วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566

ทฤษฎีเชาว์ปัญญา 3 มิติ ของโรเบิร์ต เจ.สเติร์นเบิร์ก (Triarchic Theory of Intelligence by Robert J.Sternberg)

 

ทฤษฎีเชาว์ปัญญา 3 มิติ ของโรเบิร์ต เจ.สเติร์นเบิร์ก

(Triarchic Theory of Intelligence by Robert J.Sternberg) 

          เชาว์ปัญญา (Intelligence) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้สิ่งต่างๆและความ สามารถในการจัดการดูแลแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากเพียเจต์ (Piaget) ได้ตั้งทฤษฎีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาขึ้นมา โดยมีสมมติฐานอยู่ที่พันธุกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด  และสิ่งแวดล้อมซึ่งได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู อาหารการกิน ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพสังคมและวัฒนธรรม  แต่สเติร์นเบิร์ก (Robert J.Sternberg) หนึ่งในนักจิตวิทยาที่เป็นศิษย์ของเพียเจต์ เชื่อว่า เชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งที่พัฒนาได้และสามารถพัฒนาได้ดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัย 3 ปีแรกนั้น สมองจะเจริญเติบโตและพัฒนาได้มากถึง 80%   กอร์ปกับแบบทดสอบทักษะทางเชาว์ปัญญาและวิชาการที่มีใช้อยู่ เป็นการวัดความสามารถของสติปัญญาในด้านความจำ (Memory) และการวิเคราะห์ (Analysis) เท่านั้น   ในเรื่องของความจำ แบบทดสอบจะทำการประเมินความสามารถในการนึกคิดความทรงจำ และการรับรู้ข้อมูล   ส่วนในเรื่องการวิเคราะห์ แบบทดสอบจะวัดทักษะในการวิเคราะห์, เปรียบเทียบ, ประเมินผล, วิพากษ์ และตัดสินความ   ความสามารถและทักษะเหล่านี้สำคัญสำหรับการเล่าเรียนและชีวิตที่จะเจริญเติบโตขึ้น  แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับความสำเร็จในชีวิต   คนๆหนึ่งนอกจากจะมีความสามารถในการจำและการวิเคราะห์แล้ว ยังต้องสามารถที่จะรู้จักคิด  และนำไปปฏิบัติด้วย   สเติร์นเบิร์ก (Sternberg, 1997) เชื่อว่าการคิดที่สมบูรณ์แบบนั้นจำเป็นจะต้องประกอบ ด้วยความสามารถทางการคิด 3 ด้านอย่างสมดุลกัน คือการคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking), การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking), และการคิดเชิงปฏิบัติ (Practical Thinking)  นี่จึงเป็นที่มาของทฤษฎีเชาว์ปัญญา 3 มิติ (Triarchic Theory of Intelligence) ซึ่งตั้งขึ้นโดยสเติร์นเบิร์ก  

          สเติร์นเบิร์ก (Sternberg, 1985a) ได้อธิบายความคิดทั้ง 3 ด้านอย่างลึกซื้ง คือการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงปฏิบัติ โดยใช้ทฤษฎี 3 องค์ประกอบที่ควบคุมเชาว์ปัญญา (Triarchic Theory of Intelligence) ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ทฤษฎีย่อย คือทฤษฎีย่อยด้านกระบวนการคิด (Componential Subtheory) ซึ่งใช้อธิบายการคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking), ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Experiential Subtheory) ซึ่งใช้อธิบายการคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking), และทฤษฎีย่อยด้านบริบทสังคม (Contextual Subtheory) ซึ่งใช้อธิบายการคิดเชิงปฏิบัติการ (Practical Thinking)


ทฤษฎีย่อยด้านกระบวนการคิด (Componential Subtheory)

          เป็นกระบวนการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นของสมอง เริ่มจากการรับรู้ข้อมูลภายนอกอาจจะเป็นในรูปของสัญลักษณ์ โครงสร้าง หรือสิ่งของ แล้วส่งผ่านข้อมูลที่ได้รับรู้นั้นเข้ามาเป็นมโนทัศน์ทางสมอง  สำหรับรูปแบบมโนทัศน์โครงสร้างทางสมองอาจเป็นรูปภาพ ชุดของประพจน์ สมการ พีชคณิต หรืออื่นๆ  กระบวนการคิดแบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ (สุกัญญา ลีธีระ, 2549)

1. ส่วนประกอบด้านการปรับความคิด (Metacomponent) เป็นกระบวนการขั้นสูงในการวางแผน (Planning) สิ่งที่จะทำ, การควบคุม (Monitoring) สิ่งที่กำลังทำอยู่ และการประเมินผล (evaluating) ว่าสิ่งที่ทำแล้วเป็นอย่างไร เช่น สมองรับรู้ว่ามีปัญหาเข้ามา เริ่มนิยามตัวปัญหา เลือกกลยุทธ์ในการใช้แก้ปัญหา ควบคุมกระบวนการขณะที่ปัญหากำลังถูกแก้ไขอยู่ และสุดท้ายประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากการแก้ไขปัญหา

2. ส่วนประกอบด้านการปฏิบัติ (Performance Component) เป็นกระบวนการที่นำเอาคำสั่ง และข้อสรุปของส่วนประกอบด้านการปรับความคิด ลงมือกระทำจริง   ซึ่งส่วนประกอบด้านการปฏิบัตินั้นมีส่วนประกอบย่อย ๆ ที่สำคัญ คือ การเข้ารหัส (Encoding Component) เป็นกระบวนการของการรับรู้และเก็บข้อมูลที่เข้ามาใหม่ เปลี่ยนจากเชิงปริมาณเป็นเชิงคุณภาพ  โดยคุณภาพและปริมาณของการเข้ารหัสจะค่อยๆ ลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น,  การรวมและการเปรียบเทียบ (Combination and Comparison Component) ข้อมูลที่ได้รับมา และนำมาเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา,  การตอบสนอง (Response Component) เป็นกระบวนการปฏิบัติในการแก้ปัญหา โดยพิจารณาจากเวลาในการตอบสนอง (Response Component Latency)

3. ส่วนประกอบการแสวงหาความรู้ (Knowledge-acquisition Components) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างไร หรือแสวงหาความรู้จากข่าวสารสนเทศในเบื้องต้น (Sternberg, 1985) โดยเริ่มจากการเลือกเข้ารหัส (Selective Encoding) คือการเลือกรับข้อมูลเฉพาะที่ตรงกับบริบทการเรียนรู้ของผู้รับ, จากนั้นการเลือกเพื่อเปรียบเทียบ (Selective Comparison) คือการนำข้อมูลเก่าที่เก็บไว้ในสมองเปรียบเทียบกับปัญหาใหม่, และที่สุด การเลือกเพื่อรวบรวม (Selective Combination) คือการรวมข้อมูลที่ถูกเลือกเข้ารหัสไว้แล้ว กับข้อมูลเก่าที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับปัญหา เป็นข้อมูลก้อนเดียว และบางครั้งก็กลายเป็นคำตอบที่เด่นชัดให้กับปัญหานั้นๆ (Sternberg, 2005)

          จะเห็นได้ว่าทฤษฎีย่อยด้านกระบวนการคิด (Componential Subtheory) เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานในการคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking) เป็นกระบวนการพื้นฐานในการประมวลผลข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดพฤติกรรมทางปัญญา โดยทำให้เกิดปัจจัยพื้นฐานในการแก้ปัญหาแปลกใหม่ มีความคล่องในการประมวลผลข้อมูลข่าวสาร และปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยเลือกสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Experiential Subtheory)

การวัดเชาวน์ปัญญาในส่วนของทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Sternberg, 1985) จะประเมินใน 2 ด้าน ดังนี้

1.      ความสามารถในการแก้ปัญหาแปลกใหม่ (Ability to deal with Novelty) คือการที่คนๆหนึ่งพบ

วิธีใหม่ๆที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักมาใช้ในการแก้ปัญหา (Sternberg, 1997)   ขั้นตอนประกอบด้วยความเข้าใจในปัญหานั้นๆ (Comprehension of the Task) และการดำเนินการแก้ปัญหาตามความเข้าใจ (Action upon One’s Comprehension of the Task)    ดังนั้นปัญหาใหม่ๆจะต้องมีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์เดิมของบุคคล เพราะบุคคลต้องใช้พื้นฐานทางปัญญา (Cognitive structure) ในการทำความเข้าใจปัญหานั้น

2.      ความคล่องแคล่วในการประมวลผลข้อมูล (Ability to Automatize Information Processing) 

เป็นการพิจารณาความเร็วและประสิทธิภาพในการประมวลข้อมูลข่าวสาร หากกระบวนการถูกทำอยู่บ่อยๆ ก็จะเกิดความคล่องแคล่ว ใช้ความคิดและเวลาน้อยลง

ความสามารถในการแก้ปัญหาแปลกใหม่ และความคล่องแคล่วในการประมวลผลข้อมูล เป็นสิ่งที่มีความต่อเนื่องกัน เมื่อบุคคลพบปัญหาแปลกใหม่ครั้งแรก บุคคลนั้นก็จะพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นด้วยความรวดเร็ว หากเราวัดความเร็วในการแก้ปัญหา ก็จะเป็นการวัดความคล่องแคล่วในการประมวลผลข้อมูลเพียงอย่างเดียว ดังนั้นความสามารถในการแก้ปัญหาแปลกใหม่สามารถวัดได้จากการคิดแก้ปัญหาอุปมาอุปมัย(Analogies)   และความคล่องแคล่วในการประมวลผลข้อมูลสามารถวัดได้จาก การจัดหมวดหมู่ (Classification) และการอ้างเหตุผล (Syllogisms)

ดังนั้น ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์จึงจัดเป็นความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาแปลกใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ  คนที่ฉลาดจึงย่อมเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารใหม่ๆให้มีรูปแบบ (Pattern) ที่สอดคล้องกับความรู้ที่มีอยู่เดิม หรือสามารถปรับขยายโครงสร้างความรู้เดิมให้รับรู้หรือรับประสบการณ์ใหม่ได้โดยอัตโนมัติ 

ทฤษฎีย่อยด้านบริบทสังคม (Contextual Subtheory)

สเติร์นเบิร์ก (Sternberg, 1995) ได้อธิบายทฤษฎีย่อยด้านบริบทสังคม ว่าเป็นความสามารถในการวางตัวที่จะปฏิบัติตามเนื้อหาหรือสิ่งแวดล้อม (Practical-Contextual Abilities) ได้อย่างมีความสุข เป็นการทำงานของเชาวน์ปัญญาในลักษณะที่เป็นกิจกรรมทางสมอง (Mental Activity) (Sternberg, 1985) ที่บุคคลแสดงการกระทำโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการปรับตัว (Adapting), ตกแต่งดัดแปลง (Shaping), และเลือก (Selecting) สิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับสภาพการดำเนินชีวิตของบุคคล

การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม คือการที่บุคคลหนึ่งสามารถปรับสภาพของตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  บุคคลที่มีเชาว์ปัญญาจะสามารถถ่ายโอนทักษะและความชำนาญของตนเองจากสิ่งแวดล้อมหนึ่งไปสู่อีกสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ  การดัดแปลงตกแต่งสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับตนเอง คือ การที่บุคคลหนึ่งจำเป็นต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงบางอย่างรอบตัวเขา สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ อะไรที่เขาจะเปลี่ยนแปลง และจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร และบางครั้งมีความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หรือในการดัดแปลงตกแต่งสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตนเอง จนอาจนำไปสู่สภาวะชะงักงันของการเจริญเติบโตและพัฒนา  ทางออกที่ดีคือการเลือกอีกสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่เหมาะกับจุดเด่นและจุดด้อยของตนเอง


 จาก 3 ทฤษฎีย่อยที่ได้กล่าวมา สามารถสรุปเป็นกระบวนการคิด (Thinking) ได้ดังนี้

1.      การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical thinking) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดวิเคราะห์ การพิจารณาข้อดีข้อด้อยและการแก้ปัญหาเมื่อประสบกับอุปสรรคต่างๆ โดยนำประสบการณ์ที่เคยได้เรียนรู้มา นำมาปรับใช้ในการประเมินและในการวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.      การคิดเชิงสร้างสรรค์(Creative thinking) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการนำความรู้ที่ได้รับผ่านทางประสบการณ์ต่างๆมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสร้างสรรค์ โดยการคิดค้นสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้างให้เกิดขึ้น

3.      การคิดเชิงปฏิบัติ (Practical thinking) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการปรับเอาแนวคิดเชิงทฤษฎีให้สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งคนที่มีการคิดเชิงปฏิบัติสูงจะมีความสามารถในการเอาตัวรอดและจัดการกับเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดี 


           ดังนั้น กระบวนการคิด (Thinking) ที่นำเสนอโดยสเติร์นเบิร์ก แม้จะถูกออกแบบมาให้มีขั้นตอนที่เป็นสากล สามารถนำไปใช้ได้ทุกหนทุกแห่ง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ยังต้องขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ด้วย กล่าวคือปัญหาอย่างเดียวกัน แต่วิธีการคิดแก้ปัญหาที่ได้รับการยอมรับว่าฉลาดหลักแหลม อาจแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละแห่ง   อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วการคิดก็ยังต้องประกอบ ด้วยการคิดวิเคราะห์, การคิดสร้างสรรค์, และการคิดเชิงปฏิบัติ รวมประสานกันเป็นรากฐานให้กับเชาว์ปัญญาซึ่งจะนำพาบุคคลไปสู่ความสำเร็จแห่งชีวิต




บรรณานุกรม

สุกัญญา ลีธีระ.  (2549).  ผลการฝึกความสามารถทางสมองด้านการวิเคราะห์ในทฤษฎีย่อยด้านการคิด      ตามแนวทฤษฎีเชาว์ปัญญาของสเติร์นเบิร์ก ที่มีต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของ     นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.  ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การวัดผลการศึกษา).  กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.  ถ่ายเอกสาร.

Sternberg, R.J.  (1977).  Intelligence, information processing, and analogical reasoning: The       componential analysis of human abilities.  Hillsdale, USA : Lawrence Erlbaum.

Sternberg, R.J.  (1985a).  Beyond IQ: A triarchic theory of human intelligence.  New York, USA   : Cambridge University Press.

Sternberg, R.J.  (1995).  In search of the human mind.  Orlando, USA : Harcourt Brace   College.

Sternberg, R.J.  (1997).  Successful intelligence.  New York, USA : Plume.

Sternberg, R.J.  (2005).  The theory of successful intelligence.  Interamerican Journal of Psychology,  39, 189-202.

         

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น