วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

 


วันอาทิตย์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา (27 กรกฎาคม 2025)
พระวรสาร: ลูกา 11:1-13
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาส

คุณเคยโทรหาคนคนหนึ่งแล้วไม่มีใครรับสายไหม? คุณเฝ้าจ้องหน้าจอมือถือ หวังว่าจะมีสายกลับมา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิ่งเงียบ… คุณจึงส่งข้อความไปว่า “หวังว่าทุกอย่างจะโอเคนะ” แล้วก็ยังไม่มีการตอบกลับ ความเงียบค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ—เขาเห็นข้อความหรือยัง? เขาตั้งใจเมินเราหรือเปล่า? หรือแค่ยุ่งเกินกว่าจะตอบ? หรือมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ?

การอธิษฐานก็อาจให้ความรู้สึกคล้ายกัน—เราร้องเรียกหาพระเจ้า วอนขอสิ่งต่าง ๆ พูดกับพระองค์ในยามค่ำคืนเงียบสงบ... แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเหมือนจะเป็นเพียง "ความเงียบ" การรอคอย และความสงสัย

ความเงียบนี้เองที่กระตุ้นให้บรรดาศิษย์เข้าไปทูลถามพระเยซู เพราะพวกเขาได้เห็นพระองค์ และยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง อธิษฐานอย่างลึกซึ้งและใกล้ชิด พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนข้าพเจ้าให้อธิษฐานเถิด” บางทีในใจลึก ๆ พวกเขาอาจหวังว่าจะได้รับสูตรลับบางอย่าง หรือวิธีพิเศษที่จะทำให้สวรรค์ตอบรับรวดเร็วทันใจ แต่พระเยซูไม่ได้ให้เทคนิคใด ๆ พระองค์ให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น—“ความสัมพันธ์”

หลายคนมักหันมาพึ่งการอธิษฐานเมื่อมีเรื่องจำเป็น เหมือนพระเจ้าเป็น “ยักษ์ในตะเกียง” ผู้รอคอยจะมาช่วยเหลือตามคำขอของเรา แต่พระเยซูแสดงให้เราเห็นว่า การอธิษฐานคือสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก

เมื่อพระองค์สอนให้เราเริ่มด้วยคำว่า “ข้าแต่พระบิดา” พระองค์ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง เราไม่ใช่เสียงไร้ตัวตนในความมืดอีกต่อไป แต่เราเป็นบุตรชายหญิงที่พระเจ้าทรงรัก กำลังพูดคุยกับพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก คำวิงวอนแต่ละประโยคในบทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้า—ขนมปังประจำวัน การให้อภัย การคุ้มครอง—ไม่ได้เป็นเพียงรายการของความต้องการ แต่คือคำเชื้อเชิญให้พึ่งพาพระเจ้าในทุก ๆ วัน

การอธิษฐาน คือความสัมพันธ์ที่มีชีวิต มีลมหายใจ เป็นสายใยที่เชื่อมโยงระหว่างจิตวิญญาณของมนุษย์กับพระหทัยของพระเจ้า ไม่ใช่พิธีกรรมที่ต้องทำให้เสร็จ หรือการแลกเปลี่ยนสิ่งของเหมือนธุรกรรม แต่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คำพูดกลายเป็นการสนทนา ความเงียบกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ และความกลัวลึกสุดในใจเราถูกโอบรับด้วยความอ่อนโยนของพระบิดาเจ้า

ในการอธิษฐาน เราเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของพระเจ้า สัมผัสถึงการประทับอยู่ของพระองค์ และเข้าใจพระประสงค์ของพระองค์ จากการรู้ “เกี่ยวกับ” พระเจ้า เราก้าวไปสู่การ “รู้จัก” พระองค์อย่างลึกซึ้งและแท้จริง

แล้วพระเยซูยังเล่าเรื่องหนึ่ง: เพื่อนคนหนึ่งไปเคาะประตูบ้านเพื่อนตอนเที่ยงคืน ขอขนมปัง เพื่อนคนนั้นในตอนแรกไม่ยอมลุกขึ้น แต่เพราะความเพียรพยายาม เขาจึงลุกมาให้ในที่สุด

ทำไมพระเยซูจึงเล่าเรื่องนี้? เพราะมันสะท้อนประสบการณ์ของเรา หลายครั้งเรารู้สึกอยากยอมแพ้ เมื่อคำอธิษฐานของเราถูกพบด้วยความเงียบ แต่พระเยซูยืนยันกับเรา: จงวอนขอ จงแสวงหา จงเคาะประตู เพราะหัวใจของการอธิษฐาน คือ “ความเพียร” มันเป็นสิ่งส่วนตัว เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่

พระเยซูยังทรงรับรองกับเราว่า พระเจ้าจะไม่ประทานหินแทนขนมปัง หรือแมงป่องแทนไข่ พระองค์จะประทานของดีให้เสมอ โดยเฉพาะ “พระจิตเจ้า” ซึ่งเป็นของประทานประเสริฐที่สุด และบางครั้ง “ความเงียบ” ที่เราพบไม่ใช่การปฏิเสธ แต่มันคือการ “เตรียมใจ” ของเรา

เพราะการอธิษฐานไม่ใช่แค่เพื่อ “คำตอบ” แต่คือเพื่อการ “พบพระเจ้า”

พระเจ้าไม่ใช่ตู้กดสินค้าอัตโนมัติ แต่ทรงเป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ทรงเชื้อเชิญเราให้เข้าสู่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง กับพระองค์ และในหัวใจของคำอธิษฐานทุกบท ไม่ใช่เรื่องของการได้สิ่งที่เราต้องการ แต่เป็นเรื่องของการเติบโตใกล้ชิดกับพระเจ้า วางใจในพระองค์ และยอมรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่า “ดีที่สุด” สำหรับเรา

เพราะฉะนั้น ขอให้เรากล้าทุบประตูอย่างมั่นใจ วอนขออย่างเปิดใจ และแสวงหาอย่างจริงจัง และในการอธิษฐานนั้น ขอให้เราไม่เพียงค้นพบ “คำตอบ” แต่ค้นพบ “พระองค์” ผู้ทรงรักและอ่อนโยนอยู่เสมอ

อย่ายอมแพ้ต่อพระเจ้า—เพราะพระองค์จะไม่มีวันยอมแพ้ต่อคุณ!


วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา (20 กรกฎาคม 2025) บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 10:38–42

 วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา (20 กรกฎาคม 2025)

บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 10:38–42

ในพระวรสารของวันอาทิตย์นี้ เราได้พบกับสองพี่น้อง มารธาและมารีย์ ผู้ต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้าสู่บ้านของตน มารธาเป็นแม่บ้านผู้ขยันขันแข็ง เธอมัวแต่ยุ่งกับภารกิจด้านการต้อนรับ ขณะที่มารีย์นั่งอยู่แทบเท้าของพระเยซู ฟังพระวาจาอย่างตั้งใจ
เมื่อมารธาเอ่ยถึงความเหนื่อยล้าของตน พระเยซูจึงตอบด้วยความเมตตาและความชัดเจนว่า

“มารธา มารธา เธอวิตกกังวลกับหลายสิ่งนัก แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จำเป็น มารีย์เลือกสิ่งที่ดีกว่า และจะไม่มีใครพรากสิ่งนั้นไปจากเธอได้”

หากเราพิจารณาฉากนี้ให้ลึกซึ้ง เราจะพบว่าการกระทำของมารธาเกิดจากความรักและความจริงใจ การรับใช้ของเธอไม่ใช่ความไร้สาระ แต่คือความใส่ใจอย่างแท้จริง เธอแสดงความรักต่อพระเยซูผ่านการรับใช้ด้วยหัวใจ
แต่พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนให้เธอผ่อนพักจากความวุ่นวาย ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เธอทำนั้นผิด หากแต่เพราะพระองค์ต้องการให้หัวใจของเธอได้หยุดพักและพบความสงบในพระองค์

การเชื้อเชิญของพระเยซูในตอนนั้นไม่ใช่ให้ละทิ้งหน้าที่การรับใช้ แต่ให้ตั้งรากฐานของภารกิจเหล่านั้นไว้ในความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับพระองค์ เป็นคำเชื้อเชิญให้อยู่กับพระเจ้า มากกว่าการเร่งรีบทำสิ่งต่าง ๆ เพียงเพื่อผลสำเร็จภายนอก เป็นการให้ความสำคัญกับการ “อยู่ร่วม” มากกว่าการ “ทำให้สำเร็จ”

พระวรสารของวันอาทิตย์นี้ แม้จะสั้น แต่กลับมีสาระสำคัญอย่างลึกซึ้งที่เรามักมองข้ามในชีวิตประจำวันอันวุ่นวายของเรา เช่นเดียวกับมารธา เรามักถูกดึงให้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย มีภาระและหน้าที่มากมายที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งล้วนมีเจตนาดีทั้งสิ้น แต่ในความเร่งรีบนั้นเอง เราอาจหลงลืมสิ่งที่จำเป็นที่สุดไป นั่นคือ การอยู่กับพระเยซู

การอธิษฐาน การสงบนิ่ง และการใคร่ครวญ ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็น เป็นรากฐานที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ และเติมความหมายให้กับภารกิจของเรา หากขาดสิ่งเหล่านี้ แม้การรับใช้ของเราจะเริ่มจากเจตนาดี ก็อาจกลายเป็นเพียงความเร่งรีบวุ่นวายปราศจากพระหรรษทาน

พระวรสารวันนี้ไม่ได้เชื้อเชิญให้เราทอดทิ้งหน้าที่ แต่เชื้อเชิญให้เราหยุดพักและตั้งชีวิตอยู่บนรากฐานของการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้า

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความเงียบสงบกลายเป็นสิ่งหายาก เราต้องรับมือกับเสียงรบกวนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอีเมล การแจ้งเตือน การประชุม หรือกำหนดเส้นตายต่าง ๆ แม้ในขณะนิ่งเฉย จิตใจก็ยังเต็มไปด้วยความคิด ความกังวล และรายการสิ่งที่ต้องทำ

แต่ความเงียบไม่ใช่เพียงการไม่มีเสียง หากเป็น “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่เราสามารถพบกับพระเจ้าและผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้กลับมาอยู่กับตัวเอง รับฟังเสียงหัวใจของเรา และเปิดใจต้อนรับพระเจ้า

คำกล่าวที่ว่า “ความเงียบคือทองคำ” ยิ่งมีความหมายในโลกปัจจุบัน ที่เสียงและความเร่งรีบกลายเป็นเรื่องปกติ ความเงียบจึงมิใช่เพียงสิ่งล้ำค่า แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะในความเงียบ เราจะพบความกระจ่าง สงบใจ และมีพื้นที่สำหรับการใคร่ครวญลึกซึ้ง ทั้งกับตัวเอง กับผู้อื่น และกับพระเจ้า

ความเงียบไม่เกิดขึ้นเอง แต่ต้องตั้งใจเลือก ต้องอาศัยวินัย การตระหนักรู้ และความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จะหยุดนิ่ง

“สิ่งที่ดีกว่า” ที่พระเยซูตรัสถึง จึงไม่ใช่การเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง แต่คือการเลือกช่วงเวลาแห่งความสงบท่ามกลางความยุ่งเหยิงในชีวิต เป็นคำเชื้อเชิญให้เราหยุด ฟัง และตระหนักว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ

ท่ามกลางภารกิจและความรับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ความเร่งรีบผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิต
แต่จง สร้างพื้นที่ให้ความเงียบ และ เปิดใจต้อนรับพระองค์
ในความสงบนั้นเอง พระองค์จะเผยพระองค์ และสันติสุขของพระองค์จะหยั่งรากในใจเรา
เพราะความเงียบ คือสถานที่ที่หล่อเลี้ยงสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา.