พ่อพาลูกชายไปตั้งแคมป์ที่เขาใหญ่ ตกดึกพ่อตื่นขึ้นมาเห็นท้องฟ้าปราศจากเมฆ มีดวงดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับสดใสอยู่เต็มไปหมด พ่อจึงปลุกลูกชายให้ตื่น "โอ้โห สวยจริงๆครับ เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นดวงดาวมากมายอย่างนี้บนท้องฟ้ามาก่อนเลยครับ" ลูกชายพูดด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง "ผลั่ว" พ่อตบกบาลลูกให้ตื่นจากภวังค์ แล้วพูดว่า "ใครขโมยเต้นท์ของเราไป?"วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556
ดวงดาวบนท้องฟ้า
พ่อพาลูกชายไปตั้งแคมป์ที่เขาใหญ่ ตกดึกพ่อตื่นขึ้นมาเห็นท้องฟ้าปราศจากเมฆ มีดวงดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับสดใสอยู่เต็มไปหมด พ่อจึงปลุกลูกชายให้ตื่น "โอ้โห สวยจริงๆครับ เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นดวงดาวมากมายอย่างนี้บนท้องฟ้ามาก่อนเลยครับ" ลูกชายพูดด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง "ผลั่ว" พ่อตบกบาลลูกให้ตื่นจากภวังค์ แล้วพูดว่า "ใครขโมยเต้นท์ของเราไป?"วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556
ของขวัญจากข้างถนน
วันหนึ่ง มาร์คกำลังเดินกลับบ้านหลังจากโรงเรียนเลิก เขาสังเกตเห็นเด็กชายอายุไล่เลี่ยกับเขา เดินอยู่ข้างหน้าเขาไม่ห่างนักและเสียหลักล้มลงพร้อมสิ่งของต่างๆที่เขาหอบมาจากโรงเรียน มีทั้งหนังสือ เสื้อหนาว ไม้เบสบอล ถุงมือ และเครื่องอัดเสียง มาร์คคุกเข่าลง ช่วยเด็กคนนั้นเก็บของ เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเดินกลับบ้านบนเส้นทางเดียวกัน มาร์คเลยอาสาช่วยหอบของให้ ขณะเดินมาด้วยกัน มาร์คก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนที่เขาเดินคุยด้วย ชื่อบิลล์l และบิลล์ก็ชอบวีดีโอเกมส์ เบสบอล และวิชาประวัติศาสตร์
เมื่อทั้งสองถึงบ้านของบิลล์ บิลล์เชิญชวนให้มาร์คเข้ามานั่งพักดื่มน้ำผลไม้และดูทีวีด้วยกัน ช่วงบ่ายผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะ และการแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน แล้วมาร์คก็ขอตัวกลับบ้าน
ทั้งสองสานต่อสัมพันธ์ด้วยการพบปะกันที่โรงเรียน และก็กลับกลายเป็นมิตรภาพ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่ใช่เพื่อนรักแบบคู่หู แต่ทั้งสองก็สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาพร้อมกัน และชั้นมัธยมศึกษาในปีต่อๆมา และที่สุดช่วงกำลังจะสำเร็จการศึกษาก็ใกล้เข้ามา เหลืออีกเวลา 2 อาทิตย์ก่อนรับประกาศนียบัตร บิลล์พามาร์ค มานั่งข้างๆ และขอคุยด้วย
บิลล์ “ผมยังจบจากที่นี่ไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ขอบคุณเธอ”
มาร์ค “ขอบคุณเรื่องอะไร?”
บิลล์ย้อนอดีตไปวันนั้นเมื่อหลายปีก่อน วันที่เขาทั้งสองได้พบกันครั้งแรก บิลล์ถามมาร์คว่า “เธอไม่แปลกใจเหรอ ที่วันนั้นเห็นผมหอบของพะรุงพะรังกลับบ้าน?”
มาร์ค “ผมคิดว่าเธอกำลังย้ายที่มั้ง?”
บิลล์ “ช่วงวันเหล่านั้น ผมรู้สึกแย่จริงๆ ผมถูกไล่ออกจากทีมเบสบอล สอบตกวิชาพีชคณิต แฟนบอกเลิกกับผม และแม่ของผมก็กำลังจะจดทะเบียนหย่า วันนั้นผมทำความสะอาดล็อกเกอร์ของผมที่โรงเรียน เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระให้กับแม่ของผมในภายหลัง สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ผมแอบเอายานอนหลับของแม่มา 2-3 เม็ด กะว่าถ้ารวบรวมได้มากพอ ผมก็จะกลับบ้านฆ่าตัวตาย”
บิลล์ “แต่วันนั้น ผมสนุก หัวเราะ และได้พูดคุยกับเธอ ผมมาเข้าใจว่าหากผมฆ่าตัวตายแล้ว ผมก็คงพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ รวมทั้งช่วงบ่ายแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลินของวันต่อๆไป เธอคงเข้าใจแล้วใช่มั้ยมาร์ค วันนั้นเธอช่วยผมเก็บหนังสือ เธอดึงชีวิตผมกลับคืนมา”
เรื่องจริงเขียนโดย John Wayne Schlatter เรื่อง “ของขวัญจากข้างถนน”
หลายปีต่อมามาร์คพบบิลล์พร้อมกับภรรยาและลูก 2 คน ที่ร้านไอศกรีม วันนั้นถ้าบิลล์ไม่ได้พบมาร์ค ลูกทั้งสองคนของบิลล์ก็คงไม่มีโอกาสมานั่งรับประทานไอศกรีมในวันนี้
สำหรับโลกใบนี้ คุณอาจเป็นแค่บุคคลธรรมดาคนหนึ่ง แต่สำหรับบุคคลคนหนึ่ง คุณอาจเป็นโลกทั้งโลกสำหรับเขาก็ได้
วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556
ศาสตร์และศิลป์: ประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบ SFBT
ศาสตร์และศิลป์: ประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส
(Science and art: Effectiveness and beauty of Solution-Focused Brief Therapy in Groups)
บทนำ (Introduction)
ศาสตร์ หมายถึงระบบวิชาความรู้ที่มีหลักเกณฑ์ มีทฤษฎีให้เรียนรู้และถ่ายทอดกันได้ ศิลป์ หมายถึงฝีมือในการจัดการ การนำหลักเกณฑ์ไปปฏิบัติให้เกิดประสบการณ์ทางสุนทรียะ (Aesthetic experience) ทฤษฎีการให้คำปรึกษาในแนว Postmodern มีคุณลักษณะของทั้งสองอย่างนี้ และบูรณาการเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้เกิดประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษา ความเป็นศาสตร์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส อยู่ที่ตัวบททฤษฎีซึ่งมีขั้นตอนและตรรกะในการใช้ จากปัญหาสู่การหาทางออกให้กับปัญหาโดยการตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น ความเป็นศิลป์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส อยู่ที่การใช้เทคนิคคำถามรูปแบบต่างๆอย่างเหมาะสม ผสมผสานเข้ากับสัมพันธภาพแห่งความร่วมมือระหว่างผู้นำกลุ่มกับสมาชิก ที่จะปลุกพลัง สมรรถนะ และทรัพยากรที่อยู่ในตัวสมาชิกให้ตื่นจากภวังค์ เพราะความเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส จึงทำให้ทฤษฎีนี้โดดเด่นและโลดแล่นอยู่ในโลกของการบำบัด
การให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส หรือ SFBT (solution-focused brief therapy) เป็นการบำบัดที่มีแนวคิดมุ่งถึงอนาคต มีเป้าหมายที่ชัดเจน และใช้ระยะเวลาสั้น ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในปี 1980 โดย Steve de Shazer และ Insoo Kim Berg ณ สถาบันบำบัดครอบครัวระยะสั้น ในมิววอคกี้ SFBT เน้นในเรื่องพลังและความยืดหยุ่นของแต่ละบุคคล โดยมุ่งประเด็นไปที่เรื่อง “ข้อยกเว้น” ของปัญหา และการคิดหาคำตอบให้กับปัญหา ด้วยการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ผู้ให้การบำบัดจะกระตุ้นให้ผู้รับการบำบัดมีพฤติกรรมดังกล่าว (exception and solution) เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้เคยทำสำเร็จมาก่อนหน้านี้ (de Shazer & Dolan, 2007)
มีงานวิจัยหลายฉบับที่สนับสนุนการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ว่าเป็นรูปแบบการบำบัดที่มีประสิทธิผล และใช้ได้ดีกับผู้รับบริการที่มีปัญหาหลากหลายรูปแบบ เช่น ซึมเศร้า, คิดฆ่าตัวตาย, ปัญหาการนอน, ปัญหาการกินผิดปกติ, ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูก, ปัญหาสัมพันธภาพของคู่สมรส, ปัญหาทางเพศ, การถูกคุกคามทางเพศ, ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาการเห็นคุณค่าแห่งตน เป็นต้น ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานของ De Jong และ Berg (1998) ที่สรุปว่าการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสประสบผลสำเร็จถึง 70% หรือสูงกว่านั้น ในการบำบัดผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว นอกนั้นยังมีงานวิจัย 3 ฉบับที่สนับสนุนให้มีการนำการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมาใช้กับกลุ่มสามีภรรยา (Zimmerman, Prest, & Wetzel, 1997), กลุ่มของผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครอง (Zimmerman, Jacobson, MacIntyre, & Watson, 1996), และกลุ่มที่มีปัญหาการจัดการกับความโกรธ (Schorr, 1997)
จากการรวบรวมผลการทดลองของงานวิจัย 24 ฉบับ พบว่าการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของการเสริมแรงจูงใจโดยใช้เวลาระยะสั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ารูปแบบการบำบัดที่ใช้ระยะเวลายาว (Bien, Miller, & Tonigan, 1993; Institute of Medicine, 1989) ดังนั้นการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ซึ่งเป็นการบำบัดบนแนวคิดความยืดหยุ่นของบุคคล จึงเป็นกระบวนการบำบัดที่มีประสิทธิผล คุ้มกับค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการสูงในการพึ่งพาทรัพยากร
งานวิจัยของ Gingerich และ Eisengart (2000) ได้ทำการศึกษาผลลัพธ์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส จำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งมีผู้ติดสารเสพติดเข้ารับการบำบัดด้วย ปรากฏว่า 36% ของสมาชิกกลุ่มบรรลุถึงเป้าหมายมาตรฐานของกระบวนการบำบัดภายในการทำกลุ่ม 2 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับการให้คำปรึกษากลุ่มรูปแบบอื่นๆที่ไม่จำกัดในเรื่องเวลา และประเมินผลจากการทำกลุ่ม 2 ครั้ง มีเพียงแค่ 2% ของสมาชิกกลุ่มที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว Metcalf (1998) เสนอว่า สำหรับผู้ติดสารเสพติดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา
แนวคิดหลัก (Key concepts)
แนวคิดเชิงบวก (Positive orientation)
SFBT หรือบางครั้งเรียกว่า Solution-focused counseling มีหลักการอยู่บนสมมติฐานของการมองโลกในแง่ดี ทีว่ามนุษย์เต็มไปด้วยพลังและศักยภาพ และความสามารถที่จะค้นหาทางออก, คำตอบ หรือวิธีการ (solution) ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา บทบาทของผู้ให้คำปรึกษาคือการช่วยให้ผู้รับบริการรู้ถึงพลังและศักยภาพที่อยู่ในตัวเขา เช่น ความยืดหยุ่น ความกล้าหาญ และความมีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหา ด้วยการสนทนา ผู้รับบริการเห็นภาพของตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ในชีวิต ความเป็นไปในอนาคต และอะไรที่จะนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จ
การให้คำปรึกษาที่เต็มไปด้วยความเคารพและความหวัง ถูกสร้างอยู่บนพื้นฐานมิติเชิงบวก เช่น พลังในตัวบุคคล และวิธีการหาคำตอบให้กับปัญหาซึ่งได้รับแนวทางมาบ้างแล้วจากสถานการณ์อื่นๆ การให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมีฐานคิดเช่นเดียวกับจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งเน้นสิ่งที่ถูกต้องและกำลังขับเคลื่อนอยู่ในตัวบุคคล มากกว่าที่จะเน้นจุดด้อย ความอ่อนแอ และปัญหาของเขา (Murphy, 2008) ด้วยการดึงเอามิติเชิงบวกมาเป็นจุดเด่น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดของการเสริมสร้างพลังอำนาจ ผู้รับบริการสามารถจัดการกับปัญหาของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
เป้าหมายหนึ่งของ SFBT คือการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้รับบริการโดยใช้การจัดกรอบความคิดใหม่ (reframing) ที่ White และ Epston (1990) ได้อธิบายไว้ว่า จากเรื่องราวชีวิตของผู้รับบริการที่เต็มไปด้วยปัญหารุมเร้า ผ่านกระบวนการใช้ภาษาอย่างชำนาญและมีทักษะของผู้ให้คำปรึกษา ผู้รับบริการก็จะสามารถปรับเปลี่ยนความคิดและมุมมองของตนเองได้ ผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับบริการช่วยกันสร้างแนวทางแก้ไขหรือทางออกให้กับปัญหา โดยที่ผู้ให้คำปรึกษาจะกระตุ้นให้ผู้รับบริการเขียนบันทึกเรื่องราวที่แตกต่างไปจากเดิมพร้อมภาคจบที่เป็นบทใหม่ (O’Hanlon, cited in Bubenzen & West, 1993) ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสสามารถที่จะทำตัวเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากปัญหาที่นอนนิ่งทับถมตัวเขาอยู่ ทะยานสู่โลกใหม่ของความเป็นไปได้ที่นำไปสู่วิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เน้นที่คำตอบของปัญหา ไม่ใช่ที่ตัวปัญหา (Focus on solutions, not problems)
SFBT ให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคต ผู้ให้คำปรึกษาสนใจกับสิ่งที่เป็นไปได้ในการหาคำตอบให้กับปัญหา มากกว่าความสนใจในตัวปัญหาและการสำรวจเรื่องราวในอดีต de Shazer (1988, 1991)ให้คำแนะนำว่า ไม่จำเป็นที่จะรู้ถึงสาเหตุของปัญหาเพื่อที่จะหาวิธีการแก้ปัญหา และไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมโยงกันระหว่างตัวปัญหากับวิธีการแก้ปัญหา ไม่จำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของปัญหาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม Sharry (2001) เสนอให้แบ่งระยะเวลาออกเป็น 80% สำหรับการพูดคุยหาทางออกให้กับปัญหา (solution talk) และอีก 20% เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา (problem talk) โดยให้เหตุผลว่าหากพูดคุยแต่เรื่องของปัญหาอย่างเดียว ก็จะเกิดความหมดหวัง ความขัดแย้ง และการต่อต้านในตัวของสมาชิกกลุ่ม หรือหากพูดคุยแต่เรื่องทางออกให้กับปัญหาอย่างเดียว ก็จะดูเกินความเป็นจริง ทำให้กลุ่มอยู่ในโลกของความคิดเท่านั้น และสุดท้ายจะเป็นการหาคำตอบให้กับปัญหาแบบบังคับให้ทำ (Nylund & Corsiglia, 1994)
ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ในการทำกลุ่มครั้งแรก ยิ่งสมาชิกกลุ่มพูดคุยในเรื่องการหาทางออกให้กับปัญหามากเท่าไร ก็มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นเท่านั้นที่สมาชิกกลุ่มจะเข้าร่วมการทำกลุ่มในครั้งต่อๆไป และในทำนองเดียวกัน ในการเข้ากลุ่มครั้งแรกยิ่งสมาชิกพูดคุยถึงเป้าหมายของพวกเขามากเท่าไร ก็มีแนวโน้มสูงตามที่พวกเขาจะเข้ากลุ่มทุกครั้ง แทนการทิ้งกลุ่มไป (Shields, Sprenkle, & Constantine, 1991)
ค้นหาสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ (Looking for what is working)
เมื่อผู้รับบริการบางคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และที่ร้ายกว่านั้นคือเขากำลังเดินถอยหลังห่างจากเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ หน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาคือ ช่วยให้ผู้รับบริการเห็นข้อยกเว้น (Exceptions) ของปัญหา และตัวอย่างของความสำเร็จที่ต้องเกิดขึ้นบ้างในชีวิตของเขา (Miller, Hubble, Duncan, 1996) ผู้ให้คำปรึกษาต้องค้นหาสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของผู้รับบริการ และใช้สิ่งนี้เพื่อขจัดเอาปัญหาออกไปให้เร็วที่สุด การที่สามารถบอกถึงสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของผู้รับบริการ และกระตุ้นให้เกิดซ้ำอีก ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด (Murphy, 2008; Sklare, 2005) ความคิดหลักคือ “เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งใดทำแล้วกำลังเกิดผล ให้ทำอีกและทำมากกว่า” แต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดผล ให้ลองทำสิ่งที่แตกต่างออกไป
บทบาทและหน้าที่ของผู้นำกลุ่ม (Role and functions of the group leader)
ท่าทีของการแสดงความไม่รู้ (A not knowing position)
ผู้รับบริการจะรู้สึกมีส่วนร่วมอย่างมากในกระบวนการให้คำปรึกษา ถ้าหากพวกเขารับรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นพระเอกในวงสนทนา (Walter & Peller, 1996) ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสต้องมีท่าทีของการแสดงความไม่รู้ (Anderson & Goolishian, 1992) ซึ่งเป็นการทำให้สมาชิกกลุ่มต้องอยู่ในสถาน- การณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องชีวิตของพวกเขาเอง ด้วยแนวคิดเช่นนี้ผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญถูกแทนที่ด้วยการที่ผู้รับบริการเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่พวกเขาต้องการในชีวิต ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มจะใช้คำถามในลักษณะของการสะท้อนให้เห็นความต้องการของสมาชิกกลุ่มแต่ละคน โดยปล่อยให้กลุ่มนำกันเองแทนการนำของผู้นำกลุ่ม
ผู้นำกลุ่มต้องมีความตั้งใจที่จะเข้าสู่การสนทนาด้วยท่าทีการแสดงความไม่รู้ เพื่อรักษาสัมพันธ ภาพภายในกลุ่ม ท่าทีการแสดงความไม่รู้คือ การที่ผู้นำกลุ่มมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมานาน แต่เมื่อเข้าสู่การสนทนา เขาจะไม่แสดงออกในสิ่งที่เขารู้ แต่จะแสดงท่าทีที่อยากจะรับฟัง และสนใจอย่างยิ่งในสิ่งที่ได้ค้นพบในวงสนทนา ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อผู้นำกลุ่มจะสามารถเข้าถึงโลกของสมาชิกได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อดึงเอามุมมอง ทรัพยากร พลัง และประสบการณ์ที่โดดเด่นของแต่ละคนออกมา
การสร้างการเป็นหุ้นส่วนในการให้คำปรึกษา (Creating a therapeutic partnership)
สัมพันธภาพและความเป็นพันธมิตรกันของทั้งสองฝ่ายส่งผลต่อผลลัพธ์ของกระบวนการให้คำปรึกษาอย่างมีนัยสำคัญ (Bertolino, 2010) คำว่า “พันธมิตร” ยืนยันถึงการเป็นหุ้นส่วนที่ร่วมมือกันอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกกลุ่มกับผู้นำกลุ่ม Murphy (2008) กล่าวว่าการให้คำปรึกษาจะเกิดผลดีที่สุดเมื่อผู้รับบริ- การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวในกระบวนการให้คำปรึกษา ความคิดในเรื่องความห่วงใย ความสนใจ ความอยากที่จะรู้แต่ก็เต็มด้วยความเคารพ ความเปิดเผย ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ และแม้แต่ความตรึงใจ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างสัมพันธภาพ ผู้นำกลุ่มสร้างบรรยากาศของการให้ความเคารพต่อกันและกัน การสนทนา การสอบถาม และการยืนยันรับรองที่จะทำให้ผู้รับบริการมีอิสระที่จะสร้าง สำรวจ และร่วมประพันธ์เรื่องราวชีวิตของพวกเขา (Walter & Peller, 1996) ผู้นำกลุ่มยังต้องมีท่าทีของความอยากที่จะรู้ภายใต้ความเคารพ และทำงานร่วมกับผู้รับบริการในการสำรวจผลกระทบของปัญหาที่มีต่อพวกเขา และอะไรที่พวกเขากำลังทำอยู่เพื่อลดผลกระทบของปัญหา (Winslade & Monk, 2007)
Sharry (2001) ใช้รูปภาพที่เข้าใจได้ง่ายในเปรียบเทียบบทบาทของผู้นำกลุ่มในลักษณะเป็น Facilitator-centered interaction กับ Group-centered interaction ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเส้นที่ลากผ่าน Facilitator โดยไม่มีลูกศรชี้ หมายถึงการที่ผู้นำกลุ่มเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างสมาชิกเข้าด้วยกัน โดยให้สมาชิกเป็นผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำกลุ่มเป็นผู้ช่วยเหลือ
กระบวนการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส (The process of the Solution-focused group)
ขั้นการเปลี่ยนแปลง (Steps in the change process)
Walter และ Peller (1992) อธิบายถึง 4 ขั้นของกระบวนการให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการทำกลุ่มได้ ดังนี้ 1)ค้นหาสิ่งที่สมาชิกกลุ่มต้องการ แทนที่จะค้นหาสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ 2)ไม่ทำการวิเคราะห์หาสาเหตุในตัวสมาชิก เพราะจะเป็นการลดทอนความสามารถของพวกเขา แต่มองไปยังสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของพวกเขา และกระตุ้นให้กำลังใจพวกเขาทำต่อไป 3)ถ้าสิ่งที่สมาชิกกำลังทำอยู่ไม่เกิดผล ให้กำลังใจพวกเขาลองทำสิ่งที่แตกต่างออกไป 4)การทำกลุ่มแต่ละครั้ง พยายามกระชับให้สั้น และเสมือนหนึ่งว่าเป็นการทำกลุ่มครั้งสุดท้าย การทำกลุ่มแบบทฤษฎี-โซลูชั่น-โฟกัสยังต้องมีท่าทีการยอมรับในตัวบุคคลตามแนวคิดทางปรัชญาศาสตร์ และช่วยพวกเขาให้สามารถหาคำตอบให้กับปัญหา De Shazer (1991) เชื่อว่าโดยปกติผู้รับบริการสามารถหาคำตอบให้กับปัญหาของตนเองได้ โดยไม่ต้องมีการประเมินตัวปัญหา
การสร้างเป้าหมายของสมาชิก (Creating member goals)
SFBT มีฐานคิดอยู่บนการเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการบรรลุเป้าหมาย ผู้นำกลุ่มเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเมื่อเริ่มกลุ่ม Walter และ Peller (1992) และ Murphy (2008) ได้ย้ำถึงความสำคัญของการช่วยให้สมาชิกลุ่มสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนและกระชับ ซึ่งควรมีลักษณะดังนี้ 1)เป้าหมายต้องเป็นเชิงบวกและเข้าใจได้ง่ายด้วยภาษาของสมาชิกเอง 2)เป็นกระบวนการและทำได้จริง 3)เป็นปัจจุบันไม่เพ้อฝัน 4)เป็นรูปธรรม เจาะจง และเห็นผลสำเร็จแน่นอน 5)ทำด้วยตัวสมาชิกเอง แต่ก็ต้องควรระวังดังที่ Walter และ Peller (2000) ให้ข้อสังเกตว่า ผู้นำกลุ่มควรระวังที่จะไม่ไปจัดวางแนวทางการตั้งเป้าหมายอย่างเคร่งครัดให้กับสมาชิกกลุ่มก่อนรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา เพราะสมาชิกพร้อมและเต็มใจที่จะตั้งเป้าหมายของตนเองก็ต่อเมื่อรู้ว่ามีคนรับฟัง และเข้าใจพวกเขาอยู่ Sharry (2001, p.92) ได้เสนอแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับเขียนและประเมินเป้าหมายของสมาชิกกลุ่มไว้ดังนี้
แบบฟอร์มการตั้งเป้าหมายในการทำกลุ่มครั้งแรก
ชื่อ.................................................................. วันที่....................................................................
พวกเราพร้อมที่จะช่วยคุณให้ได้รับสิ่งต่างๆจากกลุ่มมากที่สุด แบบสอบถามนี้จะช่วยให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และเป็นประโยชน์กับพวกเราทุกคนในการทำกลุ่มร่วมกัน
· ในการทำกลุ่มครั้งนี้ อะไรคือเป้าหมายของคุณ? อะไรที่คุณอยากจะทำให้สำเร็จ?
กรุณาให้คะแนนตัวคุณเอง ว่าคุณเข้าใกล้เป้าหมายเพียงใด (มีคะแนน 1-10 โดยที่ 1 หมายถึงคุณอยู่ห่างจากเป้าหมายไกลที่สุด และ 10 หมายถึงคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว)
| |
เป้าหมายที่ 1
|
เป้าหมายที่ 2
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
คุณคิดจะทำอะไรต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?
คุณมีพลัง, ทักษะ และทรัพยากรในด้านใดในตัวคุณที่อยากจะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?
| |
นอกนั้น Sharry (2001, p.102) ยังได้เสนอแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับประเมินเป้าหมายของสมาชิกในตอนท้ายก่อนปิดกลุ่ม
แบบฟอร์มการประเมินเป้าหมายก่อนปิดกลุ่ม
ชื่อ................................................................... วันที่...................................................................
กรุณาให้คะแนนตัวคุณเองในแต่ละเป้าหมายที่คุณตั้งไว้
| |
เป้าหมายที่ 1
|
เป้าหมายที่ 2
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง? และมีอะไรที่ก้าวหน้าไปบ้างในตัวคุณ?
คุณคิดจะทำอะไรต่อไป? คุณยังต้องการความช่วยเหลือต่อไป หรือคุณคิดว่าคุณสามารถรับมือกับปัญหาได้แล้วในขณะนี้? โปรดอธิบาย
ความคิดเห็นอื่นๆ
| |
การยุติ (Terminating)
การทำกลุ่มทุกครั้ง ผู้นำกลุ่มต้องคิดอยู่เสมอว่าเป็นการทำกลุ่มครั้งสุดท้าย เพื่อจะได้ตั้งเป้าหมายในกระบวนการได้ทันที ผู้นำกลุ่มอาจตั้งคำถามว่า “เมื่อปัญหาถูกแก้ไขแล้ว คุณจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม?” นี่คือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มทำกลุ่ม และเป็นการปูพื้นฐานสู่การยุติอย่างมีประสิทธิภาพ (Murphy, 2008) ก่อนปิดกลุ่มผู้นำต้องช่วยให้สมาชิกระบุให้ได้ถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถทำต่อไปในอนาคตเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Bertolino & O’Hanlon, 2002) และระบุสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในตัวพวกเขาแล้ว เมื่ออุปสรรคถูกรับรู้แล้ว ผู้นำกลุ่มสามารถช่วยให้สมาชิกหาคำตอบให้กับปัญหา (solution) โดยการเสริมพลังอำนาจตัวสมาชิกให้หันกลับไปดูอุปสรรคในอดีต สำรวจข้อยกเว้นเพื่อหาทางออกให้กับปัญหา (exception to solution)
การประยุกต์ : เทคนิคการให้คำปรึกษาและกระบวนการ (Application : Therapeutic Techniques and Procedures)
เทคนิคที่เป็นหัวใจของทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสที่ผู้นำกลุ่มมักใช้กัน ได้แก่ การค้นหาสิ่งที่แตกต่างในการกระทำหรือการเปลี่ยนแปลง, คำถามข้อยกเว้น, คำถามลำดับขั้น, และคำถามปาฏิหาริย์ Murphy (2008) ให้ข้อคิดกับผู้นำกลุ่มให้ใช้เทคนิคอย่างยืนหยุ่น และเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละสถานการณ์ของสมาชิก ผู้นำกลุ่มต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าต้องให้ความสำคัญกับความเป็นบุคคลมากกว่าการใช้เทคนิค
การเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา (Pretherapy change)
การเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา คือ การเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้นก่อนการเข้ารับคำปรึกษาครั้งแรก บ่อยครั้งเพียงแค่การนัดเพื่อขอรับการให้คำปรึกษา ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมไปในทางบวกได้เช่นกัน ในการพบกันครั้งแรกเป็นเรื่องปกติที่ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมักจะถามว่า “คุณสังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างมั้ย หรือมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากคุณโทรนัดเพื่อขอรับคำปรึกษา?” (de Shazer & Dolan, 2007, p.5) มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า ผู้รับบริการที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนการรับคำปรึกษาจะอยู่ครบจนสิ้นสุดกระบวนการบำบัด มากเป็น 4 เท่าของผู้รับบริการที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องดังกล่าว (Johnson, Nelson, & Allgood, 1998)
การตั้งคำถาม (Questioning)
ผู้นำกลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสใช้การตั้งคำถามเป็นวิธีการที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในประสบการณ์ของสมาชิกกลุ่ม แทนที่จะใช้เพื่อรวบรวมข้อมูล ผู้นำกลุ่มไม่ควรตั้งคำถามที่ตนเองรู้คำตอบอยู่แล้ว เขาต้องตั้งคำถามด้วยท่าทีของความเคารพ ความอยากที่จะรู้อย่างแท้จริง ความสนใจอย่างจริงใจ และความเปิดเผย คำถามต้องเกี่ยวข้องกับสมาชิกกลุ่ม และผลที่ตามมาคือคำตอบที่มาจากตัวสมาชิกเองในฐานะผู้เชี่ยวชาญ คำตอบนี้เองกลับกลายเป็นข้อมูลที่จะไปกระตุ้นความสนใจของผู้นำกลุ่มให้คิดตั้งคำถามต่อไป ดังนั้นคำถามจึงมาจากคำตอบก่อนหน้านี้ ส่วนสมาชิกที่เหลือจะถูกกระตุ้นให้ตอบรับไปพร้อมกับผู้นำกลุ่มเพื่อสร้างความร่วมมือกันในกลุ่ม การสร้างกระบวนการกลุ่มที่มีความร่วมมือกันเป็นเรื่องสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม
คำถามข้อยกเว้น (Exception questions)
SFBT มีแนวคิดว่าในช่วงเวลาชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหารุมเร้า ก็ต้องมีบ้างบางขณะที่ปัญหาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาโดยบุคคลนั้นๆ ช่วงเวลานี้เองที่เราเรียกว่า ข้อยกเว้นของปัญหา (Exceptions) คำถามข้อยกเว้นจะชี้นำให้สมาชิกเห็นว่าบางครั้งปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยลงหรือไม่รุนแรง ข้อยกเว้นเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นกับสมาชิก ซึ่งคาดคะเนด้วยเหตุผลว่าปัญหาต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายปัญหาก็ไม่ได้เกิดอย่างที่คิด (de Shazer, 1985; Murphy, 2008) ครั้นเมื่อสมาชิกสามารถระบุข้อยกเว้นได้แล้ว ตัวอย่างของความสำเร็จหรือข้อยกเว้นนั่นเองจะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการให้สมาชิกสำรวจเป้าหมายที่สำคัญของพวกเขา พร้อมดึงพลังและทรัพยากรที่อยู่ในตัวเองออกมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (Murphy, 2008)
คำถามปาฏิหาริย์ (The miracle question)
ผู้นำกลุ่มจะใช้การสนทนาที่มองโลกในแง่ดีพูดคุยกับสมาชิกให้บรรลุเป้าหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีการบรรลุเป้าหมายได้ถูกพัฒนาด้วยสิ่งที่ de Shazer (1985, 1988) เรียกว่า “คำถามปาฏิหาริย์” ซึ่งปกติจะมีรูปแบบคำถามดังนี้ “ถ้ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ปัญหาที่มีอยู่มันอันตรธานหายไปในชั่วข้ามคืน คุณรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาหมดไปแล้ว? และอะไรที่จะแตกต่างไปจากเดิม?” สมาชิกจะถูกกระตุ้นให้ตอบคำถามที่ว่า “อะไรที่จะแตกต่างไปจากเดิม” แทนที่จะมามัวนั่งมองดูปัญหา แท้จริงแล้วคำถามปาฏิหาริย์ถูกออกแบบมาเพื่อให้สมาชิกสามารถวาดภาพในความคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเมื่อปัญหาหมดไป (Sklare, 2005) การกระตุ้นให้สมาชิกวาดฝันในสิ่งที่พวกเขาอยากเป็นอยากทำ อยากไปในที่ไม่เคยไป เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้นำกลุ่มเชิญชวนให้สมาชิกล่าฝันแม้จะเป็นฝันที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อทำให้สมาชิกเกิดพลังที่จะประสบความสำเร็จ ดีกว่าที่จะไปจำกัดจินตนาการของพวกเขา คำถามปาฏิหาริย์เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำถามข้อยกเว้นที่เกี่ยวกับอนาคต (โดยปกติคำถามข้อยกเว้นจะเกี่ยวกับปัญหาในอดีต) และเป็นเทคนิคหนึ่งในการตั้งเป้าหมายซึ่งมีประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ยังไม่เห็นภาพของปาฏิหาริย์ที่จะเกิดขึ้น
Nau (1997) สังเกตผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสในขณะทำการบำบัดครั้งแรก พบว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญต่อการใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์ ปัจจัยแรกคือ ผู้ให้คำปรึกษาต้องสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการก่อนที่จะตั้งคำถาม และปัจจัยที่สองคือ เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์จะเกิดผลก็ต่อเมื่อได้มีการสำรวจถึงข้อยกเว้นของปัญหาเสียก่อน จากการศึกษาเชิงคุณภาพในหัวข้อการใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์กับกลุ่มอาสาสมัคร 12 คนจากกลุ่มให้ความช่วยเหลือพ่อแม่และผู้ปกครอง พบว่าคำตอบของพวกเขามีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม และสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภทที่เป็นรูปธรรม (เช่น บ้านที่น่าอยู่มากขึ้น), ประเภทที่เป็นความสัมพันธ์ (เช่น ใกล้ชิดมากขึ้นกับบุคคลที่รัก) และประเภทที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก (เช่น มีความสุขมากกว่าเดิม) ทั้งนี้หลังจากการตอบคำถามปาฏิหาริย์ สมาชิกทุกคนรู้สึกมีความหวังมากขึ้นในสถานการณ์ชีวิตของพวกเขา (Dine, 1995)
คำถามลำดับขั้น (Scaling questions)
ผู้นำกลุ่มจะใช้คำถามลำดับขั้นเมื่อไม่สามารถสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในตัวสมาชิกในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก และการสื่อสาร เช่น ถ้าสมาชิกกลุ่มบอกว่ารู้สึกกังวล ผู้นำกลุ่มจะตั้งคำถามว่า “มีคะแนน 0 ถึง 10 คะแนน 0 เท่ากับความรู้สึกของคุณที่เต็มไปด้วยความกังวลขณะเมื่อเริ่มทำกลุ่ม และคะแนนเต็ม 10 เท่ากับความรู้สึกของคุณเมื่อมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และความกังวลทุกอย่างหายไปสิ้น ณ เวลานี้คุณลองให้คะแนนตัวเองว่าคุณรู้สึกกังวลมากน้อยในระดับใด?” แม้ว่าสมาชิกจะให้คะแนนตนเองแค่ 1 คะแนน มันก็บ่งบอกถึงความก้าวหน้าที่เขาได้พัฒนาจาก 0 ไปเป็น 1 ผู้นำกลุ่มต้องถามต่อว่าสมาชิกก้าวหน้าได้อย่างไร? และต้องการสิ่งใดเพื่อจะก้าวหน้าไปในระดับคะแนนที่สูงขึ้น คำถามลำดับขั้น (scaling question) ช่วยให้สมาชิกกลุ่มสนใจมากขึ้นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ และทำอย่างไรที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาตั้งใจไว้
การมอบหมายงานหลังการเข้ากลุ่มครั้งแรก (Formula First Session Task)
FFST (Formula First Session Task) คือการที่ผู้นำกลุ่มมอบหมายงานให้สมาชิกนำกลับไปทำที่บ้านหลังปิดกลุ่มครั้งแรก และนำกลับมารายงานในการเปิดกลุ่มครั้งต่อไป ผู้นำกลุ่มอาจกล่าวดังนี้ “ระหว่างนี้จนถึงการทำกลุ่มครั้งต่อไป ผมอยากให้การบ้านพวกคุณไปทำ ให้พวกคุณสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ กับครอบครัว ชีวิตสมรส สัมพันธภาพ ซึ่งคุณอยากให้มันเกิดขึ้นต่อไป แล้วนำกลับมาเล่าให้กลุ่มฟังในการพบกันครั้งหน้า” (de Shazer, 1985, p.137) de Shazer เชื่อว่าการบ้านที่มอบให้นี้จะเพิ่มทัศนคติเชิงบวกของสมาชิกแต่ละคนที่มีต่อปัจจุบันและอนาคต มีงานวิจัยที่ยืนยันประโยชน์ของ FFST ว่าในการทำกลุ่มครั้งที่ 2 89%ของสมาชิกกลุ่มที่ถูกมอบหมายงานให้กลับไปทำที่บ้าน นำกลับมารายงานในท่าทีเชิงบวกและเต็มไปด้วยคุณค่า และ 57%ของสมาชิกกลุ่มรายงานว่าสถานการณ์ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (de Shazer, 1985
บทสรุป
ผลของการศึกษาและงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นว่า การให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสเป็นรูปแบบที่ทรงประสิทธิผลและก่อให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกแก่สมาชิกอย่างมากมาย อย่างไรก็ตาม ยังขาดงานวิจัยเชิงปริมาณที่จะมาสนับสนุนข้อดีและความแข็งแกร่งของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ข้อควรระวังของงานวิจัยเชิงปริมาณ คืองานวิจัยที่ต้องทำกับกลุ่มบุคคลที่มีปัญหา โดยเฉพาะในกระบวนการทำกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กล่าวคือ กลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาอยู่แล้ว ในทางจริยธรรมพวกเขาควรได้รับการบำบัดดูแล งานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่ามนุษย์ปรารถนาที่จะปรับปรุงชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น หากพวกเขาได้รับการบำบัดดูแล และยิ่งเป็นเรื่องเสี่ยงมากขึ้นที่จะนำเอากลุ่มบุคคลที่มีปัญหาในด้านความรุนแรง, คิดฆ่าตัวตาย, ผิดปกติในการกิน, ติดสารเสพติด มาอยู่ในการควบคุมไม่ให้การบำบัดรักษา ดังที่ Todd & Stanton (1983) แสดงความเห็นว่างานวิจัยไม่มีความจำเป็นต้องใช้การทดลองแบบกลุ่มควบคุม เพราะในกรณีเช่นนี้มันผิดจริยธรรม
การใช้เทคนิคคำถามในรูปแบบต่างๆ Skidmore (1993) ได้ทำการประเมินการใช้เทคนิคการตั้งคำถาม 4 รูปแบบจากผู้ให้คำปรึกษา สรุปได้ว่า
· คำถามปาฏิหาริย์ มีประสิทธิภาพมากที่สุดในกระบวนการบำบัด
· คำถามลำดับขั้น ถูกใช้มากที่สุดเพื่อประเมินความก้าวหน้าของผู้รับบริการ
· คำถามข้อยกเว้น ทำให้ผู้รับบริการคิดถึงความเป็นไปได้ของปัญหาที่ต้องมีทางแก้ไขและคำตอบ ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
· คำถามการเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา มีประสิทธิผลน้อยที่สุด และยากที่จะประยุกต์ใช้ให้เกิดผล
แม้ว่าการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะให้ความสำคัญกับการใช้เทคนิคคำถามต่างๆ แต่กุญแจแห่งความสำเร็จอยู่ที่สัมพันธภาพระหว่างผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่ม จากงานวิจัยของ Odel, Butler, & Dielman (1997) พบว่า แม้ว่าผู้นำกลุ่มจะใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์, มอบหมายงานให้กลับไปทำ และใช้เทคนิคต่างๆของ SFBT แต่ถ้าสมาชิกกลุ่มรู้สึกได้ว่าผู้นำกลุ่มไม่ได้ฟังและเข้าใจพวกเขา สุดท้ายพวกเขาก็จะทิ้งกลุ่มไป การศึกษาการรับรู้ของสมาชิกกลุ่มมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างสัมพันธภาพของผู้นำกลุ่ม และการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อมันเป็นกระบวนการของการหาคำตอบให้กับปัญหา และกระบวนการที่เน้นสมาชิกกลุ่มเป็นสำคัญ และนี่ก็คือความงดงามที่แฝงตัวอยู่ในการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ที่มีความเป็นศิลป์ของการใช้เทคนิคและการสร้างสัมพันธภาพแห่งความร่วมมือร่วมใจ บนฐานของกระบวนการที่เป็นศาสตร์ มีขั้นตอนในการแก้ปัญหาด้วยการหาคำตอบโดยการตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น เกิดประสิทธิผลสูงสุด.
ศาสตร์และศิลป์: ประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส
ศาสตร์และศิลป์: ประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส
(Science and art: Effectiveness and beauty of Solution-Focused Brief Therapy in Groups)
บทนำ (Introduction)
ศาสตร์ หมายถึงระบบวิชาความรู้ที่มีหลักเกณฑ์ มีทฤษฎีให้เรียนรู้และถ่ายทอดกันได้ ศิลป์ หมายถึงฝีมือในการจัดการ การนำหลักเกณฑ์ไปปฏิบัติให้เกิดประสบการณ์ทางสุนทรียะ (Aesthetic experience) ทฤษฎีการให้คำปรึกษาในแนว Postmodern มีคุณลักษณะของทั้งสองอย่างนี้ และบูรณาการเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้เกิดประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษา ความเป็นศาสตร์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส อยู่ที่ตัวบททฤษฎีซึ่งมีขั้นตอนและตรรกะในการใช้ จากปัญหาสู่การหาทางออกให้กับปัญหาโดยการตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น ความเป็นศิลป์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส อยู่ที่การใช้เทคนิคคำถามรูปแบบต่างๆอย่างเหมาะสม ผสมผสานเข้ากับสัมพันธภาพแห่งความร่วมมือระหว่างผู้นำกลุ่มกับสมาชิก ที่จะปลุกพลัง สมรรถนะ และทรัพยากรที่อยู่ในตัวสมาชิกให้ตื่นจากภวังค์ เพราะความเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส จึงทำให้ทฤษฎีนี้โดดเด่นและโลดแล่นอยู่ในโลกของการบำบัด
การให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส หรือ SFBT (solution-focused brief therapy) เป็นการบำบัดที่มีแนวคิดมุ่งถึงอนาคต มีเป้าหมายที่ชัดเจน และใช้ระยะเวลาสั้น ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในปี 1980 โดย Steve de Shazer และ Insoo Kim Berg ณ สถาบันบำบัดครอบครัวระยะสั้น ในมิววอคกี้ SFBT เน้นในเรื่องพลังและความยืดหยุ่นของแต่ละบุคคล โดยมุ่งประเด็นไปที่เรื่อง “ข้อยกเว้น” ของปัญหา และการคิดหาคำตอบให้กับปัญหา ด้วยการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ผู้ให้การบำบัดจะกระตุ้นให้ผู้รับการบำบัดมีพฤติกรรมดังกล่าว (exception and solution) เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้เคยทำสำเร็จมาก่อนหน้านี้ (de Shazer & Dolan, 2007)
มีงานวิจัยหลายฉบับที่สนับสนุนการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ว่าเป็นรูปแบบการบำบัดที่มีประสิทธิผล และใช้ได้ดีกับผู้รับบริการที่มีปัญหาหลากหลายรูปแบบ เช่น ซึมเศร้า, คิดฆ่าตัวตาย, ปัญหาการนอน, ปัญหาการกินผิดปกติ, ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูก, ปัญหาสัมพันธภาพของคู่สมรส, ปัญหาทางเพศ, การถูกคุกคามทางเพศ, ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาการเห็นคุณค่าแห่งตน เป็นต้น ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานของ De Jong และ Berg (1998) ที่สรุปว่าการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสประสบผลสำเร็จถึง 70% หรือสูงกว่านั้น ในการบำบัดผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว นอกนั้นยังมีงานวิจัย 3 ฉบับที่สนับสนุนให้มีการนำการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมาใช้กับกลุ่มสามีภรรยา (Zimmerman, Prest, & Wetzel, 1997), กลุ่มของผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครอง (Zimmerman, Jacobson, MacIntyre, & Watson, 1996), และกลุ่มที่มีปัญหาการจัดการกับความโกรธ (Schorr, 1997)
จากการรวบรวมผลการทดลองของงานวิจัย 24 ฉบับ พบว่าการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของการเสริมแรงจูงใจโดยใช้เวลาระยะสั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ารูปแบบการบำบัดที่ใช้ระยะเวลายาว (Bien, Miller, & Tonigan, 1993; Institute of Medicine, 1989) ดังนั้นการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ซึ่งเป็นการบำบัดบนแนวคิดความยืดหยุ่นของบุคคล จึงเป็นกระบวนการบำบัดที่มีประสิทธิผล คุ้มกับค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการสูงในการพึ่งพาทรัพยากร
งานวิจัยของ Gingerich และ Eisengart (2000) ได้ทำการศึกษาผลลัพธ์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส จำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งมีผู้ติดสารเสพติดเข้ารับการบำบัดด้วย ปรากฏว่า 36% ของสมาชิกกลุ่มบรรลุถึงเป้าหมายมาตรฐานของกระบวนการบำบัดภายในการทำกลุ่ม 2 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับการให้คำปรึกษากลุ่มรูปแบบอื่นๆที่ไม่จำกัดในเรื่องเวลา และประเมินผลจากการทำกลุ่ม 2 ครั้ง มีเพียงแค่ 2% ของสมาชิกกลุ่มที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว Metcalf (1998) เสนอว่า สำหรับผู้ติดสารเสพติดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา
แนวคิดหลัก (Key concepts)
แนวคิดเชิงบวก (Positive orientation)
SFBT หรือบางครั้งเรียกว่า Solution-focused counseling มีหลักการอยู่บนสมมติฐานของการมองโลกในแง่ดี ทีว่ามนุษย์เต็มไปด้วยพลังและศักยภาพ และความสามารถที่จะค้นหาทางออก, คำตอบ หรือวิธีการ (solution) ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา บทบาทของผู้ให้คำปรึกษาคือการช่วยให้ผู้รับบริการรู้ถึงพลังและศักยภาพที่อยู่ในตัวเขา เช่น ความยืดหยุ่น ความกล้าหาญ และความมีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหา ด้วยการสนทนา ผู้รับบริการเห็นภาพของตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ในชีวิต ความเป็นไปในอนาคต และอะไรที่จะนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จ
การให้คำปรึกษาที่เต็มไปด้วยความเคารพและความหวัง ถูกสร้างอยู่บนพื้นฐานมิติเชิงบวก เช่น พลังในตัวบุคคล และวิธีการหาคำตอบให้กับปัญหาซึ่งได้รับแนวทางมาบ้างแล้วจากสถานการณ์อื่นๆ การให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมีฐานคิดเช่นเดียวกับจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งเน้นสิ่งที่ถูกต้องและกำลังขับเคลื่อนอยู่ในตัวบุคคล มากกว่าที่จะเน้นจุดด้อย ความอ่อนแอ และปัญหาของเขา (Murphy, 2008) ด้วยการดึงเอามิติเชิงบวกมาเป็นจุดเด่น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดของการเสริมสร้างพลังอำนาจ ผู้รับบริการสามารถจัดการกับปัญหาของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
เป้าหมายหนึ่งของ SFBT คือการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้รับบริการโดยใช้การจัดกรอบความคิดใหม่ (reframing) ที่ White และ Epston (1990) ได้อธิบายไว้ว่า จากเรื่องราวชีวิตของผู้รับบริการที่เต็มไปด้วยปัญหารุมเร้า ผ่านกระบวนการใช้ภาษาอย่างชำนาญและมีทักษะของผู้ให้คำปรึกษา ผู้รับบริการก็จะสามารถปรับเปลี่ยนความคิดและมุมมองของตนเองได้ ผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับบริการช่วยกันสร้างแนวทางแก้ไขหรือทางออกให้กับปัญหา โดยที่ผู้ให้คำปรึกษาจะกระตุ้นให้ผู้รับบริการเขียนบันทึกเรื่องราวที่แตกต่างไปจากเดิมพร้อมภาคจบที่เป็นบทใหม่ (O’Hanlon, cited in Bubenzen & West, 1993) ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสสามารถที่จะทำตัวเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากปัญหาที่นอนนิ่งทับถมตัวเขาอยู่ ทะยานสู่โลกใหม่ของความเป็นไปได้ที่นำไปสู่วิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เน้นที่คำตอบของปัญหา ไม่ใช่ที่ตัวปัญหา (Focus on solutions, not problems)
SFBT ให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคต ผู้ให้คำปรึกษาสนใจกับสิ่งที่เป็นไปได้ในการหาคำตอบให้กับปัญหา มากกว่าความสนใจในตัวปัญหาและการสำรวจเรื่องราวในอดีต de Shazer (1988, 1991)ให้คำแนะนำว่า ไม่จำเป็นที่จะรู้ถึงสาเหตุของปัญหาเพื่อที่จะหาวิธีการแก้ปัญหา และไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมโยงกันระหว่างตัวปัญหากับวิธีการแก้ปัญหา ไม่จำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของปัญหาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม Sharry (2001) เสนอให้แบ่งระยะเวลาออกเป็น 80% สำหรับการพูดคุยหาทางออกให้กับปัญหา (solution talk) และอีก 20% เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา (problem talk) โดยให้เหตุผลว่าหากพูดคุยแต่เรื่องของปัญหาอย่างเดียว ก็จะเกิดความหมดหวัง ความขัดแย้ง และการต่อต้านในตัวของสมาชิกกลุ่ม หรือหากพูดคุยแต่เรื่องทางออกให้กับปัญหาอย่างเดียว ก็จะดูเกินความเป็นจริง ทำให้กลุ่มอยู่ในโลกของความคิดเท่านั้น และสุดท้ายจะเป็นการหาคำตอบให้กับปัญหาแบบบังคับให้ทำ (Nylund & Corsiglia, 1994)
ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ในการทำกลุ่มครั้งแรก ยิ่งสมาชิกกลุ่มพูดคุยในเรื่องการหาทางออกให้กับปัญหามากเท่าไร ก็มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นเท่านั้นที่สมาชิกกลุ่มจะเข้าร่วมการทำกลุ่มในครั้งต่อๆไป และในทำนองเดียวกัน ในการเข้ากลุ่มครั้งแรกยิ่งสมาชิกพูดคุยถึงเป้าหมายของพวกเขามากเท่าไร ก็มีแนวโน้มสูงตามที่พวกเขาจะเข้ากลุ่มทุกครั้ง แทนการทิ้งกลุ่มไป (Shields, Sprenkle, & Constantine, 1991)
ค้นหาสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ (Looking for what is working)
เมื่อผู้รับบริการบางคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และที่ร้ายกว่านั้นคือเขากำลังเดินถอยหลังห่างจากเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ หน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาคือ ช่วยให้ผู้รับบริการเห็นข้อยกเว้น (Exceptions) ของปัญหา และตัวอย่างของความสำเร็จที่ต้องเกิดขึ้นบ้างในชีวิตของเขา (Miller, Hubble, Duncan, 1996) ผู้ให้คำปรึกษาต้องค้นหาสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของผู้รับบริการ และใช้สิ่งนี้เพื่อขจัดเอาปัญหาออกไปให้เร็วที่สุด การที่สามารถบอกถึงสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของผู้รับบริการ และกระตุ้นให้เกิดซ้ำอีก ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด (Murphy, 2008; Sklare, 2005) ความคิดหลักคือ “เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งใดทำแล้วกำลังเกิดผล ให้ทำอีกและทำมากกว่า” แต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดผล ให้ลองทำสิ่งที่แตกต่างออกไป
บทบาทและหน้าที่ของผู้นำกลุ่ม (Role and functions of the group leader)
ท่าทีของการแสดงความไม่รู้ (A not knowing position)
ผู้รับบริการจะรู้สึกมีส่วนร่วมอย่างมากในกระบวนการให้คำปรึกษา ถ้าหากพวกเขารับรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นพระเอกในวงสนทนา (Walter & Peller, 1996) ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสต้องมีท่าทีของการแสดงความไม่รู้ (Anderson & Goolishian, 1992) ซึ่งเป็นการทำให้สมาชิกกลุ่มต้องอยู่ในสถาน- การณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องชีวิตของพวกเขาเอง ด้วยแนวคิดเช่นนี้ผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญถูกแทนที่ด้วยการที่ผู้รับบริการเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่พวกเขาต้องการในชีวิต ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มจะใช้คำถามในลักษณะของการสะท้อนให้เห็นความต้องการของสมาชิกกลุ่มแต่ละคน โดยปล่อยให้กลุ่มนำกันเองแทนการนำของผู้นำกลุ่ม
ผู้นำกลุ่มต้องมีความตั้งใจที่จะเข้าสู่การสนทนาด้วยท่าทีการแสดงความไม่รู้ เพื่อรักษาสัมพันธ ภาพภายในกลุ่ม ท่าทีการแสดงความไม่รู้คือ การที่ผู้นำกลุ่มมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมานาน แต่เมื่อเข้าสู่การสนทนา เขาจะไม่แสดงออกในสิ่งที่เขารู้ แต่จะแสดงท่าทีที่อยากจะรับฟัง และสนใจอย่างยิ่งในสิ่งที่ได้ค้นพบในวงสนทนา ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อผู้นำกลุ่มจะสามารถเข้าถึงโลกของสมาชิกได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อดึงเอามุมมอง ทรัพยากร พลัง และประสบการณ์ที่โดดเด่นของแต่ละคนออกมา
การสร้างการเป็นหุ้นส่วนในการให้คำปรึกษา (Creating a therapeutic partnership)
สัมพันธภาพและความเป็นพันธมิตรกันของทั้งสองฝ่ายส่งผลต่อผลลัพธ์ของกระบวนการให้คำปรึกษาอย่างมีนัยสำคัญ (Bertolino, 2010) คำว่า “พันธมิตร” ยืนยันถึงการเป็นหุ้นส่วนที่ร่วมมือกันอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกกลุ่มกับผู้นำกลุ่ม Murphy (2008) กล่าวว่าการให้คำปรึกษาจะเกิดผลดีที่สุดเมื่อผู้รับบริ- การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวในกระบวนการให้คำปรึกษา ความคิดในเรื่องความห่วงใย ความสนใจ ความอยากที่จะรู้แต่ก็เต็มด้วยความเคารพ ความเปิดเผย ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ และแม้แต่ความตรึงใจ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างสัมพันธภาพ ผู้นำกลุ่มสร้างบรรยากาศของการให้ความเคารพต่อกันและกัน การสนทนา การสอบถาม และการยืนยันรับรองที่จะทำให้ผู้รับบริการมีอิสระที่จะสร้าง สำรวจ และร่วมประพันธ์เรื่องราวชีวิตของพวกเขา (Walter & Peller, 1996) ผู้นำกลุ่มยังต้องมีท่าทีของความอยากที่จะรู้ภายใต้ความเคารพ และทำงานร่วมกับผู้รับบริการในการสำรวจผลกระทบของปัญหาที่มีต่อพวกเขา และอะไรที่พวกเขากำลังทำอยู่เพื่อลดผลกระทบของปัญหา (Winslade & Monk, 2007)
Sharry (2001) ใช้รูปภาพที่เข้าใจได้ง่ายในเปรียบเทียบบทบาทของผู้นำกลุ่มในลักษณะเป็น Facilitator-centered interaction กับ Group-centered interaction ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเส้นที่ลากผ่าน Facilitator โดยไม่มีลูกศรชี้ หมายถึงการที่ผู้นำกลุ่มเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างสมาชิกเข้าด้วยกัน โดยให้สมาชิกเป็นผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำกลุ่มเป็นผู้ช่วยเหลือ
กระบวนการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส (The process of the Solution-focused group)
ขั้นการเปลี่ยนแปลง (Steps in the change process)
Walter และ Peller (1992) อธิบายถึง 4 ขั้นของกระบวนการให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการทำกลุ่มได้ ดังนี้ 1)ค้นหาสิ่งที่สมาชิกกลุ่มต้องการ แทนที่จะค้นหาสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ 2)ไม่ทำการวิเคราะห์หาสาเหตุในตัวสมาชิก เพราะจะเป็นการลดทอนความสามารถของพวกเขา แต่มองไปยังสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของพวกเขา และกระตุ้นให้กำลังใจพวกเขาทำต่อไป 3)ถ้าสิ่งที่สมาชิกกำลังทำอยู่ไม่เกิดผล ให้กำลังใจพวกเขาลองทำสิ่งที่แตกต่างออกไป 4)การทำกลุ่มแต่ละครั้ง พยายามกระชับให้สั้น และเสมือนหนึ่งว่าเป็นการทำกลุ่มครั้งสุดท้าย การทำกลุ่มแบบทฤษฎี-โซลูชั่น-โฟกัสยังต้องมีท่าทีการยอมรับในตัวบุคคลตามแนวคิดทางปรัชญาศาสตร์ และช่วยพวกเขาให้สามารถหาคำตอบให้กับปัญหา De Shazer (1991) เชื่อว่าโดยปกติผู้รับบริการสามารถหาคำตอบให้กับปัญหาของตนเองได้ โดยไม่ต้องมีการประเมินตัวปัญหา
การสร้างเป้าหมายของสมาชิก (Creating member goals)
SFBT มีฐานคิดอยู่บนการเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการบรรลุเป้าหมาย ผู้นำกลุ่มเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเมื่อเริ่มกลุ่ม Walter และ Peller (1992) และ Murphy (2008) ได้ย้ำถึงความสำคัญของการช่วยให้สมาชิกลุ่มสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนและกระชับ ซึ่งควรมีลักษณะดังนี้ 1)เป้าหมายต้องเป็นเชิงบวกและเข้าใจได้ง่ายด้วยภาษาของสมาชิกเอง 2)เป็นกระบวนการและทำได้จริง 3)เป็นปัจจุบันไม่เพ้อฝัน 4)เป็นรูปธรรม เจาะจง และเห็นผลสำเร็จแน่นอน 5)ทำด้วยตัวสมาชิกเอง แต่ก็ต้องควรระวังดังที่ Walter และ Peller (2000) ให้ข้อสังเกตว่า ผู้นำกลุ่มควรระวังที่จะไม่ไปจัดวางแนวทางการตั้งเป้าหมายอย่างเคร่งครัดให้กับสมาชิกกลุ่มก่อนรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา เพราะสมาชิกพร้อมและเต็มใจที่จะตั้งเป้าหมายของตนเองก็ต่อเมื่อรู้ว่ามีคนรับฟัง และเข้าใจพวกเขาอยู่ Sharry (2001, p.92) ได้เสนอแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับเขียนและประเมินเป้าหมายของสมาชิกกลุ่มไว้ดังนี้
แบบฟอร์มการตั้งเป้าหมายในการทำกลุ่มครั้งแรก
ชื่อ.................................................................. วันที่....................................................................
พวกเราพร้อมที่จะช่วยคุณให้ได้รับสิ่งต่างๆจากกลุ่มมากที่สุด แบบสอบถามนี้จะช่วยให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และเป็นประโยชน์กับพวกเราทุกคนในการทำกลุ่มร่วมกัน
· ในการทำกลุ่มครั้งนี้ อะไรคือเป้าหมายของคุณ? อะไรที่คุณอยากจะทำให้สำเร็จ?
กรุณาให้คะแนนตัวคุณเอง ว่าคุณเข้าใกล้เป้าหมายเพียงใด (มีคะแนน 1-10 โดยที่ 1 หมายถึงคุณอยู่ห่างจากเป้าหมายไกลที่สุด และ 10 หมายถึงคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว)
| |
เป้าหมายที่ 1
|
เป้าหมายที่ 2
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
คุณคิดจะทำอะไรต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?
คุณมีพลัง, ทักษะ และทรัพยากรในด้านใดในตัวคุณที่อยากจะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?
| |
นอกนั้น Sharry (2001, p.102) ยังได้เสนอแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับประเมินเป้าหมายของสมาชิกในตอนท้ายก่อนปิดกลุ่ม
แบบฟอร์มการประเมินเป้าหมายก่อนปิดกลุ่ม
ชื่อ................................................................... วันที่...................................................................
กรุณาให้คะแนนตัวคุณเองในแต่ละเป้าหมายที่คุณตั้งไว้
| |
เป้าหมายที่ 1
|
เป้าหมายที่ 2
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
ไกลสุด ทำสำเร็จ
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
|
มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง? และมีอะไรที่ก้าวหน้าไปบ้างในตัวคุณ?
คุณคิดจะทำอะไรต่อไป? คุณยังต้องการความช่วยเหลือต่อไป หรือคุณคิดว่าคุณสามารถรับมือกับปัญหาได้แล้วในขณะนี้? โปรดอธิบาย
ความคิดเห็นอื่นๆ
| |
การยุติ (Terminating)
การทำกลุ่มทุกครั้ง ผู้นำกลุ่มต้องคิดอยู่เสมอว่าเป็นการทำกลุ่มครั้งสุดท้าย เพื่อจะได้ตั้งเป้าหมายในกระบวนการได้ทันที ผู้นำกลุ่มอาจตั้งคำถามว่า “เมื่อปัญหาถูกแก้ไขแล้ว คุณจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม?” นี่คือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มทำกลุ่ม และเป็นการปูพื้นฐานสู่การยุติอย่างมีประสิทธิภาพ (Murphy, 2008) ก่อนปิดกลุ่มผู้นำต้องช่วยให้สมาชิกระบุให้ได้ถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถทำต่อไปในอนาคตเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Bertolino & O’Hanlon, 2002) และระบุสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในตัวพวกเขาแล้ว เมื่ออุปสรรคถูกรับรู้แล้ว ผู้นำกลุ่มสามารถช่วยให้สมาชิกหาคำตอบให้กับปัญหา (solution) โดยการเสริมพลังอำนาจตัวสมาชิกให้หันกลับไปดูอุปสรรคในอดีต สำรวจข้อยกเว้นเพื่อหาทางออกให้กับปัญหา (exception to solution)
การประยุกต์ : เทคนิคการให้คำปรึกษาและกระบวนการ (Application : Therapeutic Techniques and Procedures)
เทคนิคที่เป็นหัวใจของทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสที่ผู้นำกลุ่มมักใช้กัน ได้แก่ การค้นหาสิ่งที่แตกต่างในการกระทำหรือการเปลี่ยนแปลง, คำถามข้อยกเว้น, คำถามลำดับขั้น, และคำถามปาฏิหาริย์ Murphy (2008) ให้ข้อคิดกับผู้นำกลุ่มให้ใช้เทคนิคอย่างยืนหยุ่น และเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละสถานการณ์ของสมาชิก ผู้นำกลุ่มต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าต้องให้ความสำคัญกับความเป็นบุคคลมากกว่าการใช้เทคนิค
การเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา (Pretherapy change)
การเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา คือ การเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้นก่อนการเข้ารับคำปรึกษาครั้งแรก บ่อยครั้งเพียงแค่การนัดเพื่อขอรับการให้คำปรึกษา ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมไปในทางบวกได้เช่นกัน ในการพบกันครั้งแรกเป็นเรื่องปกติที่ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมักจะถามว่า “คุณสังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างมั้ย หรือมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากคุณโทรนัดเพื่อขอรับคำปรึกษา?” (de Shazer & Dolan, 2007, p.5) มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า ผู้รับบริการที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนการรับคำปรึกษาจะอยู่ครบจนสิ้นสุดกระบวนการบำบัด มากเป็น 4 เท่าของผู้รับบริการที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องดังกล่าว (Johnson, Nelson, & Allgood, 1998)
การตั้งคำถาม (Questioning)
ผู้นำกลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสใช้การตั้งคำถามเป็นวิธีการที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในประสบการณ์ของสมาชิกกลุ่ม แทนที่จะใช้เพื่อรวบรวมข้อมูล ผู้นำกลุ่มไม่ควรตั้งคำถามที่ตนเองรู้คำตอบอยู่แล้ว เขาต้องตั้งคำถามด้วยท่าทีของความเคารพ ความอยากที่จะรู้อย่างแท้จริง ความสนใจอย่างจริงใจ และความเปิดเผย คำถามต้องเกี่ยวข้องกับสมาชิกกลุ่ม และผลที่ตามมาคือคำตอบที่มาจากตัวสมาชิกเองในฐานะผู้เชี่ยวชาญ คำตอบนี้เองกลับกลายเป็นข้อมูลที่จะไปกระตุ้นความสนใจของผู้นำกลุ่มให้คิดตั้งคำถามต่อไป ดังนั้นคำถามจึงมาจากคำตอบก่อนหน้านี้ ส่วนสมาชิกที่เหลือจะถูกกระตุ้นให้ตอบรับไปพร้อมกับผู้นำกลุ่มเพื่อสร้างความร่วมมือกันในกลุ่ม การสร้างกระบวนการกลุ่มที่มีความร่วมมือกันเป็นเรื่องสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม
คำถามข้อยกเว้น (Exception questions)
SFBT มีแนวคิดว่าในช่วงเวลาชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหารุมเร้า ก็ต้องมีบ้างบางขณะที่ปัญหาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาโดยบุคคลนั้นๆ ช่วงเวลานี้เองที่เราเรียกว่า ข้อยกเว้นของปัญหา (Exceptions) คำถามข้อยกเว้นจะชี้นำให้สมาชิกเห็นว่าบางครั้งปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยลงหรือไม่รุนแรง ข้อยกเว้นเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นกับสมาชิก ซึ่งคาดคะเนด้วยเหตุผลว่าปัญหาต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายปัญหาก็ไม่ได้เกิดอย่างที่คิด (de Shazer, 1985; Murphy, 2008) ครั้นเมื่อสมาชิกสามารถระบุข้อยกเว้นได้แล้ว ตัวอย่างของความสำเร็จหรือข้อยกเว้นนั่นเองจะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการให้สมาชิกสำรวจเป้าหมายที่สำคัญของพวกเขา พร้อมดึงพลังและทรัพยากรที่อยู่ในตัวเองออกมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (Murphy, 2008)
คำถามปาฏิหาริย์ (The miracle question)
ผู้นำกลุ่มจะใช้การสนทนาที่มองโลกในแง่ดีพูดคุยกับสมาชิกให้บรรลุเป้าหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีการบรรลุเป้าหมายได้ถูกพัฒนาด้วยสิ่งที่ de Shazer (1985, 1988) เรียกว่า “คำถามปาฏิหาริย์” ซึ่งปกติจะมีรูปแบบคำถามดังนี้ “ถ้ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ปัญหาที่มีอยู่มันอันตรธานหายไปในชั่วข้ามคืน คุณรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาหมดไปแล้ว? และอะไรที่จะแตกต่างไปจากเดิม?” สมาชิกจะถูกกระตุ้นให้ตอบคำถามที่ว่า “อะไรที่จะแตกต่างไปจากเดิม” แทนที่จะมามัวนั่งมองดูปัญหา แท้จริงแล้วคำถามปาฏิหาริย์ถูกออกแบบมาเพื่อให้สมาชิกสามารถวาดภาพในความคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเมื่อปัญหาหมดไป (Sklare, 2005) การกระตุ้นให้สมาชิกวาดฝันในสิ่งที่พวกเขาอยากเป็นอยากทำ อยากไปในที่ไม่เคยไป เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้นำกลุ่มเชิญชวนให้สมาชิกล่าฝันแม้จะเป็นฝันที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อทำให้สมาชิกเกิดพลังที่จะประสบความสำเร็จ ดีกว่าที่จะไปจำกัดจินตนาการของพวกเขา คำถามปาฏิหาริย์เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำถามข้อยกเว้นที่เกี่ยวกับอนาคต (โดยปกติคำถามข้อยกเว้นจะเกี่ยวกับปัญหาในอดีต) และเป็นเทคนิคหนึ่งในการตั้งเป้าหมายซึ่งมีประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ยังไม่เห็นภาพของปาฏิหาริย์ที่จะเกิดขึ้น
Nau (1997) สังเกตผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสในขณะทำการบำบัดครั้งแรก พบว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญต่อการใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์ ปัจจัยแรกคือ ผู้ให้คำปรึกษาต้องสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการก่อนที่จะตั้งคำถาม และปัจจัยที่สองคือ เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์จะเกิดผลก็ต่อเมื่อได้มีการสำรวจถึงข้อยกเว้นของปัญหาเสียก่อน จากการศึกษาเชิงคุณภาพในหัวข้อการใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์กับกลุ่มอาสาสมัคร 12 คนจากกลุ่มให้ความช่วยเหลือพ่อแม่และผู้ปกครอง พบว่าคำตอบของพวกเขามีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม และสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภทที่เป็นรูปธรรม (เช่น บ้านที่น่าอยู่มากขึ้น), ประเภทที่เป็นความสัมพันธ์ (เช่น ใกล้ชิดมากขึ้นกับบุคคลที่รัก) และประเภทที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก (เช่น มีความสุขมากกว่าเดิม) ทั้งนี้หลังจากการตอบคำถามปาฏิหาริย์ สมาชิกทุกคนรู้สึกมีความหวังมากขึ้นในสถานการณ์ชีวิตของพวกเขา (Dine, 1995)
คำถามลำดับขั้น (Scaling questions)
ผู้นำกลุ่มจะใช้คำถามลำดับขั้นเมื่อไม่สามารถสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในตัวสมาชิกในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก และการสื่อสาร เช่น ถ้าสมาชิกกลุ่มบอกว่ารู้สึกกังวล ผู้นำกลุ่มจะตั้งคำถามว่า “มีคะแนน 0 ถึง 10 คะแนน 0 เท่ากับความรู้สึกของคุณที่เต็มไปด้วยความกังวลขณะเมื่อเริ่มทำกลุ่ม และคะแนนเต็ม 10 เท่ากับความรู้สึกของคุณเมื่อมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และความกังวลทุกอย่างหายไปสิ้น ณ เวลานี้คุณลองให้คะแนนตัวเองว่าคุณรู้สึกกังวลมากน้อยในระดับใด?” แม้ว่าสมาชิกจะให้คะแนนตนเองแค่ 1 คะแนน มันก็บ่งบอกถึงความก้าวหน้าที่เขาได้พัฒนาจาก 0 ไปเป็น 1 ผู้นำกลุ่มต้องถามต่อว่าสมาชิกก้าวหน้าได้อย่างไร? และต้องการสิ่งใดเพื่อจะก้าวหน้าไปในระดับคะแนนที่สูงขึ้น คำถามลำดับขั้น (scaling question) ช่วยให้สมาชิกกลุ่มสนใจมากขึ้นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ และทำอย่างไรที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาตั้งใจไว้
การมอบหมายงานหลังการเข้ากลุ่มครั้งแรก (Formula First Session Task)
FFST (Formula First Session Task) คือการที่ผู้นำกลุ่มมอบหมายงานให้สมาชิกนำกลับไปทำที่บ้านหลังปิดกลุ่มครั้งแรก และนำกลับมารายงานในการเปิดกลุ่มครั้งต่อไป ผู้นำกลุ่มอาจกล่าวดังนี้ “ระหว่างนี้จนถึงการทำกลุ่มครั้งต่อไป ผมอยากให้การบ้านพวกคุณไปทำ ให้พวกคุณสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ กับครอบครัว ชีวิตสมรส สัมพันธภาพ ซึ่งคุณอยากให้มันเกิดขึ้นต่อไป แล้วนำกลับมาเล่าให้กลุ่มฟังในการพบกันครั้งหน้า” (de Shazer, 1985, p.137) de Shazer เชื่อว่าการบ้านที่มอบให้นี้จะเพิ่มทัศนคติเชิงบวกของสมาชิกแต่ละคนที่มีต่อปัจจุบันและอนาคต มีงานวิจัยที่ยืนยันประโยชน์ของ FFST ว่าในการทำกลุ่มครั้งที่ 2 89%ของสมาชิกกลุ่มที่ถูกมอบหมายงานให้กลับไปทำที่บ้าน นำกลับมารายงานในท่าทีเชิงบวกและเต็มไปด้วยคุณค่า และ 57%ของสมาชิกกลุ่มรายงานว่าสถานการณ์ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (de Shazer, 1985
บทสรุป
ผลของการศึกษาและงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นว่า การให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสเป็นรูปแบบที่ทรงประสิทธิผลและก่อให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกแก่สมาชิกอย่างมากมาย อย่างไรก็ตาม ยังขาดงานวิจัยเชิงปริมาณที่จะมาสนับสนุนข้อดีและความแข็งแกร่งของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ข้อควรระวังของงานวิจัยเชิงปริมาณ คืองานวิจัยที่ต้องทำกับกลุ่มบุคคลที่มีปัญหา โดยเฉพาะในกระบวนการทำกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กล่าวคือ กลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาอยู่แล้ว ในทางจริยธรรมพวกเขาควรได้รับการบำบัดดูแล งานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่ามนุษย์ปรารถนาที่จะปรับปรุงชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น หากพวกเขาได้รับการบำบัดดูแล และยิ่งเป็นเรื่องเสี่ยงมากขึ้นที่จะนำเอากลุ่มบุคคลที่มีปัญหาในด้านความรุนแรง, คิดฆ่าตัวตาย, ผิดปกติในการกิน, ติดสารเสพติด มาอยู่ในการควบคุมไม่ให้การบำบัดรักษา ดังที่ Todd & Stanton (1983) แสดงความเห็นว่างานวิจัยไม่มีความจำเป็นต้องใช้การทดลองแบบกลุ่มควบคุม เพราะในกรณีเช่นนี้มันผิดจริยธรรม
การใช้เทคนิคคำถามในรูปแบบต่างๆ Skidmore (1993) ได้ทำการประเมินการใช้เทคนิคการตั้งคำถาม 4 รูปแบบจากผู้ให้คำปรึกษา สรุปได้ว่า
· คำถามปาฏิหาริย์ มีประสิทธิภาพมากที่สุดในกระบวนการบำบัด
· คำถามลำดับขั้น ถูกใช้มากที่สุดเพื่อประเมินความก้าวหน้าของผู้รับบริการ
· คำถามข้อยกเว้น ทำให้ผู้รับบริการคิดถึงความเป็นไปได้ของปัญหาที่ต้องมีทางแก้ไขและคำตอบ ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
· คำถามการเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา มีประสิทธิผลน้อยที่สุด และยากที่จะประยุกต์ใช้ให้เกิดผล
แม้ว่าการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะให้ความสำคัญกับการใช้เทคนิคคำถามต่างๆ แต่กุญแจแห่งความสำเร็จอยู่ที่สัมพันธภาพระหว่างผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่ม จากงานวิจัยของ Odel, Butler, & Dielman (1997) พบว่า แม้ว่าผู้นำกลุ่มจะใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์, มอบหมายงานให้กลับไปทำ และใช้เทคนิคต่างๆของ SFBT แต่ถ้าสมาชิกกลุ่มรู้สึกได้ว่าผู้นำกลุ่มไม่ได้ฟังและเข้าใจพวกเขา สุดท้ายพวกเขาก็จะทิ้งกลุ่มไป การศึกษาการรับรู้ของสมาชิกกลุ่มมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างสัมพันธภาพของผู้นำกลุ่ม และการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อมันเป็นกระบวนการของการหาคำตอบให้กับปัญหา และกระบวนการที่เน้นสมาชิกกลุ่มเป็นสำคัญ และนี่ก็คือความงดงามที่แฝงตัวอยู่ในการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ที่มีความเป็นศิลป์ของการใช้เทคนิคและการสร้างสัมพันธภาพแห่งความร่วมมือร่วมใจ บนฐานของกระบวนการที่เป็นศาสตร์ มีขั้นตอนในการแก้ปัญหาด้วยการหาคำตอบโดยการตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น เกิดประสิทธิผลสูงสุด.
บรรณานุกรม
Anderson, H., & Goolishian, H. (1992). The client is the expert: A not-knowing approach to therapy. In S. McNamee & K.J. Gergen (Eds.), Therapy as social construction (pp. 25- 39). Newbury Park, CA: Sage.
Berg. I.K. (1994). Family based services: A solution-focused approach. New York: Norton.
Bertolino, B. (2001). Strengths-based engagement and practice: Creating effective helping relationships. Boston, MA: Allyn & Bacon/Pearson Education.
Bertolino, B., & O’Hanlon, B. (2002). Collaborative, competency-based counseling and therapy. Boston: Allyn & Bacon.
Bubenzer, D. L., & West, J. D. (1993). William Hudson O’Hanlon: On seeking possibilities and solutions in therapy. The Family Journal: Counseling and Therapy for Couples and Families, 1(4), 365-379.
Corey, G. (2012). Theory and Practice of Group Counseling (8th ed.). Canada: Brooks/Cole, Cengage Learning.
De Jong, P., & Berg, I. K. (1998). Interviewing for solutions. Pacific Grove, CA: Brooks/Cole.
De Jong, P., & Berg, I. K. (2008). Interviewing for solutions (3rd ed.). Belmont, CA: Brooks/Cole, Cengage Learning.
de Shazer, S. (1985). Keys to solutions in brief therapy. New York: Norton.
de Shazer, S. (1988). Clues: Investigating solutions in brief therapy. New York: Norton.
de Shazer, S. (1991). Putting difference to work. New York: Norton.
de Shazer, S., & Dolon, Y. (with Korman, H., McCollum, E., Trepper, T., & Berg, I. K.). (2007). More than miracles: The state of the art of solution-focused brief therapy. New York: Haworth.
Dine, K. R. (1995). Visions of the future: The miracle question and the possibility for change. Unpublished dissertation; Massachusetts School of Professional Psychology.
Garfield, S. L. (1994). Research on client variables in psychotherapy. In S. L. Garfield & A. E. Bergin (eds.), Handbook of psychotherapy and behavior change (4th ed.). New York: Wiley & Sons.
Johnson, L. N., Nelson, T. S., & Allgood, S. M. (1998). Noticing pretreatment change and therapeutic outcome: An initial study. American Journal of Family Therapy, 26, 159-168.
Koss, M. P., & Shiang, J. (1994). Research on brief psychotherapy. In A. E. Bergin & S. L. Garfield (eds.), Handbook of psychotherapy and behavior change (pp. 664-700). New York: Wiley & Sons.
Metcalf, L., (1998). Solution focused group therapy: Ideas for groups in private practice, schools, agencies, and treatment programs. New York: Free Press.
Miller, S. D., Hubble, M. A., & Duncan, B. L. (Eds.). (1996). Handbook of solution-focused brief therapy. San Francisco: Jossey-Bass.
Murphy, J. J. (2008). Solution-focused counseling in schools (2nd ed.). Alexandria, VA: American Counseling Association.
Nau, D. S. (1997). Before the miracle: The optimum use of the solution-focused miracle question. Doctoral dissertation, NOVA Southeastern University.
Nylund, D., & Corsiglia, V. (1994). Becoming solution-focused in brief therapy: remembering something important we already knew. Journal of Systemic Therapies, 13(1), 5-12.
Odel, M., Butler, T. J., & Dielman, M. B. (1997). Client experience of solution-focused couple therapy. Presentation for the 55th Annual Conference of the American Association for Marriage and Family Therapy, Atlanta GA, Sept 1997.
O’Hanlon, W. H., & Weiner-Davis, M. (2003). In search of solutions: A new direction in psychotherapy (rev.ed.). New York: Norton.
Pekarik, G. (1991). Relationship of expected and actual treatment duration for adult and child clients. Journal of clinical Child Psychology, 20, 121-125.
Schorr, M. (1997). Finding solutions in a roomful of angry people. Journal of Systemic Therapies, 16, 201-210.
Sharry, J. (2001). Solution-focused group work. London, England: SAGE Publications Ltd.
Shields, C. G., Sprenkle, D. H., & Constantine, J. A. (1991). Anatomy of an initial interview: The importance of joining and structuring skills. American Journal of Family Therapy, 19, 3-18.
Skidmore, J. E. (1993). A follow-up of therapists trained in the use of the solution-focused brief therapy model. Doctoral dissertation, University of South Dakota.
Sklare, G. B. (2005). Brief counseling that works: A solution-focused approach for school counselors and administrators (2nd ed.). Thousand Oaks, CA: Corwin Press.
Todd, T. C., & Stanton, M. D. (1983). Research on marital and family therapy: Answers, issues, and recommendations for the future. In B. B. Wolman & G. Strickler (eds.), Handbook of Family and Marital Therapy (pp. 91-115). New York: Plenum.
Warner, R. E. (1996). Counselor bias against shorter term counseling? A comparison of counselor and client satisfaction in a Canadian setting. International Journal for the Advancement of Counseling, 18, 153-162.
Walter, J. L., & Peller, J. E. (1992). Becoming solution-focused in brief therapy. New York: Brunner/Mazel.
Walter, J. L., & Peller, J. E. (1996). Rethinking our assumptions: Assuming anew in a postmodern world. In S. D. Miller, M. A. Hubble, & B. L. Duncan (Eds.), Handbook of solution-focused brief therapy. (pp. 9-26). San Francisco: Jossey-Bass.
Walter, J. L., & Peller, J. E. (2000). Recreating brief therapy: Preferences and possibilities. New York: Norton.
White, M., & Epston, D. (1990). Narrative means to therapeutic ends. New York: Norton.
Winslade, J., & Monk, G. (2007). Narrative counseling in schools: Powerful and brief (2nd ed.). Thousand Oaks, CA: Corwin Press (Sage).
Zimmerman, T. S., Jacobson, R. B., MacIntyre, M., & Watson, C. (1996). Solution-focused parenting groups: An empirical study. Journal of Systemic Therapies, 15, 12-25.
Zimmerman, T. S., Prest, L. A., & Wetzel, B. E. (1997). Solution-focused couples therapy groups: An empirical study. Journal of Family Therapy, 19, 125-144.
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

.jpg)