติตามข้อแนะนำของcounselorที่clientเห็นว่ามีประโยชน์เพื่อบรรลุเป้าหมาย

-          Terminating: งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา เช่นเดียวกัน กระบวนการให้คำปรึกษาย่อมมีการยุติ เมื่อถึงจุดที่clientพึงพอใจและสามารถหาทางออกให้กับปัญหาชีวิตของตน 

·       ตัวอย่างเทคนิคการตั้งคำถามเพื่อยุติการให้คำปรึกษา

              “มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างในชีวิต  หลังจากที่ได้มาพูดคุยกับผมเป็นระยะๆ?”

              “เมื่อปัญหาได้ถูกแก้ไขแล้ว  คุณคิดจะทำอะไรให้มันแตกต่างไปจากเดิมๆ?”

·       ใช้ scaling questions คือเมื่อclientให้คะแนนความก้าวหน้าของตนเองที่จะบรรลุเป้าหมายจนถึงจุดที่เขาเองคิดว่าสามารถพึ่งตนเองได้แล้ว  counselorก็สามารถยุติกระบวนการได้

·       ก่อนยุติ  counselorต้องแน่ใจว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้วนั้น  client

            สามารถที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต  และอาจช่วยแนะนำเขาให้เห็นภาพของอุปสรรค         ที่ต้องพบในชีวิตหลังการเปลี่ยนแปลงด้วย

·       Gutterman (2006) ให้ข้อสังเกตว่า เนื่องจาก SFBTเป็นกระบวนการรักษาที่ถูก

            ออกแบบให้สั้น ไม่ยืดเยื้อเรื่องเวลา เน้นเรื่องปัจจุบัน และเหมาะกับผู้ที่บ่นท้อแท้ในชีวิต             หากcounselorไม่มีการวางแผนที่ดีแล้ว  อาจจะทำให้clientเพิ่งมาฉุกคิดได้ถึงเรื่อง   การเปลี่ยนแปลงของชีวิตหลังจากยุติการให้คำปรึกษา  ดังนั้น clientสามารถที่จะหวน         กลับมาใหม่เมื่อใดก็ได้  เพื่อขอรับคำปรึกษาที่จะทำให้ชีวิตเข้ารูปเข้ารอยตามการเปลี่ยน      แปลงที่เขาเองตั้งเป้าหมายไว้

 

Application to Group Counseling

-         สมมติฐานที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ (competency = ability, authority, skill, knowledge) และเมื่อรับรู้ว่าตนเองมีศักยภาพเรื่องนี้อยู่ในตัว เขาก็จะสามารถใช้มันเพื่อแก้ปัญหาของเขาได้  ดังนั้น ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มจะดำเนินการให้แต่ละคนได้พูดถึงปัญหาของตนเองอย่างสั้นๆ เช่น “ให้แต่ละคนแนะนำตัวเอง  บอกเหตุผลว่าทำไมถึงมาที่นี่  และต้องการจะบอกอะไรให้พวกเรารับรู้เกี่ยวกับเรื่องของตนเอง”  การที่ให้แต่ละคนพูดถึงปัญหาของตนเอง ก็เพื่อเป็นการระบายปัญหาออกมาไม่ให้ถูกเก็บอัดอั้นไว้   ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มต้องพยายามดึงเอาพลังของแต่ละคนออกมา  อย่าลืมว่าSFBTถูกออกแบบมาให้สั้น ไม่เยิ่นเย่อ  เน้นที่ทางแก้ไข ทางออกของปัญหา ไม่ใช่ตัวปัญหา

-         ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มและสมาชิกกลุ่มร่วมกันพัฒนาเป้าหมายของแต่ละคน โดยเน้นการเปลี่ยน แปลงชีวิตที่มีเป้าหมายไม่ต้องใหญ่โตมาก และทำได้จริง   แต่ละคนสามารถออกความคิดเห็นในเรื่องของทุกคน  แต่ควรระวังการที่พูดแต่เรื่องของผู้อื่นจนลืมปัญหาและทางออกของตนเอง  ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มต้องควบคุมการแบ่งปันประสบการณ์ให้เสมอภาคกัน

-         เทคนิคที่ใช้กับการให้คำปรึกษารายบุคคลสามารถใช้กับการให้คำปรึกษากลุ่มได้ เช่น exception questions, the miracle questions เป็นต้น  และข้อดีของการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม คือวิธีการแก้ปัญหาและประสบการณ์ของสมาชิกในกลุ่ม สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลสำหรับสมาชิกแต่ละคนเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง

-         SFBT group counseling เหมาะที่จะใช้ในโรงเรียน กับกลุ่มนักเรียนที่มีจำนวนมาก  เพราะใช้เวลาไม่มากตามconceptของกระบวนการ  และมุ่งเป้าหมายที่ไม่ใหญ่จนเกินไป,    เป็นจริง, ทำได้ทันที, และเห็นผลเร็ว

 

Narrative Therapy

Introduction

-         Michael White & David Epston (1990) เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการ narrative therapy  ทั้งสองเป็น constructionist ในยุด Postmodernism

-         ตามแนวคิดของ White (1992) มนุษย์แต่ละคนสร้างความหมายของชีวิตบนเรื่องราวที่ผู้คนตีความกัน  ซึ่งพยายามจะทำให้เป็นความจริง (truth)      ด้วยอิทธิพลของการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆในวัฒนธรรม  แต่ละคนจึงพยายามซึมซับข่าวสารจากสังคมดังกล่าว ซึ่งบ่อยครั้งมันไม่เอื้อที่จะเปิดโอกาสให้กับชีวิตของแต่ละคน

-         ดังนั้น ด้วยแนวคิดแบบ Postmodernism  พวก narrative และ social constructionist จึงมุ่งไปยังเรื่องของการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอำนาจ,  ความรู้, และความจริงในครอบครัว และในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม (Freedman & Combs, 1996)  การรักษาก็คือการฟื้นฟูบุคคลจากปัญหาที่กดทับอยู่ และจากเรื่องราวต่างๆที่ครอบงำเขาอยู่

Key Concepts

Focus of Narrative Therapy: 

-         สร้างสัมพันธภาพความร่วมมือกับclient  (collaboration)

-         รับฟังเรื่องราวของclientด้วยความเคารพ  (respect)

-         ค้นหาพลังและศักยภาพในตัวclient  (resources)

-         ใช้เทคนิคคำถาม ทำให้client สำรวจตนเอง โดยเลี่ยงที่จะวิเคราะห์เจาะลึกลงในสาเหตุของ

ปัญหาที่ก่อตัวเป็นเรื่องราวขึ้นมา

-         ใช้เทคนิค mapping problem influence เข้ามาแยกตัวclientให้ออกจากปัญหา 

เพราะส่วนใหญ่clientจะจมปลักกับเรื่องราวปัญหาชีวิตจนแยกไม่ออก

-         ช่วยเหลือ clientให้หลุดจากบ่วงปัญหาชีวิตที่รุมเร้า และกระโจนเข้าสู่เรื่องราวชีวิตใหม่ที่ตัว

เขาเองสร้างขึ้นมา  (externalization)

 

The Role of Stories:

-           มนุษย์มีชีวิตอยู่บนเรื่องราวของตนเอง (stories) และบนเรื่องราวนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เราได้พบ

 เห็น,  ได้กระทำ,  ได้รู้สึกนึกคิด  (มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา)

-         บทสนทนาเรื่องราวของชีวิตวนเวียนอยู่ในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม

-         client ต้องไม่สมมติบทบาทของตนเองเป็นเหยื่อของความทุกข์ทรมาน  ซึ่งทำให้ชีวิตหมดหวัง

และท้อแท้  ตรงข้ามclientสร้างเรื่องราวใหม่ของชีวิตด้วยความกล้าหาญ   เรื่องราวใหม่นี้ไม่

เพียงเปลี่ยนชีวิตของผู้เล่าเรื่องเท่านั้น  แต่ยังเปลี่ยนชีวิตของผู้ให้คำปรึกษาด้วย ซึ่งร่วมส่วนใน

กระบวนการรักษา

 

Listening with and Open Mind:

-         counselorรับฟังเรื่องราวของclientโดยปราศจากการตัดสิน, การตำหนิติเตียน, การเห็น

ด้วยหรือตีคุณค่า

-         กระตุ้นให้clientทบทวนพิจารณาว่าสิ่งไหนดี ไม่ดี จากเรื่องราวของตนเอง

-         ช่วยให้clientปรับความรู้สึกที่ปวดร้าว, การให้คุณค่า, และทัศนะความเข้าใจที่มีต่อเรื่องราว

ชีวิตของตนเอง  โดยเลี่ยงที่จะใส่ความคิดเห็นของcounselorให้กับclient

-         สร้างความหมายและความเป็นไปได้ของชีวิตจากเรื่องเล่าที่clientบอกกล่าว  แทนที่จะสร้าง

จากตัวบททฤษฎี

-         สามารถรับฟังเรื่องราวปัญหาสารพันของclientอย่างไม่สะทกสะท้าน  แต่จะตื่นตัวกับท่าที

ของclientที่สามารถต่อสู้กับปัญหาด้วยพลังของตนเอง

-         เชื่อว่าclientมีความสามารถ, ศักยภาพ, น้ำใจดี, และประสบการณ์ชีวิต ที่จะเป็นตัวจุดชนวน

ให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆของการดำเนินชีวิต

-         clientจะเป็นผู้ตีความหมายประสบการณ์ชีวิตของตนเอง  ดังนั้น counselorเป็นเพียง

ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ไม่ใช่ผู้ชี้นำ (director) ให้เกิดกระบวนการ

เปลี่ยนแปลงในชีวิตของclient

 

 

The Therapeutic Process

-         ร่วมมือกับclient ในการค้นหาประเด็นปัญหา

-         เจาะประเด็นปัญหาเพื่อที่จะวางกรอบเชิงรุกและเชิงรับกับมัน

-         สืบหาว่าปัญหามันครอบงำ หรือทำให้clientหมดกำลังใจได้อย่างไร

-         ให้clientพิจารณาเรื่องราวของตนเองในหลายมุมมอง และนำเสนอความหมายของแต่ละมุมมองของเหตุการณ์

-         ค้นหาช่วงเวลาที่clientปลอดจากปัญหาครอบงำ หรือปัญหาที่ทำให้หมดกำลังใจ  เพื่อที่จะกำหนดเป็นแนวทางในการใช้ exception approach

-         ค้นหาเหตุการณ์ในอดีตที่มาสนับสนุนให้เกิดมุมมองใหม่แก่client  ทำให้เขาเข้มแข็งพอที่จะลุกขึ้นยืนต่อสู้ หรือฉลาดพอที่จะหนีจากการครอบงำของปัญหา  (ขณะนี้ เรื่องราวชีวิตใหม่ของclientได้ถูกเขียนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง)

-         ให้clientจินตนาการถึงอนาคตของบุคคลที่เข้มแข็งและเต็มด้วยความสามารถ จะเป็นอย่างไร  เพราะ ณ เวลาที่clientปลอดจากเรื่องราวของปัญหาชีวิต  เขาสามารถที่จะวางแผนชีวิตในอนาคตเหมือนกับบุคคลที่เขาได้จินตนาการไว้แต่แรก  แม้อาจจะประสบปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่มากไปกว่านี้แล้ว

-         หาผู้สนับสนุนและให้กำลังใจ หลังจากที่clientเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสังคม (an audience technique)

-         สำหรับ Winslade & Monk (2007) ได้ออกแบบวัฎจักรกระบวนการของ narrative therapy ไว้ดังนี้

·       ตีประเด็นปัญหาให้แยกออกจากตัวบุคคล  (Externalization)

·       จัดเรียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากปัญหา  (Mapping)

·       สังเกตเครื่องหมายบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็งและการยืนหยัดต่อสู้ของclinetต่อปัญหาที่รุมเร้าอย่างสุดๆ

·       สร้างเรื่องราวชีวิตใหม่ที่เข้มแข็ง และเก็บบันทึกความสำเร็จนี้ไว้

 

          Therapy Goals

-         จุดประสงค์โดยทั่วไปของการรักษาโดยใช้ทฤษฎี Narrative คือการเชิญชวนให้clientเล่าประสบการณ์ของตนเองด้วยสไตล์ภาษาที่ใหม่และสดชื่น  ด้วยวิธีการนี้ clientจะมีมุมมองใหม่ๆที่สามารถเป็นไปได้  ภาษาสไตล์ใหม่นี้จะทำให้clientพัฒนาความหมายใหม่ๆสำหรับชีวิตที่ประสบปัญหาทางด้านความคิด, ความรู้สึก, และพฤติกรรม (Freeman & Combs, 1996)

-         Narrative therapy จะให้ความสำคัญกับความตระหนักรู้ถึงผลกระทบรูปแบบต่างๆที่มีต่อชีวิตของมนุษย์  ผลกระทบนี้เป็นผลมาจากวัฒนธรรมที่ครอบงำอยู่

-         Counselorควรมีมุมมองที่กว้าง รู้จักใช้ประโยชน์จากการค้นพบใหม่หรือสิ่งสร้างใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเหมาะสมนำมาใช้กับclient

 

          Therapist’s Function and Role

-         คุณลักษณะที่จำเป็นของ counselor คือ กระตือรือร้น, เอาใจใส่, ให้ความสนใจ, มีความอยากรู้อยากเห็นแต่เคารพในตัวบุคคล, เปิดเผย, เห็นใจ, ติดต่อได้เสมอ, ดึงดูด

-         Not knowing position คือการวางตัวแบบไม่รู้คำตอบที่counselorถามclient  ท่าที่เช่นนี้ทำให้counselorสามารถที่จะติดตามเรื่องราวชีวิตของclientอย่างตั้งใจในฐานะผู้รับฟัง  และเอื้อต่อการทำหน้าที่ในการสังเกต และอำนวยความสะดวกให้กับclient ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Postmodernismที่มองความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก

-         หน้าที่หลักของcounselor คือช่วยclientสร้างเรื่องราวของชีวิตที่พึงพอใจและเป็นทางเลือกใหม่  counselorต้องมีทัศนะของความใส่ใจในควบคู่ไปกับการให้ความเคารพในตัวบุคคลของclient เพื่อที่จะช่วยเหลือเขาให้สำรวจผลกระทบของปัญหา และอะไรที่จะลดผลกระทบนี้ได้ (Winslade & Monk, 2007)

-         หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของcounselor คือตั้งคำถามกับclient เมื่อได้คำตอบ ก็นำมาเป็นข้อมูลในการตั้งคำถามข้อต่อไป  ดังที่ White & Epston (1990) ได้สำรวจและพบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่clientจะสามารถเล่าเรื่องปัญหาของตนเองในขณะที่กำลังจมปลักอยู่กับปัญหานั้นๆ (infused)  ดังนั้น โดยวิธีนี้จะทำลายโครงเรื่องเดิมที่เป็นตัวปัญหาที่ฝังในตัวclient และแยกเขาให้ออกจากตัวปัญหา เพื่อเขาจะได้เห็นปัญหาที่แท้จริงได้  (externalization)

-         เหมือนกับSFBT clientเป็นผู้เชี่ยวชาญในชีวิตของตน  counselorต้องหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่สื่อไปในการวิเคราะห์, ประเมินผล, ใส่ความคิด, หรือแทรกเข้าในชีวิตของclient เพราะจะเป็นการไปเค้นความจริง (truth) จากชีวิตของเขา   ตรงข้าม counselor เน้นที่จะเข้าใจรับฟังชีวิตเรื่องราวของเขา และไม่พยายามที่จะไปคาดการณ์, ตีความ หรือวินิจฉัยความผิดปกติ  สิ่งที่ควรระวังอีกประการคือ counselor ไม่แสดงบทบาทเป็นเจ้าชีวิตของclient เพื่อที่จะผลักดันตัวclientให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต (Winslade et al., 1997)

-         เมื่อกระบวนการกำลังทำงานได้ผล  มันไม่มีสูตรเคล็ดลับหรือตำราเฉพาะกับกระบวนการนั้นๆ (Freedman & Combs, 1996; Monk, Winslade, Crocket, & Epston, 1997;  Winslade & Monk, 2007)  Monk (1997)ย้ำว่าการรักษาแบบ narrative จะเปลี่ยนไปตามclientเพราะบุคคลมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สำหรับMonkแล้ว ถ้าใช้สูตรตายตัวจะทำให้clientรู้สึกว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ ไม่เป็นตัวของเขาเอง และที่สุดเขาก็จะรู้สึกว่าอยู่นอกวงสนทนา (p.24)

 

          The Therapeutic Relationship

-         เจตคติของcounselorเป็นสิ่งจำเป็นในกระบวนการรักษา เช่น การมองโลกในแง่ดี (optimism), เคารพ (respect), การใส่ใจ (curiosity), ยืดมั่น (persistence), ให้คุณค่ากับความรู้ของclient (value), สัมพันธภาพระดับเดียวกัน (Winslade & Monk, 2007)

-         สัมพันธภาพแห่งการร่วมมือกัน (collaboration), ความเห็นอกเห็นใจ (compassion), การสะท้อนความรู้สึก (reflection), และการค้นพบ (discovery) เป็นคุณลักษณะของสัมพันธภาพที่อยู่ในกระบวนการรักษา  หากในกระบวนการมีสัมพันธภาพแห่งการร่วมมือจริง counselorจะสัมผัสได้ถึงความสำเร็จของการรักษาเพราะพลังของสัมพันธภาพนี้  แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า counselor ไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบอาชีพ   หากแต่จำเป็น เพื่อใช้อำนาจนี้ ทำให้clientเป็นผู้เชี่ยวชาญในชีวิตของเขา

-         Winslade, Crocket, and Monk (1997) ได้พรรณนาสัมพันธภาพแห่งการร่วมมือกันว่าเป็นอำนาจหรืออำนาจที่ร่วมกัน  clientเป็นผู้แต่งเรื่องเมื่อเขาต้องเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเอง  ใน narrative approach ความเป็นผู้เชี่ยวชาญของcounselor ถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญของclient  สิ่งนี้ท้าทายความเป็นcounselorมืออาชีพ  Winslade & Monk (2007) กล่าวว่า “ภาพรวมของสัมพันธภาพจะยังคงอยู่ก็ต่อเมื่อclientถูกเชิดชูให้เป็นผู้ประพันธ์เอกในการสร้างเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของชีวิต” (pp.57-58)

-         บางครั้ง clientจมปลักอยู่ในปัญหาที่สุดๆของชีวิต  counselorเปิดการสนทนาด้วยคำถามที่จะดึงเอาพลัง มุมมอง และเอกลักษณ์ของclientออกมาให้ได้    เรื่องในอดีตของclientบางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องทราบเพื่อจะได้ค้นหาให้พบผลลัพธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับชีวิต   อย่างไรก็ตาม narrative เป็นเรื่องของชีวิตปัจจุบันและอนาคต  counselorจัดเตรียมกระบวนการรักษาพร้อมกับการมองโลกในแง่ดี  แต่clientเป็นผู้ทำให้กระบวนการสำเร็จไป

 

Application: Therapeutic Techniques and Procedures

-         ประสิทธิผลของการรักษาขึ้นอยู่กับเจตคติหรือมุมมองของcounselor มากกว่าเทคนิค  กระบวนการไม่มีสูตรสำเร็จหรือรูปแบบเฉพาะเพื่อให้counselorได้ปฏิบัติตามโดยหวังผลบวกแน่นอน (Drewery & Winslade, 1997)  เช่น หากใช้เทคนิคการตั้งคำถามเพื่อexternalization เพียงเทคนิคเดียว ก็จะทำให้การเข้าถึงclientเป็นแบบตื้นๆ  หรือแบบบังคับ ซึ่งไม่เกิดผลการรักษา (Freedman & Combs, 1996; O’Hanlon, 1994)

แต่ถ้าใช้สูตรตายตัว จะทำให้client รู้สึกว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ ไม่เป็นตัวของเขาเอง และที่สุดเขาก็จะรู้สึกว่าอยู่นอกวงสนทนา (Monk, 1997)

-         Counselor ใช้แนวคิดของ Carl Rogersในกระบวนการรักษา  แทนที่จะใช้แต่เทคนิคล้วนๆ    คุณลักษณะเฉพาะตัวของcounselorมีผลต่อการสร้างบรรยากาศที่จะกระตุ้นและให้กำลังใจclientที่จะมองเรื่องราวชีวิตของตนให้ต่างมุมออกไป

-         Narrative therapy มีมุมมองด้านจริยธรรมซึ่งมีพื้นฐานจากกรอบแนวคิดทางปรัชญาศาสตร์  กรอบแนวคิดนี้จะช่วยให้clientค้นหาความหมายใหม่และความเป็นไปได้ใหม่ๆในชีวิต (Winslade & Monk, 2007)

 

Questions…and more questions

-         การตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องของ counselor ถือเป็นเอกลักษณ์ของบทสนทนาในเชิง narrative เป็นการตั้งคำถามจากคำตอบของ client  ทำอย่างนี้เรื่อยไปเพื่อค้นหาเหตุการณ์เฉพาะ หรือสำรวจอิทธิพลของวัฒนธรรมที่มีอยู่เหนือตัว client   การตั้งคำถามจากคำตอบอย่างต่อเนื่องเป็นการกระตุ้นพลังของ client ดังประโยคของ Gregory Bateson (1972) ที่ว่ามันเป็นคำถามที่ค้นหาความแตกต่าง ซึ่งความแตกต่างนี้จะก่อให้เกิดความแตกต่างที่ต่อเนื่องออกไปอีก

-         Counselor ใช้เทคนิคการตั้งคำถามเพื่อทราบถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของclient  ไม่ใช่เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล  เป้าหมายของการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องก็เพื่อที่จะร่างเค้าโครงประสบการณ์ชีวิตของclient  เพื่อให้ counselor ใช้เป็นข้อมูลสำหรับแนวทางในการรักษา  การตั้งคำถามต้องมีลักษณะของการให้ความเคารพ, การใส่ใจในตัวบุคคล และเปิดเผย   counselor ต้องวางตัวเหมือนไม่รู้อะไรในตัวclient (not-knowing position) ในการตั้งคำถาม กล่าวคือไม่ถามในสิ่งที่ counselor มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว  Monk (1997) ได้บรรยายข้อคิดนี้ไว้ว่า  แทนที่ต้องรู้ปัญหาทุกอย่างของclientเพื่อที่จะรักษา   โดยคิดว่า counselor มีความชอบธรรมที่จะค้นหาความจริง  ตรงกันข้ามด้วยวิธีการแบบ Narrative counselor ต้องมีท่าทีของนักสืบ, นักสำรวจ, นักโบราณคดี ในการตั้งคำถามแก่ client เพื่อที่จะเข้าใจประสบการณ์ชีวิตของ client (p.25)

-         ด้วยกระบวนการตั้งคำถาม counselor ช่วยให้ client ได้สำรวจชีวิตของตนเองในหลายๆมิติ  ทำให้เห็นต้นตอของปัญหาอันเนื่องมาจากสมมติฐานทางวัฒนธรรมที่เราไม่ได้คำนึงถึง  counselor มุ่งค้นหาว่าปัญหาเกิดขึ้นมาครั้งแรกได้อย่างไร และมันส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของ client ได้อย่างไร (Monk, 1997)   counselorมีความพยายามที่จะช่วยclient ให้ทำลายเรื่องปัญหาชีวิตที่รุมเร้าอย่างสุดๆของตนเอง  และสร้างอีกเรื่องราวหนึ่งให้กับตนเองด้วยจุดหมายและทิศทางที่ดีกว่า (Freedman & Combs, 1996)

 

Externalization and Deconstruction

-         Narrative counselor แตกต่างจากผู้ให้คำปรึกษาตามแนวคิดดั้งเดิมในเรื่องความเชื่อที่ว่า “บุคคลไม่ใช่ปัญหา แต่ตัวปัญหาต่างหากที่เป็นปัญหา” (White, 1989), การดำรงชีวิตเกี่ยวข้องกับปัญหา(แยกกัน)  แต่ไม่ใช่รวมเข้ากับปัญหา(เป็นหนึ่ง), ปัญหาไม่ว่าจะหนักหรือเบา ล้วนแต่ส่งผลกระทบและครอบงำต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในด้านลบ  ปัญหาที่ไม่ได้ถูกยอมรับอย่างจริงจังจะปิดโอกาสของ client และ counselor ที่จะหาแนวทางใหม่ๆเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Mckenzie & Monk, 1997)  ดังนั้น เรื่องตัวปัญหาต้องถูกยอมรับอย่างจริงจังเสียก่อน Narrative counselor ถึงจะช่วยให้ client ลบเรื่องราวปัญหาของชีวิต และเปิดทางเลือกใหม่ๆที่เป็นไปได้สำหรับชีวิต (Winslade & Monk, 2007)

-         Externalization คือกระบวนการที่แยกตัวบุคคลออกจากปัญหาหรือการถูกเหมารวมให้เป็นตัวปัญหา โดยเมื่อ client มองว่าตัวเองเป็นปัญหา เขาเองก็จำกัดตัวเองอยู่ในกรอบปัญหา และไม่สามารถตีปัญหาให้แตกเพื่อแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิผล  ในทางกลับกัน เมื่อใดที่ client มองตัวเองอยู่นอกกรอบปัญหา เขาก็สามารถกระทำการใดๆก็ได้กับปัญหานั้นๆ  ตัวอย่างเช่น มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการที่กล่าวหาว่าคนหนึ่งติดสุรา (ตัวบุคคลรวมกับปัญหา) กับการที่สุราได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขา (ตัวบุคคลแยกจากปัญหา)  ดังนั้น ด้วยการแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล จะช่วยให้client มีความหวัง และกล้าเผชิญหน้ากับเรื่องร้ายต่างๆ เช่น การตำหนิตนอง ซึ่งหากเข้าใจว่าการตำหนิตนเองนั้นเกิดจากการยัดเยียดของวัฒนธรรมและสังคม   client ก็สามารถจะลบเรื่องการตำหนิตนเองออกจากใจ และสร้างเรื่องราวเชิงบวก ซึ่งจะรักษาเยียวยา คืนชีวิตใหม่ให้กับตนเองอีกครั้งหนึ่ง

-         Externalizing conversations หรือบทสนทนาที่เน้นการแยกตัวบุคคลออกจากปัญหา จะเปิดพื้นที่ให้กับเรื่องราวใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น  เทคนิคนี้เหมาะที่จะใช้กับ client ที่รู้สึกว่าตนเองหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีพลังที่จะลุกขึ้นจัดการกับปัญหา (Bertolino & O’Hanlon, 2002)   มันเป็นกระบวนการที่จัดการกับปัญหาเลวร้ายสุดๆของclient และผลักดันให้เขาใช้พลังที่มีอยู่ในตัวรับมือกับปัญหาที่เขาประสบอยู่  มี 2 ขั้นตอนของกระบวนการนี้ คือ 1.การทำ Mapping ของปัญหาที่ส่งอิทธิพลต่อชีวิตของclient   2.การทำ Mapping ชีวิตของ clientที่ส่งอิทธิพลต่อปัญหา (Mckenzie & Monk, 1997)

-         การทำ Mapping ปัญหาที่ส่งอิทธิพลต่อชีวิตของclient ทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และทำให้ client รู้สึกว่าเสียหน้าและถูกตำหนิน้อยลง  clientจะรู้สึกดีที่มีคนรับฟังและเข้าใจ โดยเมื่ออิทธิพลของปัญหาได้ถูกสำรวจอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างคำถามเช่น “ปัญหาเกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิตของคุณเมื่อไร?”   ด้วยกระบวนการ Mapping ที่เกิดขึ้นอย่างใส่ใจ มันได้กลับกลายเป็นรากฐานให้clientสวมบทบาทของผู้ประพันธ์ร่วมบนเรื่องราวใหม่   บ่อยครั้งที่clientรู้สึกโกรธฉุนเฉียวเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าปัญหามีผลต่อตัวเขาอย่างไร  หน้าที่ของcounselorคือต้องช่วยเหลือclientให้ก้าวผ่านตั้งแต่จุดเริ่มต้นของปัญหาจนถึง ณ ปัจจุบันที่เป็นอยู่  ตัวอย่างคำถามเช่น “ถ้าปัญหามันยังคงอยู่ต่อไปอีกสักเดือนหนึ่ง คุณจะทำอย่างไรกับมัน?”  หรือ “ปัญหามันส่งผลกับชีวิตของคุณขนาดไหน?” หรือ “ปัญหามันลงลึกในตัวคุณขนาดไหน?”   ด้วยคำถามประเภทนี้จะกระตุ้นให้clientร่วมมือกับcounselorในการต่อสู้รับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหานั้นๆ

-         บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องยกตัวอย่างประกอบให้client เมื่อตัวปัญหาไม่ได้มีผลอย่างชัดเจนกับชีวิตของเขา   การทำ Mapping จะช่วยให้clientซึ่งสับสนวนเวียนอยู่กับปัญหา ได้เกิดความหวังสำหรับชีวิตใหม่   counselorต้องคอยสังเกตการจุดประกายในลักษณะนี้ในตัวclientในขณะสนทนากับเขา  เพื่อที่จะแยกเขาออกจากปัญหา (Externalizing conversations)

-         ในกรณีของ Brandon ซึ่งมักจะโกรธจัดเมื่อถูกภรรยาต่อว่าอย่างไม่ยุติธรรม  “ผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ว้าวุ้นจิตใจ โต้ตอบกลับ แต่ภายหลังผมรู้สึกว่าไม่ควรแสดงเช่นนั้น แต่มันก็สายเกินไป และผมก็สับสนกับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง”   การตั้งคำถามเพื่อดูว่าความโกรธของ Brandon เกิดขึ้นได้อย่างไร รวมกับตัวอย่างเหตุการณ์ที่เขาเล่ามา  counselorนำมาทำMappingอิทธิพลของปัญหา เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการตั้งคำถามเพื่อแยกตัวบุคคลออกจากปัญหา (Externalization)  ตัวอย่างของคำถามเช่น “ความโกรธมีไว้เพื่ออะไร? และมันควบคุมตัวคุณทำงานให้กับมันได้อย่างไร?” หรือ “คุณตกอยู่ใต้อำนาจความโกรธได้อย่างไร?” หรือ “ความโกรธมันต้องการอะไรจากคุณ และอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณ ถ้าคุณสมยอมกับมัน?”

 

 

 

Searching for Unique Outcome

-         หลังจากแยกตัวบุคคลออกจากปัญหาแล้ว ก็ต้องตามด้วยการตั้งคำถามเพื่อหาผลลัพธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวคือ counselorพยายามช่วยclientให้คิดทบทวนถึงประสบการณ์หรือเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหา และบางครั้งมันอาจจะไม่สลักสำคัญกับชีวิตของclient  แต่มันเกิดผลลัพธ์ที่เด่นชัด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสามารถนำมาใช้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวชีวิตใหม่ได้  ตัวอย่างคำถาม เช่น “มีเวลาใดบ้าง ที่ความโกรธมันครอบงำตัวคุณ และมันต้องการให้คุณแสดงออก แต่คุณสามารถต้านมันได้? และคุณทำอย่างไรกับมัน?”  คำถามลักษณะนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะเน้นไปที่ช่วงเวลาแห่งความสำคัญ เมื่อปัญหายังไม่ได้เกิดขึ้นหรือปัญหาได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว   ผลลัพธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique outcomes) บ่อยครั้งพบได้ในเหตุการณ์อดีต, ปัจจุบัน หรืออาจจะตั้งเป็นสมมติฐานสำหรับอนาคตก็ได้ เช่น  “มีรูปแบบใดบ้าง ที่คุณสามารถจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้น?”  คำถามเชิงสำรวจเช่นนี้จะช่วยให้clientสามารถเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้  การใช้ประโยชน์จาก unique outcomes จะเป็นประตูอีกด้านหนึ่งที่เปิดให้clientก้าวสู่ชีวิตใหม่ (White, 1992)

-         White (1992) เสนอตัวอย่างของคำถามทางตรงและทางอ้อม ที่จะนำไปสู่การค้นหา unique outcomes

·       คิดอย่างไร ถ้ามีบางสิ่งบอกผมเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต และสิ่งที่คุณพยายามทำสำหรับชีวิตของคุณ?

·       คิดอย่างไร ถ้ารู้ว่ามีบางสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองแบบบุคคลของผมในตัวคุณ?

·       ในจำนวนบุคคลที่รู้จักคุณ ใครบ้างที่จะประหลาดใจน้อยที่สุด เมื่อคุณเล่าเรื่องปัญหาชีวิตของคุณ?

·       คุณจะปฏิบัติตนอย่างไร ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้จักตัวเองมากกว่านี้?

-         Epston & White (1992) ได้กำหนดตัวอย่างของคำถามที่เรียกว่า “circulation questions” เพื่อพัฒนาจากผลของ unique outcomes ไปสู่คำตอบของปัญหา (Solution stories)

·       ขณะนี้คุณถึงจุดนี้ของชีวิตแล้ว ใครที่คุณอยากจะบอกให้ทราบ?

·       ผมเดาเอาว่า มีหลายคนที่ยังมีภาพเดิมๆของคุณอยู่ มีไอเดียอะไรบ้างที่คุณอยากจะทำให้ผู้คนเหล่านี้มองคุณในภาพลักษณ์ใหม่?

·       ถ้ามีคนไข้มารักษากับผมในกรณีแบบเดียวกับคุณ คุณจะอนุญาตให้ผมแบ่งปันเรื่องราวและการค้นพบประการณ์ที่สำคัญของคุณได้ไหม?

-         ข้อควรระวังคือ ข้อคำถามเหล่านี้ไม่ควรถูกใช้อย่างสายน้ำที่ถาโถมเข้าใส่client  พึงระลึกเสมอว่าการตั้งคำถามเป็นส่วนหนึ่งของบริบทของ Narrative conversation  แต่ละข้อคำถามมีความละเอียดอ่อนที่จะต้องปรับให้เข้ากับข้อคำตอบที่ได้จากข้อคำถามก่อนหน้านี้ (White, 1992)  Mckenzie & Monk (1997) แนะนำว่าcounselorควรขออนุญาตจากclientก่อนที่จะถามอย่างต่อเนื่อง และชี้แจงให้เขาทราบว่าตัวcounselorเองก็ไม่ทราบคำตอบจากข้อคำถามเหล่านั้น  เช่นนี้แล้วclientก็จะอยู่ในกรอบของกระบวนการรักษา และลดแรงกดดันในตัวclientที่ต้องตอบคำถามชนิดคาดคั้นเพื่อให้ได้คำตอบ

 

Alternative Stories and Reauthoring

-         การสร้างเรื่องราวชีวิตขึ้นมาใหม่ต้องทำควบคู่กันไปกับการทำลายเรื่องราวเก่าที่เป็นปัญหาทิ้งไป counselorรับฟังเพื่อที่จะจับประเด็นให้เกิดเรื่องราวใหม่ๆ  clientประสานรับเป็นผู้เรียบเรียงเรื่องราวชีวิตใหม่ของตนเองจาก unique outcomes ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นผลจากการคาดเดาปัญหาที่รุมเร้าตัวclientอยู่ (Freedman & Comb, 1996) ด้วยคำถามเช่น “คุณเคยบ้างไหมที่จะหนีจากอิทธิพลของปัญหาที่มีต่อตัวคุณ?”  counselorฟังและคอยหาจังหวะที่จะกระตุ้นพลังภายในตัวclientท่ามกลางกระแสของปัญหา ให้สามารถสร้างเรื่องราวใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง   clientต้องเลือกข้างที่จะจมปลักกับปัญหาต่อไป หรือจะสร้างเรื่องราวชีวิตขึ้นมาใหม่ (Winslade & Monk, 2007)   counselorมองไกลไปถึงอนาคตโดยตั้งคำถามว่า “หลังจากที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง  ก้าวต่อไปคุณจะทำอะไร?  และเมื่อคุณได้ทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวของตนเองที่คุณได้เลือกที่จะทำ  มีอะไรบ้างที่จะนำพาคุณให้ทำมากกว่านี้?”  ข้อคำถามลักษณะนี้จะเป็นกำลังใจและกระตุ้นให้clientทบทวนถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และคิดจะทำอะไรในก้าวต่อไป?

-         ด้วยสัมพันธภาพที่ดี counselorช่วยให้clientสร้างเรื่องราวที่จะติดแน่น และซึมซับอยู่ในตัวเขา (Neimeyer, 1993)  ไม่ว่าจะด้วยบทสนทนาสไตล์อิสระสบายๆ หรือด้วยรูปแบบของขบวนคำถามที่คาดคั้น counselorต้องแสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ๆให้กับกระบวนการสร้างเรื่องราวชีวิตของclient   White & Epston (1990) มองว่า unique outcomes มีความคล้ายคลึงกับ Exception questions ของ SFBT   ทั้งสองเทคนิคมุ่งที่จะสร้างเรื่องราวใหม่ๆให้กับชีวิตจากพลังที่มีอยู่แล้วในตัวclient   พัฒนาการของเรื่องราวชีวิตอีกด้านหนึ่ง หรือเรื่องเล่าชีวิตที่สร้างขึ้นใหม่เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความหวังอันเปี่ยมล้น  “วันนี้เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคุณ”

 

Documenting the Evidence

-         แนวคิด Narrative approach เชื่อว่า เรื่องราวชีวิตใหม่ของclientจะคงดำเนินอยู่ต่อไป ถ้ามีคนรับฟังเรื่องราวของเขาพร้อมกับชื่นชมและเป็นกำลังใจให้เขา  และเทคนิคหนึ่งที่จะบอกให้คนรับรู้ คือ การเขียนจดหมาย   counselorเป็นบุคคลแรกที่เขียนจดหมายถึงclient บอกเล่าเรื่องราวพบปะกันในกระบวนการรักษา, เรื่องการแยกตัวบุคคลออกจากปัญหา (Externalization) และอิทธิพลของปัญหาที่มีต่อclient, รายงานเรื่องความเข้มแข็งของclient และความสามารถที่จะชนะอุปสรรค   จดหมายสามารถจะถูกอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ และเรื่องราวในจดหมายก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน  จดหมายจะเน้นเรื่องที่clientตกอยู่ในภาวะทนทุกข์กับปัญหาที่รุมเร้า และการที่เขาสามารถจะดึงประโยชน์จากความแตกต่างระหว่างเรื่องราวปัญหาชีวิต กับเรื่องราวชีวิตใหม่ที่กำลังได้รับพัฒนาให้เบ่งบาน (Mckenzie & Monk, 1997)

-         Epston ได้พัฒนาสิ่งที่จะช่วยให้กระบวนการรักษาในแต่ละ session มีความต่อเนื่องกันโดยใช้จดหมาย (White & Epston, 1990)  จดหมายของEpstonอาจจะยืดยาว ในเรื่องลำดับขั้นตอนการสัมภาษณ์ และข้อตกลงร่วมกัน  หรืออาจจะสั้นในเรื่องเนื้อหาและความเข้าใจ มีการทวนคำถามที่ได้ถามไปแล้วในการพบปะกันก่อนหน้านี้  จดหมายถูกใช้เพื่อให้กำลังใจclient บันทึกความสำเร็จของเขาที่สามารถรับมือกับปัญหา หรือคาดหวังในความสำเร็จที่เขาจะทำให้เกิดขึ้นกับคนรอบข้าง   Winsland & Monk (2007)ได้ให้ความเห็นว่า จดหมายซึ่งบันทึกถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่clientสามารถทำได้ มีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆแก่ตัวclientเอง และบุคคลอื่นๆในชีวิตของเขา

-         David Nylund นักบำบัดทางด้านสังคม ใช้เทคนิคการเขียนจดหมายเป็นพื้นฐานในการบำบัดคนไข้  เขาบรรยายถึงกรอบความคิดโครงสร้างของจดหมายที่เขียนถึงclient ดังนี้ (Nylund & Thomas, 1994)

·       Paragraphแรกเป็นบทนำที่ทำให้clientเชื่อมต่อกับsessionครั้งสุดท้ายที่พบกัน

·       ข้อความที่เป็นบทสรุป กล่าวถึงอิทธิพลของปัญหาที่มีผลต่อตัวclient

·       คำถามต่างๆที่นำไปสู่การสร้างเรื่องราวชีวิตใหม่ของclient

·       ข้อความ unique outcome questions หรือ exception questions พร้อมกับประโยคคำพูดของclientที่ตอบคำถาม

-         Nylund & Thomas (1994) ให้ความสำคัญกับการเขียนจดหมายในแนวทางรักษาแบบNarrative  เพราะจดหมายจะผลักดันให้เกิดการนำเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องบำบัด ไปใช้ในชีวิตประจำวัน  มีข้อสนับสนุนกล่าวไว้ว่า การมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในโลกภายนอกมีความสำคัญมากกว่าการมีส่วนร่วมที่เกิดขึ้นในห้องบำบัด   จากการสำรวจความคิดเห็นของclientในอดีตเกี่ยวกับคุณค่าของจดหมายในแนว Narrative  พบว่าจดหมาย 1 ฉบับมีคุณค่าเท่ากับการรักษา 3 sessions  จากคำยืนยันของ Mckenzie & Monk (1997) ก็เช่นเดียวกัน “counselorในแนว Narrative บางคนได้แนะนำไว้ว่า จดหมายที่เขียนอย่างดีมีค่าเท่ากับการรักษาถึง 5 sessions(p.113)

Group Work

-         เทคนิคต่างๆที่ได้บรรยายมา สามารถนำมาใช้กับการให้คำปรึกษากลุ่มได้   Winslade & Monk (2007) ยืนยันว่า กระบวนการNarrative ซึ่งเน้นให้มีผู้รับฟังที่จะชื่นชมและให้กำลังใจกับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ชีวิตใหม่ของclient เหมาะที่จะใช้กับการให้คำปรึกษากลุ่ม  ทั้งสองท่านยังกล่าว่า “กลุ่มมีลักษณะของหมู่คณะที่เอื้อซึ่งกันและกัน และมีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มซึ่งก่อให้เกิดความเป็นไปได้ของการอยู่ร่วมกันในรูปแบบใหม่  อัตลักษณ์ใหม่ๆสามารถถูกนำมาลองใช้ในโลกที่กว้างใหญ่กว่า” (p.135)  ทั้งสองท่านยังได้ยกตัวอย่างของการใช้ Narrative therapy กับกลุ่มในโรงเรียน เช่น วันเปิดเทอม, โปรแกรมการผจญภัย, กลุ่มการบริหารจัดการกับความโกรธ, และการให้คำปรึกษากลุ่มสำหรับผู้ที่เศร้าโศก

 

Postmodern Approaches From a Multicultural Perspective

          Strengths From a Diversity Perspective

-         พวก Social constructionism มีความเห็นสอดคล้องกับแนวคิดพหุวัฒนธรรม  ที่ว่า หนึ่งในปัญหาของสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม คือ การที่บุคคลถูกคาดหวังว่าต้องปรับตัวให้เข้ากับความจริง (truth) และความเป็นจริง (reality) ของสังคมที่มีอิทธิพลเหนือตัวเขาในฐานะที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และด้วยการที่ให้ความสำคัญกับความเป็นจริงที่หลากหลาย (multiple realities) และสมมติฐานที่ว่า อะไรที่สามารถรับรู้ได้ สิ่งนั้นคือความจริง (truth)  จึงทำให้ Postmodern approaches เหมาะที่จะใช้กับโลกที่มีความหลากหลาย

-         การรักษาแบบ Postmodern ต้องจัดเตรียมให้clientคิดอยู่ในกรอบที่เขาคิด  และคิดพิจารณาถึงผลกระทบของเรื่องราวต่างๆที่เขาเป็นผู้ก่อขึ้น   เนื่องจากชีวิตของclientมีโครงสร้างจากกรอบวัฒนธรรมและสังคมที่เขาอาศัยอยู่ การตีความหมายชีวิตและประสบการณ์ต้องมาจากตัวของclientเอง เพราะเขาเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง   counselorต้องให้ความเคารพในความเป็นบุคคลของclientอย่างที่เขาเป็น  ข้อพึงระวัง คือ การที่counselorและclientมีพื้นเพมาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน  อาจทำให้counselorมีมุมมองที่แตกต่างไปจากมุมมองของclient

-         แนวคิด Traditional approach มองปัญหาเกิดจาก mental health  ส่วนแนวคิด modern approachมองที่ปัญหาเกิดอยู่ในตัวบุคคลแต่ละคน (individual)  แต่แนวคิด Postmodern approaches มองปัญหาเกิดจากบริบทของสังคม, วัฒนธรรม, และการเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของชีวิตมนุษย์  ดังนั้นการรักษาแนว Narrative จึงมุ่งไปที่ปัญหาของclientที่มาจากสังคม, การเมือง, และวัฒนธรรม  นอกนั้นยังคำนึงเป็นพิเศษถึงเรื่องเพศ, ชนกลุ่มน้อย, เชื้อชาติ, ผู้พิการ, sexual orientation, ชนชั้นสังคม, และจิตวิญญาณและศาสนา

-         counselorจะมุ่งประเด็นที่เรื่องราวปัญหาชีวิตของclientในระดับของบุคคล, สังคมและวัฒนธรรม   จากปัญหาของclientที่เกิดจากบริบทของสังคมและวัฒนธรรม counselorก็ใช้บริบทของสังคมและวัฒนธรรมย้อนกลับไปสู่ตัวclient  โดยการช่วยให้เขาคิดเรื่องราวใหม่ๆที่สามารถเป็นไปได้ (ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเขา แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน) ในบริบทเดิมที่เขาอาศัยอยู่

-         Bertolino & O’Hanlon ให้ตัวอย่างคำถามเพื่อจะได้มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของพหุวัฒนธรรมที่มีต่อclient

·       บอกผมเกี่ยวกับเรื่องที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ (บางแง่มุมจากวัฒนธรรมของคุณ)

·       บอกผมเกี่ยวกับพื้นเพของคุณ เพื่อว่าผมจะได้เข้าใจในตัวคุณมากขึ้น

·       ความท้าทายอะไรที่คุณได้พบในขณะที่เติบโตในวัฒนธรรมของคุณ?

·       มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพื้นเพของคุณไหม ที่อาจจะเป็นอุปสรรคกับคุณ?

·       คุณสามารถดึงเอาพลังและทรัพยากรจากวัฒนธรรมของคุณได้อย่างไร?  ทรัพยากรอะไรที่คุณดึงมาใช้ในยามคับขัน?

 

          Shortcoming From a Diversity Perspective

-         ด้วยท่าที Not-knowing position ของ Postmodern approaches  counselorพยายามวางclientให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expert)ในชีวิตของเขาเอง  แต่สำหรับบุคคลที่มาจากหลากหลายกลุ่มวัฒนธรรม บางครั้งยอมรับท่าทีนี้ไม่ได้ เพราะเขามาเพื่อหวังที่จะพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญรักษาเขาให้หาย  ยิ่งถ้าcounselorพูดว่า “ผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ คุณต่าง หากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ  ผมวางใจในพลังของคุณที่สามารถจะแก้ไขปัญหาของคุณเองได้”   เช่นนี้แล้ว  clientจะเกิดความไม่มั่นใจในตัวcounselor   เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ counselorควรทำความเข้าใจกับclientให้รับทราบว่า ตัวcounselorเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกระบวนการรักษา  ในขณะที่ตัวclientเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง

 

 

 

Summary and Evaluation

-         นักทฤษฎี Social constructionist มองที่ตัวclientเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องชีวิตของตนแทนที่จะเป็นcounselor     ด้วยมุมมองนี้ ทำให้clientมักยึดติดกับรูปแบบเดิมๆที่ว่า ตนเองไม่มีความสามารถที่จะทำมันให้ดีได้  ด้วยเหตุนี้ทั้ง SFBT และ Narrative counselorต้องพยายามใช้การสนทนาดึงเอาพลัง, แง่มุมมองของชีวิต และประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของclientออกมาให้ได้ โดยต้องไม่ลืมว่าclientเป็นผู้ร่วมส่วนตัวเอก   คุณภาพและความสำเร็จของกระบวนการรักษาขึ้นอยู่กับว่าสัมพันธภาพของการร่วมมือมีมากน้อยแค่ไหน  ยิ่งมีมากโอกาสสำเร็จก็ยิ่งสูง

-         ท่าที Not-knowing ถือเป็นกุญแจสำคัญทั้งของ SFBT และ Narrative approach ด้วยท่าทีนี้ counselorจะติดตามเรื่องราวชีวิตของclientในบทบาทของผู้ร่วมสังเกตการณ์ และผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการรักษา  พร้อมกับบูรณาการมุมมองของ Postmodernism ในเรื่องที่มนุษย์เสาะแสวงหาอยู่

-         การรักษาแบบ SFBT และ Narrative approach ตั้งอยู่บนสมมติฐานของการมองโลกในแง่ดี กล่าวคือ มนุษย์มีความสมบูรณ์ มีพลัง มีทรัพยากร มีศักยภาพและความสามารถอยู่ในตัว ที่จะใช้หาคำตอบให้กับปัญหาของตนเอง โดยการสร้างเรื่องราวชีวิตใหม่ให้กับชีวิตของตนเอง

-         กระบวนการ SFBTจัดเตรียมบริบทที่เอื้อแก่clientให้สามารถสร้างคำตอบ หรือทางออกให้กับปัญหาของตนเอง มากกว่าที่จะมานั่งถกประเด็นเรื่องของตัวปัญหา  เทคนิคที่ใช้ได้แก่ Miracle questions, Exception questions, Scaling questions  เป็นต้น

-         กระบวนการ Narrative approach ให้ความสนใจในบริบทของวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตของclient     counselorมีหน้าที่ช่วยclientให้สามารถที่จะแยกตนเองออกจากกรอบปัญหาและสนับสนุนพร้อมสร้างโอกาสที่จะให้clientเขียนเรื่องราวชีวิตใหม่ของตนเอง

-         ทั้งกระบวนการ SFBT และ Narrative approach ใช้กระบวนการสนทนาทำให้clientสามารถที่จะสร้างเป้าหมายในชีวิตตนเองได้  ตัวอย่างคำถามเช่น “มีกี่ครั้งที่ชีวิตของคุณเดินบนหนทางที่คุณวางไว้ และเป็นดังที่คุณต้องการ”  คำถามเช่นนี้เป็นการจุดประกายให้ชีวิตมีคุณค่า  บนพื้นฐานของกระบวนการสนทนา ปัญหาของclientถูกแยกออกมา และถูกทำลายทิ้งไป แทนที่ด้วยเรื่องราวชีวิตใหม่อันเป็นทางออกของปัญหานั้นๆ และมีความเป็นไปได้เสมอ

 

Contribution of Postmodern Approaches (คุณประโยชน์)

-         แนวคิด Social constructionism ได้แก่ SFBT และ Narrative approach ได้ก่อคุณประโยชน์ให้กับวงการด้านการให้คำปรึกษา และการรักษาทางจิตวิทยา  ผู้เขียนให้คุณค่ากับมุมมองเชิงบวกของ Postmodern approaches ซึ่งมองว่ามนุษย์มีพลัง ศักยภาพ และทรัพยากรในตัวเองที่จะนำมาใช้ในการสร้างเรื่องราวชีวิตใหม่ให้กับตนเอง อันเป็นคำตอบและทางออกที่ดีกว่าของปัญหา   counselorและนักเขียนในสายนี้พบว่า clientสามารถบรรลุถึงประสบการเรื่องราวชีวิตใหม่ที่ตนเองพึงพอใจด้วยระยะเวลาอันสั้น

-         ผู้เขียนยังให้คุณค่าอีกประการ กล่าวคือ ทั้ง SFBT และ Narrative approach ไม่ใช้วิธีการที่จะลงไปขุดคุ้ยดูความผิดปกติของclient หรือมองว่าclientไม่ปกติ  แต่จะมองclient เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ เต็มด้วยพลังและทรัพยากรในตัว

-         ข้อได้เปรียบของSFBT คือ เป็นกระบวนการรักษาที่ใช้ระยะเวลาสั้น ประมาณ 5 sessions ก็เห็นผล (de Shazer, 1991)   จากงานศึกษา 2 เรื่องของ de Shazer ณ สถาบัน Brief Family Therapy Center เขานำเสนอรายงานว่า จำนวน 91%ของclientเข้ารับการรักษาเพียง 4 sessionsหรือมากกว่าก็เห็นผลแล้ว   จากการศึกษาของ Rothwell (2005)

พบว่า SFBT สามารถบรรลุผลได้ภายใน 2 sessions เทียบกับการรักษาแบบ Cognitive ซึ่งใช้ประมาณ 5 sessions   ความกะทัดรัดถือเป็นปัจจัยสำคัญของ SFBT ในยุคของการจัดการดูแลซึ่งเน้นที่คุณภาพและประหยัดเวลาการรักษา   Narrative approachก็มีพื้นฐานอยู่บนความกระทัดรัดของกระบวนการรักษาเช่นเดียวกัน

-         มีข้อโต้แย้งจากแนวคิดที่หาข้อสรุปบนเชิงประจักษ์ (Empirical generalizable perspective) ที่ไม่มั่นใจในประสิทธิผลของ SFBT    อย่างไรก็ตาม counselorของSFBT ก็แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลในวงกว้างของการรักษาปัญหาของclient  จากการศึกษายังพบว่า การรักษาด้วยระยะเวลาสั้น ให้ผลไม่แตกต่างไปจากการรักษาที่ใช้ระยะเวลายาวนาน (Mckeel, 1996)   จากการวิจัยในเรื่อง SFBT, Mckeel (1996)สรุปว่า เมื่อทดลองใช้เทคนิคของSFBT ผลที่ได้น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง  และclientเองก็สำเร็จในเป้าหมายที่ตนเองวางไว้

-         ตัวอย่างของการใช้SFBTกับชุมชนที่มีผู้กระทำผิดด้วยความรุนแรงสูง  Lee, Sebold, Uken (2003) บรรยายว่า มันใช้ได้ผลดีและเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกกับชุมชนนั้น  วิธีการของSFBTจะไม่ยกเอาประเด็นเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากผู้กระทำผิดขึ้นมาเป็นข้อมูล ซึ่งแตกต่างจากวิธีการดั้งเดิม  SFBTเน้นให้ผู้กระทำผิดหาคำตอบหรือทางออกให้กับความรุนแรงที่ตนเองก่อขึ้น แทนที่จะเน้นการกระทำผิดและข้อบกพร่องในตัวผู้กระทำผิด   Leeและกลุ่มเพื่อนใช้กระบวนการSFBTกับผู้กระทำผิดในชุมชนดังกล่าว 8 sessions ใช้เวลา 10-12 สัปดาห์  ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัตราการกระทำผิดซ้ำ 16.7%  และอัตราความสำเร็จ 92.9%    กลับกัน ด้วยกระบวนการแบบดั้งเดิม (Traditional approach) ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัตราการกระทำผิดซ้ำอยู่ระหว่าง 40-60 %  และอัตราความสำเร็จน้อยกว่า 50%

-         จุดเด่นของSFBT และ Narrative approach คือการใช้คำถามซึ่งถือเป็นแกนหลักของทั้งสองกระบวนการ  คำถามปลายเปิดเกี่ยวกับเจตคติ, ความคิด, ความรู้สึก, พฤติกรรม, และมุมมอง ของclient ถือเป็นการสอดแทรกหลัก โดยเฉพาะประโยคคำถามที่เกี่ยวเนื่องกับอนาคต   ซึ่งท้าทายให้clientคิดหาทางออกให้กับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  Winslade & Monk (2007) บันทึกไว้ว่า คำถามของcounselorที่ถามถึงความสามารถและทรัพยากรในตัวclient โดยอิงประสบการณ์ในอดีตของclient  มีแนวโน้มที่จะเป็นรากฐานที่แข็งแรงให้กับclientในการสร้างเรื่องราวชีวิตใหม่

 

Limitation and Criticisms of Postmodern Approaches

-         เพื่อให้เกิดประสิทธิผลของกระบวนการSFBT  counselorจำเป็นต้องมีทักษะและความชำนาญในการหาจังหวะสั้นๆที่จะแทรกคำถามเข้าไป  และด้วยการรักษาที่ใช้ระยะเวลาสั้น counselorต้องมีความสามารถที่จะประเมินผล, ช่วยเหลือclientให้กำหนดเป้าหมาย และใช้การแทรกจังหวะที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพ  counselorบางคนที่ยังไม่มีประสบการณ์และขาดการฝึกฝนอาจจะหลงไหลกับการใช้เทคนิคคำถามจนเกินขนาด ไม่ว่าจะเป็น : Miracle question, scaling question, exception question, externalizing question.  อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะการพึ่งพาการใช้เทคนิคคำถามเหล่านี้เท่านั้น ความสำเร็จของการรักษายังขึ้นอยู่กับท่าที และความสามารถของcounselorที่จะใช้คำถามเหล่านี้  ซึ่งต้องสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความสนใจที่เต็มไปด้วยความเคารพต่อตัวบุคคลของclient

-         Mckenzie & Monk (1997) แสดงความเป็นห่วงต่อcounselorที่มุ่งใช้เทคนิคคำถามเป็นกลไกหลัก และทำตามขั้นตอนตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด แทนการดูที่ตัวclientเป็นหลัก  จะทำให้กระบวนการรักษาไม่เกิดประสิทธิผล   Narrative therapy มีพื้นฐานจากความคิดที่ง่ายๆ  แต่การลงมือปฏิบัติมันไม่ง่ายอย่างที่คิด

-         Mckeel (1996)ให้ข้อสังเกตถึงความสำคัญของสัมพันธภาพ (Relationship)ในกระบวนการรักษาของSFBT  ซึ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวก และสัมพัทธภาพแห่งความร่วมมือ (Collaboration) อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดประสิทธิผลในการรักษา   counselorที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับสัมพันธภาพ (relationship)ก็จะมุ่งแต่การใช้เทคนิคคำถาม โดยคิดว่าเป็นวิธีการที่ฉลาด (p.265)   counselorบางคนยอมรับปัญหาของการใช้เทคนิคคำถามมากเกินไป  และหันกลับมาเพิ่มความสำคัญให้กับสัมพันธภาพ ซึ่งถือเป็นหลักการปรัชญาของแนวคิด Postmodern approaches (Lipchik, 2002;  Nichols, 2006)

-         แม้จะมีข้อจำกัดดังกล่าว postmodern approachesก็ยังสร้างคุณประโยชน์ให้กับcounselor แม้จะต้องคำนึงถึงหลักการและทฤษฎีในขณะฝึกปฏิบัติ   ความคิดพื้นฐานและเทคนิคต่างๆทั้งของSFBT และ Narrative therapyยังสามารถนำมาใช้บูรณาการร่วมกับทฤษฎีการรักษาอื่นได้

 

                                                         

 

(แปลจาก “Theory and Practice of Counseling and Psychotherapy

      ของ Gerald Corey, 2009, p.373-403)

                                                                  

                                                          โดย นายสุวรรณ จูทะสมพากร