วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ศาสตร์และศิลป์: ประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบ SFBT

ศาสตร์และศิลป์: ประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส
(Science and art: Effectiveness and beauty of Solution-Focused Brief Therapy in Groups)
บทนำ  (Introduction)
ศาสตร์ หมายถึงระบบวิชาความรู้ที่มีหลักเกณฑ์ มีทฤษฎีให้เรียนรู้และถ่ายทอดกันได้   ศิลป์ หมายถึงฝีมือในการจัดการ การนำหลักเกณฑ์ไปปฏิบัติให้เกิดประสบการณ์ทางสุนทรียะ (Aesthetic experience)   ทฤษฎีการให้คำปรึกษาในแนว Postmodern มีคุณลักษณะของทั้งสองอย่างนี้ และบูรณาการเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้เกิดประสิทธิผลและความงดงามของการให้คำปรึกษา   ความเป็นศาสตร์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส อยู่ที่ตัวบททฤษฎีซึ่งมีขั้นตอนและตรรกะในการใช้ จากปัญหาสู่การหาทางออกให้กับปัญหาโดยการตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น  ความเป็นศิลป์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส อยู่ที่การใช้เทคนิคคำถามรูปแบบต่างๆอย่างเหมาะสม ผสมผสานเข้ากับสัมพันธภาพแห่งความร่วมมือระหว่างผู้นำกลุ่มกับสมาชิก ที่จะปลุกพลัง สมรรถนะ และทรัพยากรที่อยู่ในตัวสมาชิกให้ตื่นจากภวังค์   เพราะความเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส จึงทำให้ทฤษฎีนี้โดดเด่นและโลดแล่นอยู่ในโลกของการบำบัด
          การให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส หรือ SFBT (solution-focused brief therapy) เป็นการบำบัดที่มีแนวคิดมุ่งถึงอนาคต มีเป้าหมายที่ชัดเจน และใช้ระยะเวลาสั้น  ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในปี 1980 โดย Steve de Shazer และ Insoo Kim Berg ณ สถาบันบำบัดครอบครัวระยะสั้น ในมิววอคกี้   SFBT เน้นในเรื่องพลังและความยืดหยุ่นของแต่ละบุคคล โดยมุ่งประเด็นไปที่เรื่อง “ข้อยกเว้น” ของปัญหา และการคิดหาคำตอบให้กับปัญหา     ด้วยการให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ผู้ให้การบำบัดจะกระตุ้นให้ผู้รับการบำบัดมีพฤติกรรมดังกล่าว (exception and solution) เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้เคยทำสำเร็จมาก่อนหน้านี้ (de Shazer & Dolan, 2007)
          มีงานวิจัยหลายฉบับที่สนับสนุนการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ว่าเป็นรูปแบบการบำบัดที่มีประสิทธิผล และใช้ได้ดีกับผู้รับบริการที่มีปัญหาหลากหลายรูปแบบ เช่น ซึมเศร้า, คิดฆ่าตัวตาย, ปัญหาการนอน, ปัญหาการกินผิดปกติ, ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูก, ปัญหาสัมพันธภาพของคู่สมรส, ปัญหาทางเพศ, การถูกคุกคามทางเพศ, ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาการเห็นคุณค่าแห่งตน เป็นต้น ซึ่งก็สอดคล้องกับรายงานของ De Jong และ Berg (1998) ที่สรุปว่าการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสประสบผลสำเร็จถึง 70% หรือสูงกว่านั้น ในการบำบัดผู้ที่มีปัญหาดังกล่าว  นอกนั้นยังมีงานวิจัย 3 ฉบับที่สนับสนุนให้มีการนำการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมาใช้กับกลุ่มสามีภรรยา (Zimmerman, Prest, & Wetzel, 1997), กลุ่มของผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครอง (Zimmerman, Jacobson, MacIntyre, & Watson, 1996), และกลุ่มที่มีปัญหาการจัดการกับความโกรธ (Schorr, 1997)             
            จากการรวบรวมผลการทดลองของงานวิจัย 24 ฉบับ พบว่าการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบของการเสริมแรงจูงใจโดยใช้เวลาระยะสั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ารูปแบบการบำบัดที่ใช้ระยะเวลายาว (Bien, Miller, & Tonigan, 1993; Institute of Medicine, 1989)  ดังนั้นการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ซึ่งเป็นการบำบัดบนแนวคิดความยืดหยุ่นของบุคคล จึงเป็นกระบวนการบำบัดที่มีประสิทธิผล คุ้มกับค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการสูงในการพึ่งพาทรัพยากร    
          งานวิจัยของ Gingerich และ Eisengart (2000) ได้ทำการศึกษาผลลัพธ์ของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส จำนวน 15 กลุ่ม ซึ่งมีผู้ติดสารเสพติดเข้ารับการบำบัดด้วย ปรากฏว่า 36% ของสมาชิกกลุ่มบรรลุถึงเป้าหมายมาตรฐานของกระบวนการบำบัดภายในการทำกลุ่ม 2 ครั้ง  เมื่อเปรียบเทียบกับการให้คำปรึกษากลุ่มรูปแบบอื่นๆที่ไม่จำกัดในเรื่องเวลา และประเมินผลจากการทำกลุ่ม 2 ครั้ง มีเพียงแค่ 2% ของสมาชิกกลุ่มที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว  Metcalf (1998) เสนอว่า สำหรับผู้ติดสารเสพติดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา 
แนวคิดหลัก  (Key concepts)
แนวคิดเชิงบวก  (Positive orientation)        
SFBT หรือบางครั้งเรียกว่า Solution-focused counseling มีหลักการอยู่บนสมมติฐานของการมองโลกในแง่ดี ทีว่ามนุษย์เต็มไปด้วยพลังและศักยภาพ และความสามารถที่จะค้นหาทางออก, คำตอบ หรือวิธีการ (solution) ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา   บทบาทของผู้ให้คำปรึกษาคือการช่วยให้ผู้รับบริการรู้ถึงพลังและศักยภาพที่อยู่ในตัวเขา เช่น ความยืดหยุ่น ความกล้าหาญ และความมีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหา     ด้วยการสนทนา ผู้รับบริการเห็นภาพของตนเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ในชีวิต ความเป็นไปในอนาคต และอะไรที่จะนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จ
          การให้คำปรึกษาที่เต็มไปด้วยความเคารพและความหวัง ถูกสร้างอยู่บนพื้นฐานมิติเชิงบวก เช่น พลังในตัวบุคคล และวิธีการหาคำตอบให้กับปัญหาซึ่งได้รับแนวทางมาบ้างแล้วจากสถานการณ์อื่นๆ   การให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมีฐานคิดเช่นเดียวกับจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งเน้นสิ่งที่ถูกต้องและกำลังขับเคลื่อนอยู่ในตัวบุคคล มากกว่าที่จะเน้นจุดด้อย ความอ่อนแอ และปัญหาของเขา (Murphy, 2008)   ด้วยการดึงเอามิติเชิงบวกมาเป็นจุดเด่น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดของการเสริมสร้างพลังอำนาจ ผู้รับบริการสามารถจัดการกับปัญหาของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
          เป้าหมายหนึ่งของ SFBT คือการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้รับบริการโดยใช้การจัดกรอบความคิดใหม่ (reframing) ที่ White และ Epston (1990) ได้อธิบายไว้ว่า จากเรื่องราวชีวิตของผู้รับบริการที่เต็มไปด้วยปัญหารุมเร้า ผ่านกระบวนการใช้ภาษาอย่างชำนาญและมีทักษะของผู้ให้คำปรึกษา ผู้รับบริการก็จะสามารถปรับเปลี่ยนความคิดและมุมมองของตนเองได้   ผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับบริการช่วยกันสร้างแนวทางแก้ไขหรือทางออกให้กับปัญหา โดยที่ผู้ให้คำปรึกษาจะกระตุ้นให้ผู้รับบริการเขียนบันทึกเรื่องราวที่แตกต่างไปจากเดิมพร้อมภาคจบที่เป็นบทใหม่ (O’Hanlon, cited in Bubenzen & West, 1993)  ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสสามารถที่จะทำตัวเป็นเครื่องมือช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากปัญหาที่นอนนิ่งทับถมตัวเขาอยู่ ทะยานสู่โลกใหม่ของความเป็นไปได้ที่นำไปสู่วิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เน้นที่คำตอบของปัญหา ไม่ใช่ที่ตัวปัญหา  (Focus on solutions, not problems) 
SFBT ให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคต  ผู้ให้คำปรึกษาสนใจกับสิ่งที่เป็นไปได้ในการหาคำตอบให้กับปัญหา มากกว่าความสนใจในตัวปัญหาและการสำรวจเรื่องราวในอดีต  de Shazer (1988, 1991)ให้คำแนะนำว่า ไม่จำเป็นที่จะรู้ถึงสาเหตุของปัญหาเพื่อที่จะหาวิธีการแก้ปัญหา และไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมโยงกันระหว่างตัวปัญหากับวิธีการแก้ปัญหา ไม่จำเป็นที่จะต้องรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของปัญหาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง   อย่างไรก็ตาม Sharry (2001) เสนอให้แบ่งระยะเวลาออกเป็น 80% สำหรับการพูดคุยหาทางออกให้กับปัญหา (solution talk) และอีก 20% เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา (problem talk) โดยให้เหตุผลว่าหากพูดคุยแต่เรื่องของปัญหาอย่างเดียว ก็จะเกิดความหมดหวัง ความขัดแย้ง และการต่อต้านในตัวของสมาชิกกลุ่ม หรือหากพูดคุยแต่เรื่องทางออกให้กับปัญหาอย่างเดียว ก็จะดูเกินความเป็นจริง ทำให้กลุ่มอยู่ในโลกของความคิดเท่านั้น และสุดท้ายจะเป็นการหาคำตอบให้กับปัญหาแบบบังคับให้ทำ (Nylund & Corsiglia, 1994)
          ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ในการทำกลุ่มครั้งแรก ยิ่งสมาชิกกลุ่มพูดคุยในเรื่องการหาทางออกให้กับปัญหามากเท่าไร ก็มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นเท่านั้นที่สมาชิกกลุ่มจะเข้าร่วมการทำกลุ่มในครั้งต่อๆไป  และในทำนองเดียวกัน ในการเข้ากลุ่มครั้งแรกยิ่งสมาชิกพูดคุยถึงเป้าหมายของพวกเขามากเท่าไร ก็มีแนวโน้มสูงตามที่พวกเขาจะเข้ากลุ่มทุกครั้ง แทนการทิ้งกลุ่มไป (Shields, Sprenkle, & Constantine, 1991)
ค้นหาสิ่งที่กำลังทำงานอยู่  (Looking for what is working)
เมื่อผู้รับบริการบางคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และที่ร้ายกว่านั้นคือเขากำลังเดินถอยหลังห่างจากเป้าหมายที่เขาตั้งไว้   หน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาคือ ช่วยให้ผู้รับบริการเห็นข้อยกเว้น (Exceptions) ของปัญหา และตัวอย่างของความสำเร็จที่ต้องเกิดขึ้นบ้างในชีวิตของเขา (Miller, Hubble, Duncan, 1996)   ผู้ให้คำปรึกษาต้องค้นหาสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของผู้รับบริการ และใช้สิ่งนี้เพื่อขจัดเอาปัญหาออกไปให้เร็วที่สุด   การที่สามารถบอกถึงสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของผู้รับบริการ และกระตุ้นให้เกิดซ้ำอีก ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด (Murphy, 2008; Sklare, 2005)   ความคิดหลักคือ “เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งใดทำแล้วกำลังเกิดผล ให้ทำอีกและทำมากกว่า”  แต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดผล ให้ลองทำสิ่งที่แตกต่างออกไป  
บทบาทและหน้าที่ของผู้นำกลุ่ม  (Role and functions of the group leader)
ท่าทีของการแสดงความไม่รู้  (A not knowing position)
ผู้รับบริการจะรู้สึกมีส่วนร่วมอย่างมากในกระบวนการให้คำปรึกษา ถ้าหากพวกเขารับรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นพระเอกในวงสนทนา (Walter & Peller, 1996)   ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสต้องมีท่าทีของการแสดงความไม่รู้ (Anderson & Goolishian, 1992) ซึ่งเป็นการทำให้สมาชิกกลุ่มต้องอยู่ในสถาน- การณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องชีวิตของพวกเขาเอง   ด้วยแนวคิดเช่นนี้ผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญถูกแทนที่ด้วยการที่ผู้รับบริการเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่พวกเขาต้องการในชีวิต ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มจะใช้คำถามในลักษณะของการสะท้อนให้เห็นความต้องการของสมาชิกกลุ่มแต่ละคน โดยปล่อยให้กลุ่มนำกันเองแทนการนำของผู้นำกลุ่ม  
          ผู้นำกลุ่มต้องมีความตั้งใจที่จะเข้าสู่การสนทนาด้วยท่าทีการแสดงความไม่รู้ เพื่อรักษาสัมพันธ ภาพภายในกลุ่ม  ท่าทีการแสดงความไม่รู้คือ การที่ผู้นำกลุ่มมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมานาน แต่เมื่อเข้าสู่การสนทนา เขาจะไม่แสดงออกในสิ่งที่เขารู้ แต่จะแสดงท่าทีที่อยากจะรับฟัง และสนใจอย่างยิ่งในสิ่งที่ได้ค้นพบในวงสนทนา  ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อผู้นำกลุ่มจะสามารถเข้าถึงโลกของสมาชิกได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อดึงเอามุมมอง ทรัพยากร พลัง และประสบการณ์ที่โดดเด่นของแต่ละคนออกมา
การสร้างการเป็นหุ้นส่วนในการให้คำปรึกษา  (Creating a therapeutic partnership)
สัมพันธภาพและความเป็นพันธมิตรกันของทั้งสองฝ่ายส่งผลต่อผลลัพธ์ของกระบวนการให้คำปรึกษาอย่างมีนัยสำคัญ (Bertolino, 2010) คำว่า “พันธมิตร” ยืนยันถึงการเป็นหุ้นส่วนที่ร่วมมือกันอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกกลุ่มกับผู้นำกลุ่ม  Murphy (2008) กล่าวว่าการให้คำปรึกษาจะเกิดผลดีที่สุดเมื่อผู้รับบริ- การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวในกระบวนการให้คำปรึกษา  ความคิดในเรื่องความห่วงใย ความสนใจ ความอยากที่จะรู้แต่ก็เต็มด้วยความเคารพ ความเปิดเผย ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ และแม้แต่ความตรึงใจ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างสัมพันธภาพ   ผู้นำกลุ่มสร้างบรรยากาศของการให้ความเคารพต่อกันและกัน การสนทนา การสอบถาม และการยืนยันรับรองที่จะทำให้ผู้รับบริการมีอิสระที่จะสร้าง สำรวจ และร่วมประพันธ์เรื่องราวชีวิตของพวกเขา (Walter & Peller, 1996)  ผู้นำกลุ่มยังต้องมีท่าทีของความอยากที่จะรู้ภายใต้ความเคารพ และทำงานร่วมกับผู้รับบริการในการสำรวจผลกระทบของปัญหาที่มีต่อพวกเขา และอะไรที่พวกเขากำลังทำอยู่เพื่อลดผลกระทบของปัญหา (Winslade & Monk, 2007)
          Sharry (2001) ใช้รูปภาพที่เข้าใจได้ง่ายในเปรียบเทียบบทบาทของผู้นำกลุ่มในลักษณะเป็น Facilitator-centered interaction กับ Group-centered interaction ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเส้นที่ลากผ่าน Facilitator โดยไม่มีลูกศรชี้ หมายถึงการที่ผู้นำกลุ่มเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างสมาชิกเข้าด้วยกัน โดยให้สมาชิกเป็นผู้เชี่ยวชาญ และผู้นำกลุ่มเป็นผู้ช่วยเหลือ
                             
กระบวนการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส  (The process of the Solution-focused group)
ขั้นการเปลี่ยนแปลง  (Steps in the change process)
Walter และ Peller (1992) อธิบายถึง 4 ขั้นของกระบวนการให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการทำกลุ่มได้ ดังนี้  1)ค้นหาสิ่งที่สมาชิกกลุ่มต้องการ แทนที่จะค้นหาสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ   2)ไม่ทำการวิเคราะห์หาสาเหตุในตัวสมาชิก เพราะจะเป็นการลดทอนความสามารถของพวกเขา  แต่มองไปยังสิ่งที่กำลังทำงานอยู่ในตัวของพวกเขา และกระตุ้นให้กำลังใจพวกเขาทำต่อไป   3)ถ้าสิ่งที่สมาชิกกำลังทำอยู่ไม่เกิดผล ให้กำลังใจพวกเขาลองทำสิ่งที่แตกต่างออกไป   4)การทำกลุ่มแต่ละครั้ง พยายามกระชับให้สั้น และเสมือนหนึ่งว่าเป็นการทำกลุ่มครั้งสุดท้าย  การทำกลุ่มแบบทฤษฎี-โซลูชั่น-โฟกัสยังต้องมีท่าทีการยอมรับในตัวบุคคลตามแนวคิดทางปรัชญาศาสตร์ และช่วยพวกเขาให้สามารถหาคำตอบให้กับปัญหา   De Shazer (1991) เชื่อว่าโดยปกติผู้รับบริการสามารถหาคำตอบให้กับปัญหาของตนเองได้ โดยไม่ต้องมีการประเมินตัวปัญหา
การสร้างเป้าหมายของสมาชิก  (Creating member goals)
SFBT มีฐานคิดอยู่บนการเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการบรรลุเป้าหมาย   ผู้นำกลุ่มเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเมื่อเริ่มกลุ่ม  Walter และ Peller (1992) และ Murphy (2008) ได้ย้ำถึงความสำคัญของการช่วยให้สมาชิกลุ่มสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนและกระชับ ซึ่งควรมีลักษณะดังนี้   1)เป้าหมายต้องเป็นเชิงบวกและเข้าใจได้ง่ายด้วยภาษาของสมาชิกเอง   2)เป็นกระบวนการและทำได้จริง   3)เป็นปัจจุบันไม่เพ้อฝัน   4)เป็นรูปธรรม เจาะจง และเห็นผลสำเร็จแน่นอน   5)ทำด้วยตัวสมาชิกเอง   แต่ก็ต้องควรระวังดังที่ Walter และ Peller (2000) ให้ข้อสังเกตว่า ผู้นำกลุ่มควรระวังที่จะไม่ไปจัดวางแนวทางการตั้งเป้าหมายอย่างเคร่งครัดให้กับสมาชิกกลุ่มก่อนรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา เพราะสมาชิกพร้อมและเต็มใจที่จะตั้งเป้าหมายของตนเองก็ต่อเมื่อรู้ว่ามีคนรับฟัง และเข้าใจพวกเขาอยู่        Sharry (2001, p.92) ได้เสนอแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับเขียนและประเมินเป้าหมายของสมาชิกกลุ่มไว้ดังนี้
แบบฟอร์มการตั้งเป้าหมายในการทำกลุ่มครั้งแรก

ชื่อ..................................................................      วันที่....................................................................

พวกเราพร้อมที่จะช่วยคุณให้ได้รับสิ่งต่างๆจากกลุ่มมากที่สุด  แบบสอบถามนี้จะช่วยให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และเป็นประโยชน์กับพวกเราทุกคนในการทำกลุ่มร่วมกัน
·       ในการทำกลุ่มครั้งนี้ อะไรคือเป้าหมายของคุณ?  อะไรที่คุณอยากจะทำให้สำเร็จ?
กรุณาให้คะแนนตัวคุณเอง ว่าคุณเข้าใกล้เป้าหมายเพียงใด (มีคะแนน 1-10 โดยที่ 1 หมายถึงคุณอยู่ห่างจากเป้าหมายไกลที่สุด และ 10 หมายถึงคุณได้บรรลุเป้าหมายแล้ว)

เป้าหมายที่ 1



เป้าหมายที่ 2
ไกลสุด                                          ทำสำเร็จ
    1    2    3    4    5    6    7    8    9    10
ไกลสุด                                          ทำสำเร็จ
    1    2    3    4    5    6    7    8    9    10

คุณคิดจะทำอะไรต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?


คุณมีพลัง, ทักษะ และทรัพยากรในด้านใดในตัวคุณที่อยากจะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?






          นอกนั้น Sharry (2001, p.102) ยังได้เสนอแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับประเมินเป้าหมายของสมาชิกในตอนท้ายก่อนปิดกลุ่ม
แบบฟอร์มการประเมินเป้าหมายก่อนปิดกลุ่ม

ชื่อ...................................................................      วันที่...................................................................

กรุณาให้คะแนนตัวคุณเองในแต่ละเป้าหมายที่คุณตั้งไว้

เป้าหมายที่ 1
เป้าหมายที่ 2
ไกลสุด                                          ทำสำเร็จ
    1    2    3    4    5    6    7    8    9    10
ไกลสุด                                          ทำสำเร็จ
    1    2    3    4    5    6    7    8    9    10

มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง?  และมีอะไรที่ก้าวหน้าไปบ้างในตัวคุณ?





คุณคิดจะทำอะไรต่อไป?  คุณยังต้องการความช่วยเหลือต่อไป หรือคุณคิดว่าคุณสามารถรับมือกับปัญหาได้แล้วในขณะนี้? โปรดอธิบาย





ความคิดเห็นอื่นๆ









การยุติ  (Terminating)
การทำกลุ่มทุกครั้ง ผู้นำกลุ่มต้องคิดอยู่เสมอว่าเป็นการทำกลุ่มครั้งสุดท้าย เพื่อจะได้ตั้งเป้าหมายในกระบวนการได้ทันที  ผู้นำกลุ่มอาจตั้งคำถามว่า “เมื่อปัญหาถูกแก้ไขแล้ว คุณจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม?”  นี่คือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มทำกลุ่ม และเป็นการปูพื้นฐานสู่การยุติอย่างมีประสิทธิภาพ (Murphy, 2008)   ก่อนปิดกลุ่มผู้นำต้องช่วยให้สมาชิกระบุให้ได้ถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถทำต่อไปในอนาคตเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Bertolino & O’Hanlon, 2002) และระบุสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในตัวพวกเขาแล้ว เมื่ออุปสรรคถูกรับรู้แล้ว ผู้นำกลุ่มสามารถช่วยให้สมาชิกหาคำตอบให้กับปัญหา (solution) โดยการเสริมพลังอำนาจตัวสมาชิกให้หันกลับไปดูอุปสรรคในอดีต สำรวจข้อยกเว้นเพื่อหาทางออกให้กับปัญหา (exception to solution)
การประยุกต์ : เทคนิคการให้คำปรึกษาและกระบวนการ  (Application : Therapeutic Techniques and Procedures)
เทคนิคที่เป็นหัวใจของทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสที่ผู้นำกลุ่มมักใช้กัน ได้แก่ การค้นหาสิ่งที่แตกต่างในการกระทำหรือการเปลี่ยนแปลง, คำถามข้อยกเว้น, คำถามลำดับขั้น, และคำถามปาฏิหาริย์    Murphy (2008) ให้ข้อคิดกับผู้นำกลุ่มให้ใช้เทคนิคอย่างยืนหยุ่น และเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละสถานการณ์ของสมาชิก ผู้นำกลุ่มต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าต้องให้ความสำคัญกับความเป็นบุคคลมากกว่าการใช้เทคนิค
การเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา  (Pretherapy change)
การเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา คือ การเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้นก่อนการเข้ารับคำปรึกษาครั้งแรก   บ่อยครั้งเพียงแค่การนัดเพื่อขอรับการให้คำปรึกษา ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมไปในทางบวกได้เช่นกัน   ในการพบกันครั้งแรกเป็นเรื่องปกติที่ผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสมักจะถามว่า “คุณสังเกตว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างมั้ย หรือมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากคุณโทรนัดเพื่อขอรับคำปรึกษา?” (de Shazer & Dolan, 2007, p.5)    มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า ผู้รับบริการที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนการรับคำปรึกษาจะอยู่ครบจนสิ้นสุดกระบวนการบำบัด มากเป็น 4 เท่าของผู้รับบริการที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องดังกล่าว (Johnson, Nelson, & Allgood, 1998)
การตั้งคำถาม  (Questioning)
ผู้นำกลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสใช้การตั้งคำถามเป็นวิธีการที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในประสบการณ์ของสมาชิกกลุ่ม แทนที่จะใช้เพื่อรวบรวมข้อมูล   ผู้นำกลุ่มไม่ควรตั้งคำถามที่ตนเองรู้คำตอบอยู่แล้ว เขาต้องตั้งคำถามด้วยท่าทีของความเคารพ ความอยากที่จะรู้อย่างแท้จริง ความสนใจอย่างจริงใจ และความเปิดเผย   คำถามต้องเกี่ยวข้องกับสมาชิกกลุ่ม และผลที่ตามมาคือคำตอบที่มาจากตัวสมาชิกเองในฐานะผู้เชี่ยวชาญ   คำตอบนี้เองกลับกลายเป็นข้อมูลที่จะไปกระตุ้นความสนใจของผู้นำกลุ่มให้คิดตั้งคำถามต่อไป ดังนั้นคำถามจึงมาจากคำตอบก่อนหน้านี้    ส่วนสมาชิกที่เหลือจะถูกกระตุ้นให้ตอบรับไปพร้อมกับผู้นำกลุ่มเพื่อสร้างความร่วมมือกันในกลุ่ม   การสร้างกระบวนการกลุ่มที่มีความร่วมมือกันเป็นเรื่องสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม  
คำถามข้อยกเว้น  (Exception questions)
SFBT มีแนวคิดว่าในช่วงเวลาชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหารุมเร้า ก็ต้องมีบ้างบางขณะที่ปัญหาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาโดยบุคคลนั้นๆ  ช่วงเวลานี้เองที่เราเรียกว่า ข้อยกเว้นของปัญหา (Exceptions)   คำถามข้อยกเว้นจะชี้นำให้สมาชิกเห็นว่าบางครั้งปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยลงหรือไม่รุนแรง   ข้อยกเว้นเป็นเรื่องของเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นกับสมาชิก ซึ่งคาดคะเนด้วยเหตุผลว่าปัญหาต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายปัญหาก็ไม่ได้เกิดอย่างที่คิด (de Shazer, 1985; Murphy, 2008)  ครั้นเมื่อสมาชิกสามารถระบุข้อยกเว้นได้แล้ว ตัวอย่างของความสำเร็จหรือข้อยกเว้นนั่นเองจะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการให้สมาชิกสำรวจเป้าหมายที่สำคัญของพวกเขา พร้อมดึงพลังและทรัพยากรที่อยู่ในตัวเองออกมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (Murphy, 2008)  
คำถามปาฏิหาริย์  (The miracle question)
ผู้นำกลุ่มจะใช้การสนทนาที่มองโลกในแง่ดีพูดคุยกับสมาชิกให้บรรลุเป้าหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้   วิธีการบรรลุเป้าหมายได้ถูกพัฒนาด้วยสิ่งที่ de Shazer (1985, 1988) เรียกว่า “คำถามปาฏิหาริย์” ซึ่งปกติจะมีรูปแบบคำถามดังนี้ “ถ้ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ปัญหาที่มีอยู่มันอันตรธานหายไปในชั่วข้ามคืน คุณรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาหมดไปแล้ว? และอะไรที่จะแตกต่างไปจากเดิม?”   สมาชิกจะถูกกระตุ้นให้ตอบคำถามที่ว่า “อะไรที่จะแตกต่างไปจากเดิม” แทนที่จะมามัวนั่งมองดูปัญหา  แท้จริงแล้วคำถามปาฏิหาริย์ถูกออกแบบมาเพื่อให้สมาชิกสามารถวาดภาพในความคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเมื่อปัญหาหมดไป (Sklare, 2005)  การกระตุ้นให้สมาชิกวาดฝันในสิ่งที่พวกเขาอยากเป็นอยากทำ อยากไปในที่ไม่เคยไป เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้นำกลุ่มเชิญชวนให้สมาชิกล่าฝันแม้จะเป็นฝันที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อทำให้สมาชิกเกิดพลังที่จะประสบความสำเร็จ ดีกว่าที่จะไปจำกัดจินตนาการของพวกเขา  คำถามปาฏิหาริย์เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำถามข้อยกเว้นที่เกี่ยวกับอนาคต (โดยปกติคำถามข้อยกเว้นจะเกี่ยวกับปัญหาในอดีต) และเป็นเทคนิคหนึ่งในการตั้งเป้าหมายซึ่งมีประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ยังไม่เห็นภาพของปาฏิหาริย์ที่จะเกิดขึ้น  
          Nau (1997) สังเกตผู้ให้คำปรึกษาแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสในขณะทำการบำบัดครั้งแรก พบว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญต่อการใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์  ปัจจัยแรกคือ ผู้ให้คำปรึกษาต้องสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการก่อนที่จะตั้งคำถาม  และปัจจัยที่สองคือ เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์จะเกิดผลก็ต่อเมื่อได้มีการสำรวจถึงข้อยกเว้นของปัญหาเสียก่อน   จากการศึกษาเชิงคุณภาพในหัวข้อการใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์กับกลุ่มอาสาสมัคร 12 คนจากกลุ่มให้ความช่วยเหลือพ่อแม่และผู้ปกครอง พบว่าคำตอบของพวกเขามีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม และสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภทที่เป็นรูปธรรม (เช่น บ้านที่น่าอยู่มากขึ้น), ประเภทที่เป็นความสัมพันธ์ (เช่น ใกล้ชิดมากขึ้นกับบุคคลที่รัก) และประเภทที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก (เช่น มีความสุขมากกว่าเดิม)  ทั้งนี้หลังจากการตอบคำถามปาฏิหาริย์ สมาชิกทุกคนรู้สึกมีความหวังมากขึ้นในสถานการณ์ชีวิตของพวกเขา (Dine, 1995)
คำถามลำดับขั้น  (Scaling questions)
ผู้นำกลุ่มจะใช้คำถามลำดับขั้นเมื่อไม่สามารถสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในตัวสมาชิกในเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก และการสื่อสาร  เช่น ถ้าสมาชิกกลุ่มบอกว่ารู้สึกกังวล ผู้นำกลุ่มจะตั้งคำถามว่า “มีคะแนน 0 ถึง 10  คะแนน 0 เท่ากับความรู้สึกของคุณที่เต็มไปด้วยความกังวลขณะเมื่อเริ่มทำกลุ่ม  และคะแนนเต็ม 10 เท่ากับความรู้สึกของคุณเมื่อมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และความกังวลทุกอย่างหายไปสิ้น  ณ เวลานี้คุณลองให้คะแนนตัวเองว่าคุณรู้สึกกังวลมากน้อยในระดับใด?”  แม้ว่าสมาชิกจะให้คะแนนตนเองแค่ 1 คะแนน มันก็บ่งบอกถึงความก้าวหน้าที่เขาได้พัฒนาจาก 0 ไปเป็น 1  ผู้นำกลุ่มต้องถามต่อว่าสมาชิกก้าวหน้าได้อย่างไร?  และต้องการสิ่งใดเพื่อจะก้าวหน้าไปในระดับคะแนนที่สูงขึ้น   คำถามลำดับขั้น (scaling question) ช่วยให้สมาชิกกลุ่มสนใจมากขึ้นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ และทำอย่างไรที่จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาตั้งใจไว้  
การมอบหมายงานหลังการเข้ากลุ่มครั้งแรก  (Formula First Session Task)
FFST (Formula First Session Task) คือการที่ผู้นำกลุ่มมอบหมายงานให้สมาชิกนำกลับไปทำที่บ้านหลังปิดกลุ่มครั้งแรก และนำกลับมารายงานในการเปิดกลุ่มครั้งต่อไป  ผู้นำกลุ่มอาจกล่าวดังนี้ “ระหว่างนี้จนถึงการทำกลุ่มครั้งต่อไป ผมอยากให้การบ้านพวกคุณไปทำ  ให้พวกคุณสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ กับครอบครัว ชีวิตสมรส สัมพันธภาพ ซึ่งคุณอยากให้มันเกิดขึ้นต่อไป  แล้วนำกลับมาเล่าให้กลุ่มฟังในการพบกันครั้งหน้า” (de Shazer, 1985, p.137)   de Shazer เชื่อว่าการบ้านที่มอบให้นี้จะเพิ่มทัศนคติเชิงบวกของสมาชิกแต่ละคนที่มีต่อปัจจุบันและอนาคต  มีงานวิจัยที่ยืนยันประโยชน์ของ FFST ว่าในการทำกลุ่มครั้งที่ 2   89%ของสมาชิกกลุ่มที่ถูกมอบหมายงานให้กลับไปทำที่บ้าน นำกลับมารายงานในท่าทีเชิงบวกและเต็มไปด้วยคุณค่า  และ 57%ของสมาชิกกลุ่มรายงานว่าสถานการณ์ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (de Shazer, 1985
บทสรุป
ผลของการศึกษาและงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นว่า การให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสเป็นรูปแบบที่ทรงประสิทธิผลและก่อให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกแก่สมาชิกอย่างมากมาย  อย่างไรก็ตาม ยังขาดงานวิจัยเชิงปริมาณที่จะมาสนับสนุนข้อดีและความแข็งแกร่งของการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส  ข้อควรระวังของงานวิจัยเชิงปริมาณ คืองานวิจัยที่ต้องทำกับกลุ่มบุคคลที่มีปัญหา โดยเฉพาะในกระบวนการทำกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม  กล่าวคือ กลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาอยู่แล้ว ในทางจริยธรรมพวกเขาควรได้รับการบำบัดดูแล   งานวิจัยหลายฉบับยืนยันว่ามนุษย์ปรารถนาที่จะปรับปรุงชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น หากพวกเขาได้รับการบำบัดดูแล  และยิ่งเป็นเรื่องเสี่ยงมากขึ้นที่จะนำเอากลุ่มบุคคลที่มีปัญหาในด้านความรุนแรง, คิดฆ่าตัวตาย, ผิดปกติในการกิน, ติดสารเสพติด มาอยู่ในการควบคุมไม่ให้การบำบัดรักษา  ดังที่ Todd & Stanton (1983) แสดงความเห็นว่างานวิจัยไม่มีความจำเป็นต้องใช้การทดลองแบบกลุ่มควบคุม เพราะในกรณีเช่นนี้มันผิดจริยธรรม
          การใช้เทคนิคคำถามในรูปแบบต่างๆ  Skidmore (1993) ได้ทำการประเมินการใช้เทคนิคการตั้งคำถาม 4 รูปแบบจากผู้ให้คำปรึกษา สรุปได้ว่า
·       คำถามปาฏิหาริย์ มีประสิทธิภาพมากที่สุดในกระบวนการบำบัด
·       คำถามลำดับขั้น ถูกใช้มากที่สุดเพื่อประเมินความก้าวหน้าของผู้รับบริการ
·       คำถามข้อยกเว้น ทำให้ผู้รับบริการคิดถึงความเป็นไปได้ของปัญหาที่ต้องมีทางแก้ไขและคำตอบ ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
·       คำถามการเปลี่ยนแปลงก่อนการรับคำปรึกษา มีประสิทธิผลน้อยที่สุด และยากที่จะประยุกต์ใช้ให้เกิดผล
          แม้ว่าการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะให้ความสำคัญกับการใช้เทคนิคคำถามต่างๆ แต่กุญแจแห่งความสำเร็จอยู่ที่สัมพันธภาพระหว่างผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่ม  จากงานวิจัยของ Odel, Butler, & Dielman (1997) พบว่า แม้ว่าผู้นำกลุ่มจะใช้เทคนิคคำถามปาฏิหาริย์, มอบหมายงานให้กลับไปทำ และใช้เทคนิคต่างๆของ SFBT แต่ถ้าสมาชิกกลุ่มรู้สึกได้ว่าผู้นำกลุ่มไม่ได้ฟังและเข้าใจพวกเขา สุดท้ายพวกเขาก็จะทิ้งกลุ่มไป   การศึกษาการรับรู้ของสมาชิกกลุ่มมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างสัมพันธภาพของผู้นำกลุ่ม และการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัสจะเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อมันเป็นกระบวนการของการหาคำตอบให้กับปัญหา และกระบวนการที่เน้นสมาชิกกลุ่มเป็นสำคัญ และนี่ก็คือความงดงามที่แฝงตัวอยู่ในการให้คำปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีโซลูชั่น-โฟกัส ที่มีความเป็นศิลป์ของการใช้เทคนิคและการสร้างสัมพันธภาพแห่งความร่วมมือร่วมใจ บนฐานของกระบวนการที่เป็นศาสตร์ มีขั้นตอนในการแก้ปัญหาด้วยการหาคำตอบโดยการตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น เกิดประสิทธิผลสูงสุด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น