วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

การให้คำปรึกษากลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง (The Person-centered approach in groups)

การให้คำปรึกษากลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง

(The Person-centered approach in groups)

บทนำ  (Introduction)

ในปีประมาณ ค.ศ. 1940  Carl Rogers ได้พัฒนา “การให้คำปรึกษาแบบไม่ชี้นำ” (nondirective counseling) ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการให้คำปรึกษาแบบเดิมๆ ซึ่งได้แก่ แนวการตีความและชี้นำ (directive and interpretative approach) โดยวางตัวผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาย และผู้รับบริการเป็นผู้รับแต่ฝ่ายเดียว  รูปแบบการให้คำปรึกษาจึงมีลักษณะเป็นการวิเคราะห์สาเหตุ ตีความ ให้คำแนะนำและสั่งสอน

          จุดเด่นของการให้คำปรึกษาแบบไม่ชี้นำ คือความจริงใจ (realness) ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) ของผู้ให้คำปรึกษา และเน้นที่การสร้างสัมพันธภาพมากกว่าการใช้เทคนิค เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง   สมมติฐานของแนวคิดแบบ Roger’s approach คือ มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์ (wholeness) และการบรรลุศักยภาพของตนเอง (self-actualization)

          การให้คำปรึกษาแบบไม่ชี้นำ ให้ความสำคัญการทำให้ผู้รับบริการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และทำให้กระจ่าง  Roger เชื่อว่าโดยอาศัยการยอมรับสัมพันธภาพ ผู้รับบริการจะเข้าใจและหยั่งรู้มากขึ้นในปัญหาของตนเอง และจัดการกับมันบนพื้นฐานของความเข้าใจในตนเองใหม่

ปูมหลังทางประวัติศาสตร์  (History background)

ในช่วงเวลาประมาณปี ค.ศ.1950  Rogers ได้พัฒนาทฤษฎีบุคลิกภาพอย่างเป็นระบบ และใช้กับการให้คำปรึกษาแบบรายบุคคล  โดยตั้งชื่อว่า “การบำบัดแบบผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง” (client-centered therapy) (Rogers, 1951)  การบำบัดในแนวผู้รับบริการเป็นศูนย์กลางได้ขยายวงกว้างออกไป มีการประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนเกี่ยวกับการเรียนการสอน ในสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับจิตพิสัยและพุทธพิสัย ในการพัฒนาองค์กรและภาวะผู้นำ

          ในปีประมาณ ค.ศ. 1960-1970 Rogers ได้นำรูปแบบการบำบัดของเขามาใช้กับกลุ่ม ซึ่งจะเน้นไปที่การเติบโตของสมาชิกกลุ่ม จึงมีการเปลี่ยนชื่อรูปแบบการบำบัดจากผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง เป็นบุคคลเป็นเป็นศูนย์กลาง (Person-centered) โดย Rogers ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับผู้ให้คำปรึกษาที่ต้องสามารถสะท้อนถึงสิ่งที่ผู้รับบริการแสดงออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และต้องมีคุณลักษณะของท่าทีที่คล้อยตามและเต็มใจในการรับฟัง

          การให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งโดยงานวิจัยของ Bozarth, Zimring และ Tausch (2002) ซึ่งสามารถสรุปพัฒนาการของแนวคิดได้ดังนี้

·       ในระยะแรก ผู้รับบริการถูกให้ความสำคัญมากกว่าผู้ให้คำปรึกษา  งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการให้คำปรึกษาแบบไม่ชี้นำ (nondirective) เกี่ยวข้องมากขึ้นกับเรื่องของการทำความเข้าใจ การสำรวจตัวเอง และการปรับปรุงอัตมโนทัศน์ (self-concept)

·       ต่อมามีการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของคุณลักษณะของแนวคิด จากการทำให้เกิดความกระจ่างในเรื่องของความรู้สึก ไปสู่กรอบอ้างอิงของผู้รับบริการ  งานวิจัยยืนยันสมมติฐานหลายอย่างของ Rogers  ให้การสนับสนุนในประโยชน์และคุณค่าของสัมพันธภาพและทรัพยากรในตัวบุคคลของผู้รับบริการ  ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในความสำเร็จของการบำบัด

·       งานวิจัยให้ความสำคัญกับทัศนคติของผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขหลักของความสำเร็จในการบำบัด

          แม้ว่าการให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง จะมีพัฒนาการเปลี่ยนไป แต่ความเชื่อที่ว่ามนุษย์แสวงหาการบรรลุศักยภาพในตนเอง (self-actualization) ยังคงเป็นรากฐานของการบำบัดในแนวคิดนี้   การนำแนวคิดนี้มาใช้กับกลุ่มบำบัดมีมามากกว่า 70 ปี และยังคงเปิดให้สามารถพัฒนาและปรับปรุงได้ (Cain & Seeman, 2002; Cain, 2010)

ความสัมพันธ์ระหว่างการให้คำปรึกษาแบบอัตถิภาวนิยม กับ จิตวิทยาด้านมนุษยนิยม         (The relationship between Existential therapy and Humanistic psychology)

ความคิดหลักของแนวคิดอัตถิภาวนิยม (Existential approach) ที่ Rogers ได้นำมาใช้ในการให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง ได้แก่ การให้ความหมายกับการเป็นมนุษย์ ความสมดุลระหว่างอิสรภาพกับความรับผิดชอบ และสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับบริการ    อีกประการหนึ่งคือ ทั้งการให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลางและการให้คำปรึกษาแบบเกสตอลท์มีพื้นฐานบนแนวคิดด้านประสบการณ์ของมนุษย์ มิติของความเป็นมนุษย์ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

ประเด็นสำคัญของจิตวิทยาเชิงมนุษยนิยม  (The focus of humanistic psychology)

แนวคิดมนุษยนิยมถือได้ว่าเป็นคลื่นลูกที่ 3 ถัดจากจิตวิเคราะห์ และพฤติกรรมนิยม  พวกมนุษยนิยมมีความคิดว่า มนุษย์ไม่สามารถถูกศึกษาและทำความเข้าใจได้แบกแยกส่วน  ตรงข้ามมนุษย์ต้องถูกศึกษาในระดับปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและกับโลกภายนอก   นักมนุษยนิยมที่เด่นๆ ได้แก่ Carl Rogers, Rollo May, Abraham Maslow, Fritz Perls, Virginia Satir, Natalie Rogers, Clark Moustakas, Sidney Jourard  และ James Bugental  ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนมีพื้นฐานแนวคิดมาจากอัตถิภาวนิยม และประยุกต์ใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยาโดยเน้นที่ความเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ เช่น ความรัก อิสรภาพ การเลือก การคิดสร้างสรรค์ จุดประสงค์ สัมพันธภาพ ความหมาย ค่านิยม การเจริญงอกงาม การบรรลุศักยภาพ อิสระภายใน ความรับผิดชอบ การหลุดพ้นจากตัวเอง อารมณ์ขัน และความจริงใจ

          การบำบัดแบบกลุ่มที่ถูกจัดให้อยู่ในสายของมนุษยนิยม ได้แก่ การให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง เกสทอลต์ และอัตถิภาวนิยม  ทั้งนี้เพราะทั้ง 3 รูปแบบมีสมมติฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ และมีกระบวนการบำบัดที่คล้ายคลึงกัน

          จิตวิทยาบำบัดมีแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญของมนุษยนิยม ดังนี้

          1. ความสำคัญของความตระหนักรู้ในตนเอง :  บุคคลที่มีความตระหนักรู้ ก็ย่อมจะมีความมั่นใจในการตัดสินใจเลือก

          2. แนวคิดปรากฏการณ์นิยม :  ด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์สามารถคิดไตร่ตรองได้ด้วยสติปัญญาโดยรู้ตัว  เราจึงให้ความสำคัญกับโลกส่วนตัวของผู้รับบริการ และพยายามเข้าใจความจริงจากมุมมองของเขา โดยเน้นที่ความเป็นปัจเจกบุคคล และเอกลักษณ์ในตัวของบุคคล

          3. การบรรลุถึงศักยภาพ การเจริญงอกงาม และความโน้มเอียง :  ทั้ง Maslow และ Rogers มีความเห็นตรงกันว่ามนุษย์ไม่เพียงต้องการความมั่นคงเท่านั้น แต่มนุษย์ยังต้องการที่จะเจริญงอกงาม พัฒนา และเพิ่มขีดความสามารถของตนเองจากแรงขับภายใน

          4. ความเชื่อที่ว่ามนุษย์มีอิสระ และสามารถกำกับตนเองได้ :  อดีตและสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อมนุษย์  แต่มนุษย์ก็มีอิสระที่จะกำกับตนเองให้เดินบนหนทางที่เขาได้เลือกไว้

          5. ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน :  นักบำบัดในสายมนุษยนิยมเชื่อว่า มนุษย์มีความสามารถที่จะรับผิดชอบ และพยายามสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล  ดังนั้นในกระบวนการบำบัดจึงต้องพยายามเข้าใจ และจับประเด็นให้ได้จากโลกของประสบการณ์ของผู้รับบริการ

แนวคิดหลัก  (Key concepts)

ความไว้วางใจในกระบวนการกลุ่ม  (Trust in the group process)

มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาที่จะบรรลุถึงศักยภาพที่ตนมีอยู่  นี่คือข้อความจริงพื้นฐานที่สมาชิกกลุ่มต้องการได้รับการยอมรับ  ดังนั้นกลุ่มต้องสร้างบรรยากาศแห่งการยอมรับ และความไว้วางใจให้เกิดขึ้นภายในกลุ่ม  สมาชิกแทนที่จะปิดบังก็จะสามารถเปิดเผยตัวเองสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อพฤติกรรมใหม่ เช่น

·       จากการสวมบทบาทเล่นละคร สมาชิกก็จะแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา

·       จากการปิดกั้นตัวเอง ก็จะเปิดตัวเองสู่โลกแห่งความเป็นจริง

·       จากที่ไม่เคยคิดถึงตัวตนภายใน และประสบการณ์ของตนเอง ก็จะมีความตระหนักรู้มากขึ้น

·       จากการที่ไม่เป็นตัวของตนเองเพราะต้องพึ่งพาคำตอบจากผู้อื่น ก็พร้อมที่จะนำพาชีวิตด้วยตัวเองอย่างเต็มใจ

·       จากการที่ไม่ไว้ใจใคร และกลัวที่จะสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น ก็จะกลับกลายเป็นคนที่เปิดเผยและเปิดตัวกับผู้อื่น

          ยิ่งถ้าสมาชิกกลุ่มมีความรู้สึกว่าชีวิตของเขาอยู่ในกลุ่ม และเขาเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เขาก็จะยิ่งมีส่วนร่วมในกระบวนการกลุ่ม โดยที่ไม่ต้องตัดอิสระภายในตนเองออกไป   O’Hara และ Wood (1984, 2004) เชื่อว่าการที่สมาชิกแต่ละคนสามารถปรับทิศทางของตนเองเข้ากับทิศทางของกลุ่ม เป็นการบ่งบอกว่ากลุ่มได้รับรู้และเข้าใจถึงศักยภาพของสมาชิกผู้นั้นแล้ว และจะเกิดปรากฏการณ์ของการรู้ตัวในระดับกลุ่มตามมา

เงื่อนไขการบำบัดเพื่อความเจริญงอกงาม  (The therapeutic conditions for growth)

Rogers (1980) สรุปอย่างน่าฟังว่า “แต่ละบุคคลมีทรัพยากรมหาศาลอยู่ในตัวเอง และใช้เพื่อการเข้าใจตนเอง การปรับเปลี่ยนอัตมโนทัศน์ ทัศนคติพื้นฐาน และพฤติกรรมชี้นำตนเอง  ทรัพยากรเหล่านี้สามารถถูกดึงมาใช้งานได้ หากมีการสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยทัศนคติแห่งการเอื้ออำนวยความสะดวก” (p. 115)  ทัศนคติที่กล่าวถึงเป็นท่าทีของผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งมี 3 ลักษณะด้วยกัน คือ ความจริงใจ (Genuineness or Congruence), การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข (Unconditional positive regard or nonpossessive warmth or acceptance) และความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)   เมื่อผู้นำกลุ่มแสดงท่าทีเหล่านี้ออกมา ก็จะเกิดบรรยากาศแห่งการยอมรับและเป็นห่วงเป็นใยกันภายในกลุ่ม  ความไว้วางใจก็จะเกิดขึ้นกับสมาชิกกลุ่ม ไม่มีกำแพงกั้นระหว่างกันและกัน  ทรัพยากรภายในตัวบุคคลก็จะถูกนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแต่ละคน ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแต่ละคน   เพื่อให้การดำเนินงานของกลุ่มมีประสิทธิภาพ ผู้นำกลุ่มต้องไว้วางใจในความสามารถของสมาชิก เพื่อที่เขาจะเจริญงอกงามในทิศทางที่เขาต้องการ

          เมื่อผู้นำกลุ่มมีท่าทีที่จริงใจ ยอมรับ และเห็นอกเห็นใจให้กับสมาชิกกลุ่ม และสมาชิกกลุ่มรับรู้ได้ถึงเงื่อนไขเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพและการเจริญงอกงามก็จะเกิดขึ้น (Cain, 2010)   Rogers เชื่อว่า เงื่อนไขหลักทั้ง 3 อย่างนี้ทำงานไปพร้อมๆกันมากกว่าที่จะทำงานแบบอิสระ ไม่ขึ้นต่อกันและกัน และสามารถใช้ได้กับสถานการณ์ต่างๆ กลุ่มที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ (Rogers, 1987d)   Rogers ยังได้ย้ำอีกว่า เงื่อนไขหลักทั้ง 3 อย่างนี้จำเป็นและเพียงพอสำหรับการบำบัดที่มีประสิทธิภาพ

การประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำกลุ่ม  (Implications for group leaders)

Bozarth, Zimring และ Tausch (2002) ยืนยันว่า เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญที่จะฝึกอบรมให้ผู้นำกลุ่มมีทัศนคติที่จะช่วยเกื้อหนุนการมองโลกของสมาชิกกลุ่ม มีทัศนคติที่จะแสดงความศรัทธาในศักยภาพภายในตัวของสมาชิก และมีทัศนคติที่จะสร้างสัมพันธภาพแห่งการบำบัด   Coghlan และ Mcilduff (1990) เชื่อว่าสิ่งที่สำคัญในการฝึกอบรมผู้นำกลุ่มคือ การสอนให้พวกเขารู้จักใช้อำนาจ เพราะการบำบัดแนวบุคคลเป็นศูนย์กลางเน้นที่ความเท่าเทียมกันของอำนาจ และมันจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง หากผู้นำกลุ่มพยายามลดอำนาจของสมาชิก   Coghlan และ Mcilduff เชื่อว่าผู้นำกลุ่มจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การนำเสนอทางเลือกให้กับสมาชิกอย่างนิ่มนวล เพื่อว่าการเลือกที่แท้จริงและอิสรภาพที่รู้สึกมีมากขึ้นจะกลับกลายเป็นทรัพย์สมบัติของกลุ่ม ไม่ใช่เครื่องมือของผู้นำกลุ่ม

          นักวิจัยหลายคนยืนยันว่า เงื่อนไขหลักทั้ง 3 ทัศนคติ (ความจริงใจ, การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข, การเข้าใจอย่างเห็นอกเห็นใจ) ที่ผู้นำกลุ่มแสดงออกมาต่อกลุ่มในกระบวนการบำบัดเป็นฐานรากที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ของการบำบัดในเชิงบวก (Cain, 2010; Kirschenbaum, 2009; Raskin, 1986b)  ศิลปะการฟังและการเข้าอกเข้าใจดีกว่าการใช้เทคนิคและกลยุทธ์   ผู้รับบริการบ่อยครั้งระบุว่า “การมีคนเข้าใจตนเอง” เป็นวิธีที่เกิดประโยชน์มากที่สุดในการบำบัด  และการที่มีคนคอยนั่งฟังเขาอย่างสนใจและเอาใจใส่ มันทำให้ตัวเขาเกิดคุณค่า (Cain, 2010)   Thorne (1992) ได้ท้าทายผู้ให้คำปรึกษาด้วยประโยคที่ว่า “เงื่อนไขหลักทั้ง 3 ทัศนคติ ได้แก่ ความจริงใจ การยอมรับ และความเห็นอกเห็นใจ เป็นเรื่องง่ายที่จะพูด แต่เป็นเรื่องยากที่จะลงมือปฏิบัติ” (p. 36)

          สำหรับผู้ที่กำลังฝึกการเป็นผู้นำกลุ่มการให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีประสบการณ์ทางจิตวิทยาในระดับลึกซึ้ง  การที่จะมีท่าทีของความจริงใจ การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข และความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้ได้จากชั้นเรียนหรือรับฟัง lecture  ด้วยเหตุนี้เองจึงจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในทัศนคติ 3 ด้านนี้อย่างเข้มข้น (N. Rogers, personal communication, June 17, 2009)

ความจริงใจ  (Genuineness)

ท่าทีความจริงใจของผู้นำกลุ่มที่มีให้กับกลุ่ม คือการที่ผู้นำกลุ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่ม วางตัวแบบคนธรรมดาทั่วไป เอาตำแหน่งงานและอาชีพออกไป (ถอดหัวโขนออก)  ยิ่งวางตัวในระดับแนวเดียวกับสมาชิกได้กลมกลืนมากเท่าใด สมาชิกกลุ่มก็จะยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงและเจริญงอกงามได้มากขึ้นเท่านั้น   ท่าทีที่ผู้นำกลุ่มแสดงออกมาต้องตรงหรือสอดคล้อง (congruence) กับสิ่งที่อยู่ภายในใจของเขาอย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงเวลาของการบำบัด   หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้นำกลุ่มที่มีความจริงใจจะไม่เสแสร้งแกล้งทำเป็นสนใจ ไม่แสดงการให้ความสนใจหรือเข้าใจแบบหลอกๆ  ไม่พูดในสิ่งที่เขาไม่ได้หมายถึง และไม่แกล้งทำเป็นเอาใจเพื่อจะได้การยอมรับ   ผู้นำกลุ่มสามารถทำหน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาโดยที่ไม่ต้องซ่อนตัวอยู่หลังฉากของการแสดงบทบาทเป็นผู้ให้การบำบัด

          Natiello (1987) อธิบายว่า เพื่อจะรักษาท่าทีของความจริงใจ หรือความสอดคล้องภายใน ผู้นำกลุ่มจำเป็นต้องมีความตระหนักรู้ในตนเอง มีการยอมรับตนเอง และมีความไว้วางใจในตนเองในระดับที่สูง   ความจริงใจคือขั้นของความเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจตนเองอย่างลึกซึ้ง และยอมรับความจริงที่ได้จากการสำรวจอย่างเต็มใจ  Natiello อธิบายต่อไปว่า ปราศจากท่าทีที่สอดคล้องกับภายใน เงื่อนไขหลักอีก 2 อย่าง (การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข และความเห็นอกเห็นใจ) ก็จะเกิดขึ้นในแบบที่ไม่เป็นธรรมชาติ และจะกลายเป็นแค่การใช้เทคนิคเท่านั้น ไร้ความหมาย และเป็นได้แค่การจัดการและควบคุม   ความสอดคล้องภายในสร้างความเชื่อมั่นให้กับความเห็นอกเห็นใจ และการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข

การประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำกลุ่ม  (Implications for group leaders)

ผู้นำกลุ่มต้องวางตัวเป็นธรรมชาติในการเข้ากลุ่มกับสมาชิก โดยหลีกเลี่ยงการใช้บทบาททางอาชีพมาปิดบังความเป็นตัวเอง   แม้ว่าผู้นำกลุ่มจำเป็นต้องมีความซื่อสัตย์ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตนเองแบบหมดเปลือก เอาแค่พองามพอเหมาะ  ผู้นำกลุ่มให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบ การแสดงความรู้สึกของตนในกลุ่ม และให้ความสำคัญกับการสำรวจความรู้สึกต่อต้านของสมาชิก โดยเฉพาะความรู้สึกที่อาจจะปิดกั้นความสามารถในการอยู่กับกลุ่ม    การแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้นำกลุ่มออกมา จะเป็นรูปแบบตัวอย่างที่ดีให้กับสมาชิกที่จะก้าวไปสู่ความเป็นจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า

          ผู้นำกลุ่มบางคนมีความยากลำบาก “ในการเป็นตัวของตนเอง”  บ่อยครั้งที่ความยากลำบากนี้เกิดจากความเข้าใจผิดว่า ความจริงใจ คือการที่คิดหรือรู้สึกอะไรก็จะแสดงออกมาทันที โดยปราศจากการไตร่ตรองถึงความเหมาะสม กาลเทศะ และปฏิกิริยาของสมาชิกกลุ่ม  เช่นเดียวกับการเป็นตัวตนเองอย่างแท้จริง ที่ผู้นำกลุ่มมักเข้าใจผิด และแสดงตนเองเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่ม โดยพูดประเด็นเกี่ยวกับปัญหาของตัวเองเป็นส่วนใหญ่   ดังนั้นผู้นำกลุ่มควรระวังในการนำเรื่องของตนเองมาพูดในกลุ่ม โดยให้สำรวจดูแรงจูงใจที่พูดเพราะสมาชิกต้องการ หรือเป็นเพราะความต้องการของตนเอง  ผู้นำกลุ่มใช้การเล่าเรื่องของตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับความจริงของสมาชิกกลุ่ม ทำให้เรื่องที่แบ่งปันกันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น เสริมสร้างความเป็นพันธมิตรกัน หรือนำเสนอทางเลือกในด้านความคิด หรือการกระทำ (Norcross, 2010)

การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยท่าทีเชิงบวก  (Unconditional positive regard and acceptance)

เงื่อนไขหลักตัวที่ 2 คือ การยอมรับสมาชิกกลุ่มอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยท่าทีเชิงบวก  เมื่อผู้นำกลุ่มแสดงการยอมรับสมาชิกด้วยท่าที่เชิงบวกและไม่ตัดสิน  การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบำบัดก็จะเกิดขึ้น (Rogers, 1986b)   การยอมรับเชิงบวกคือการสื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการตัดสินความรู้สึกนึกคิดของสมาชิก   การให้คุณค่าและยอมรับในประสบการณ์ของสมาชิกกลุ่มอย่างไรอคติ จะเป็นการลดการป้องกันตนเองของสมาชิก เกิดการเปิดเผยตัวเองมากขึ้น และให้ความร่วมมือในการทำกลุ่มบำบัด   อย่าสับสนระหว่างการยอมรับ (acceptance) กับการรับรอง (approval)  ผู้นำกลุ่มยอมรับและให้คุณค่าสมาชิกกลุ่มเป็นรายบุคคลตามสิทธิที่แต่ละคนมี โดยไม่มีการรับรองความประพฤติว่าถูกต้องหรือไม่  และเมื่อสมาชิกกลุ่มเห็นว่าตนเองได้รับการยอมรับและการให้คุณค่าในความเป็นบุคคลของพวกเขา  สมาชิกกลุ่มก็จะมีแนวโน้มที่จะก้าวหน้าในทิศทางบวก และเกิดการยอมรับในตนเองมากขึ้น (Cain, 2010)  การที่สมาชิกกลุ่มรับรู้ถึงการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขของผู้นำกลุ่ม จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่แนบแน่น และผลลัพธ์ต่อเนื่องทางบวก (Norcross, 2010)

          ท่าทีที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ได้แก่ ท่าทีความห่วงใยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และท่าทีของความอบอุ่นซึ่งมีความละเอียดอ่อนในการแสดงออกผ่านทางท่าทาง สายตา น้ำเสียง และสีหน้า   ความห่วงใยที่แสดงออกอย่างจริงใจ ซึ่งสมาชิกกลุ่มสามารถรับรู้ได้ จะส่งเสิรมพัฒนาการของพวกเขา  ในทางกลับกัน ความอบอุ่นที่ถูกประดิษฐ์หรือถูกสร้างขึ้นมาจะไม่มีประโยชน์ต่อกลุ่ม และง่ายที่จะถูกจับได้ว่าเสแสร้ง   ถ้าสมาชิกกลุ่มรับรู้ว่าความอบอุ่นของผู้นำกลุ่มที่แสดงออกเป็นเพียงแค่การใช้เทคนิคมากกว่าจากความรู้สึกที่จริงใจ มันจะกลับกลายเป็นอุปสรรคแก่ตัวสมาชิกที่จะไว้วางใจในความจริงใจของผู้นำกลุ่มที่แสดงออกมาในปฏิกิริยาอื่นๆ

          มีผู้นำกลุ่มน้อยคนที่สามารถมอบการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขให้แก่สมาชิกกลุ่มแต่ละคนด้วยความจริงใจอย่างสม่ำเสมอ   การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นท่าทีของการต้อนรับโลกของสมาชิกที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ และความเป็นบุคคลของพวกเขา   จากมุมมองของ Lietaer (1984) การไร้เงื่อนไข (unconditionality) หมายถึง การที่ผู้นำกลุ่มให้คุณค่ากับแก่นของบุคคลในส่วนที่ลึกกว่า หรือมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งในความเป็นตัวบุคคลของผู้อื่น   เมื่อสมาชิกรับรู้ได้ถึงความพยายามของผู้นำกลุ่มที่จะไม่วางเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น พวกเขาก็จะไม่ท้อถอย แม้จะมีความยากลำบากก็ตาม

          การยอมรับสมาชิกแต่ละคนอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยความห่วงใยและอบอุ่น ก็เท่ากับเป็นการยอมรับทั้งกลุ่ม   Rogers (1970) เชื่อในความสามารถของแต่ละคนที่จะค้นหาทิศทางของตนเองได้  ดังนั้นเขาจึงเชื่อในการยอมรับกลุ่มอย่างที่เป็น ไม่จำเป็นต้องมีการชี้นำ

การประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำกลุ่ม  (Implications for group leaders)

ผู้นำกลุ่มบ่อยครั้งพบกับความยากลำบากใจที่ต้องพยายามสร้างความรู้สึกของการยอมรับ และยังต้องแสดงออกอย่างไม่มีเงื่อนไขอีก  บางคนถึงกับเป็นภาระของตนเองจนกลายเป็นการแสดงออกมาแบบไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากพวกเขาต้องแสดงการยอมรับอยู่ตลอดเวลา และต้องอย่างอบอุ่น อย่างสม่ำเสมอในทุกสถานการณ์ด้วย   ผู้นำกลุ่มจึงจำเป็นต้องพัฒนาท่าทีการยอมรับตนเองพอๆกับการยอมรับสมาชิกกลุ่ม  แรกๆอาจยังไม่รู้สึกห่วงใย หรือยังไม่เกิดการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข   ต้องเข้าใจว่าการเป็นผู้นำกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกอบอุ่น หรือมีการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขในระดับสูงตลอดเวลา  และไม่ใช่ว่าบางเวลามีหรือบางเวลาไม่มีก็ได้  แต่ต้องมีอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้น และยังต้องระลึกอยู่เสมอว่า การให้คุณค่า ความห่วงใย และการยอมรับแก่สมาชิกกลุ่ม มีโอกาสที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้สูง

ความเห็นอกเห็นใจ  (Empathy)

ท่าทีที่ 3 คือการเข้าใจด้วยความเห็นอกเห็นใจในกรอบภายในของตัวบุคคลของสมาชิก  ผู้นำกลุ่มแสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกและประสบการณ์ชีวิตของสมาชิกกลุ่ม   Rogers (1961) ให้นิยามของคำว่า “ความเห็นอกเห็นใจ” (Empathy) ไว้ว่า เป็นความสามารถในการเข้าถึงโลกกรอบภายในของตัวบุคคลอื่น  “เป็นการรับรู้โลกส่วนตัวของผู้รับบริการเสมือนหนึ่งเป็นโลกส่วนตัวของเราเองอย่างไม่มีที่ผิดเพี้ยน และนี่คือการเห็นอกเห็นใจซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในกระบวนการบำบัด” (p. 284)  แต่การรับรู้หรือแม้แต่การเข้าใจโลกส่วนตัวของผู้รับบริการก็ยังไม่เพียงพอ  ผู้นำกลุ่มต้องสามารถที่จะถ่ายทอดความเข้าใจอย่างเห็นอกเห็นใจให้สมาชิกรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  วิธีการแรกๆที่จะทราบได้ว่าสมาชิกรับรู้ถึงความเห็นอกเห็นใจของผู้นำกลุ่ม คือการรับฟังข้อมูลย้อนกลับจากสมาชิก (Norcross, 2010)

          ในความคิดของ Rogers (1975) ความเห็นอกเห็นใจ คือ สภาวะของผู้นำกลุ่มที่ไม่ตีคุณค่าของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น  มันเป็นปัจจัยที่มีพลังมากที่สุดที่ทำให้เกิดการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงตนเอง  พลังนี้อยู่ในตัวบุคคล ไม่ใช่ในความเชี่ยวชาญ   Rogers ได้สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ ไว้ดังนี้

·       ผู้ให้คำปรึกษาที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน ต่างเห็นพ้องกันว่า การพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นจากมุมมองของผู้ให้การคำปรึกษา เป็นปัจจัยวิกฤตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของผู้ให้คำปรึกษา

·       หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของความเห็นอกเห็นใจ คือการเกื้อหนุนให้ผู้รับบริการสำรวจตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง ผ่านทางสัมพันธภาพที่เขารู้สึกว่ามีคนที่เข้าใจเขาอยู่  งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้รับบริการที่รู้สึกว่าผู้ให้คำปรึกษาเข้าใจในตัวเขา จะถูกกระตุ้นให้เปิดเผยตนเองมากกว่า

·       ความเห็นอกเห็นใจชะล้างความเกลียดชังออกไป  บุคคลที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจะรู้สึกมีสายสัมพันธ์กับผู้อื่น  รู้ว่าตนเองมีคุณค่า เป็นที่ห่วงใย และถูกยอมรับอย่างที่เป็น

·       ความสามารถที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจขึ้นอยู่กับการพัฒนาตนเองของผู้ให้คำปรึกษา   Rogers สรุปว่าผู้ให้คำปรึกษายิ่งมีวุฒิภาวะและมีการบูรณาการทางจิตวิทยามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งสร้างสัมพันธภาพที่เอื้อประโยชน์มากเท่านั้น (p. 5)

·       การเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และตีความไม่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ  ความเห็นอกเห็นใจ คือการยอมรับและไม่ตัดสิน   Rogers กล่าวว่า “ความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงต้องปราศจากคุณลักษณะของการวิเคราะห์และประเมิน

          ความเห็นอกเห็นใจอย่างจริงใจ เป็นหัวใจของการบำบัดแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง  มันเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้นำกลุ่มเข้าใจในความหมายของการแสดงออกของสมาชิก ซึ่งบ่อยครั้งความหมายนี้อยู่ที่เส้นชายขอบของความตระหนักรู้   Watson (2002) อธิบายว่า ความเห็นอกเห็นใจที่เต็มเปี่ยม คือการเข้าอกเข้าใจความหมายและความรู้สึกที่มาจากประสบการณ์ของสมาชิกกลุ่ม และสามารถถ่ายทอดความเข้าอกเข้าใจนี้ให้สมาชิกกลุ่มได้รับรู้อย่างชัดเจน  จากงานวิจัยตลอดระยะเวลา 60 ปีของเธอ ได้ชี้ให้เห็นว่าความเห็นอกเห็นใจเป็นปัจจัยที่มีพลังมากที่สุดในการบำบัด  เธอท้าทายและเชิญชวนให้ผู้ให้คำปรึกษาปฏิบัติดังนี้  “ผู้ให้คำปรึกษาจำเป็นที่จะต้องปรับคลื่นให้ตรงกับผู้รับบริการ และเข้าใจในตัวเขาด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และสติปัญญา  เมื่อใดก็ตามที่ความเห็นอกเห็นใจกำลังทำงานอยู่บน 3 ระดับ คือระดับของสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ระดับของสติปัญญา และระดับของความรู้สึก  เมื่อนั้นความเห็นอกเห็นใจจะกลับกลายเป็นเครื่องมือที่มีอานุภาพที่สุดของผู้ให้คำปรึกษา” (pp. 463-464)

          การฟังอย่างตั้งใจด้วยความไวและตื่นตัว เป็นสิ่งที่ Rogers ทำกับกลุ่มบำบัด “ผมตั้งใจฟังอย่างเอาใจใส่ ตรงไปตรงมา และไวต่อความรู้สึกเท่าที่ผมจะทำได้กับสมาชิกแต่ละคนที่พูด  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญหรือไม่สำคัญ ผมตั้งใจรับฟังทั้งหมด” (p. 47)   ดูเหมือนว่า Rogers กำลังฟังมากกว่าพูด  เขาจับประเด็นเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ทั้งในคำพูดและไม่ใช่คำพูด ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่อยู่ในความเป็นตัวบุคคลของผู้รับบริการ   Natalie Rogers เรียกสิ่งนี้ว่า “เป็นการฟังดนตรีทั้งทำนองและเนื้อร้อง”  มันเป็นการฟังสิ่งที่แฝงอยู่ใต้เนื้อร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ (personal communication, September 10, 2005)

          ในบริบทของกลุ่ม ความเห็นอกเห็นใจระหว่างบุคคลที่ลึกซึ้ง บ่อยครั้งเป็นผลมาจากความผูกพันที่แน่นแฟ้นของกลุ่ม    Cain (2010) อธิบายถึงพลังของความเห็นอกเห็นใจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไว้ดังนี้ :  ความเห็นอกเห็นใจ ยิ่งในส่วนที่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก จะช่วยผู้รับบริการ ดังนี้  1)เกิดความสนใจและให้คุณค่ากับประสบการณ์ของพวกเขา   2)คิดไตร่ตรองถึงประสบการณ์นั้นๆ   3)มองประสบการณ์เก่าในมิติใหม่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมุมมองที่มีต่อตนเองและต่อโลก   4)เพิ่มความมั่นใจในการมองแง่มุมต่างๆ  ในการตัดสินใจ และในการลงมือปฏิบัติ     การที่สมาชิกรู้สึกปลอดภัยในกลุ่มก็เป็นอีกบริบทหนึ่งของกลุ่ม ที่ทีละเล็กทีละน้อยทำให้พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรู้จักที่จะสร้างสัมพันธภาพกับคนรอบข้าง

          O’Hara และ Wood (1984, 2004) อธิบายว่า ความเห็นอกเห็นใจในขั้นสูง (Transpersonal) สามารถพัฒนาได้ในกลุ่มที่มีสมาชิกสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งจะนำไปสู่การบำบัดในระดับพิเศษของแต่ละคนและของกลุ่ม

การประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำกลุ่ม  (Implications for group leaders)

การเข้าใจที่มีลักษณะเห็นอกเห็นใจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดบรรยากาศของการยอมรับและความไว้วางใจ อันนำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม   ความเห็นอกเห็นใจเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ และเป็นทักษะที่ผู้นำกลุ่มที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องพัฒนา

          เป็นความเข้าใจผิดที่ว่า ผู้นำกลุ่มไม่สามารถมีความเห็นอกเห็นใจได้ นอกเสียจากว่าผุ้นำกลุ่มจะได้รับประสบการณ์เดียวกันกับของสมาชิก  ซึ่งความคิดผิดๆนี้จะไปจำกัดประสิทธิภาพของผู้นำกลุ่ม  เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าไม่จำเป็นที่คนๆหนึ่ง เพื่อที่จะมีความเห็นอกเห็นใจจึงต้องได้รับประสบการณ์ความทุกข์ทรมานร่วมกับของสมาชิก ในขณะที่พยายามช่วยบรรเทาสมาชิกจากความเจ็บปวดนั้นๆ เช่น ความเศร้าโศกของสมาชิกที่เกิดจากการถูกทอดทิ้ง  ผู้นำกลุ่มก็ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง เพื่อที่จะได้มีความเห็นอกเห็นใจในตัวสมาชิกผู้นั้น  หรือถึงขนาดต้องทำการหย่าร้างเพื่อจะได้รู้สึกถึงความโกรธ ความเจ็บแค้น ความเศร้าโศกของสมาชิกที่ผิดหวังกับคู่ชีวิต   ผู้นำกลุ่มสามารถมีอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ได้ จากประสบการณ์ชีวิตในรูปแบบอื่นๆที่แตกต่างจากประสบการณ์ของสมาชิก  สิ่งสำคัญคือผู้นำกลุ่มต้องพร้อมที่จะเปิดใจสัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกของสมาชิกกลุ่ม และนำมาเป็นประสบการณ์ของตนเองอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อนั้นผู้นำกลุ่มก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น

กำแพง และอุปสรรคของการบำบัดที่มีประสิทธิผล  (Barriers to effective therapy)

ในการทำกลุ่ม ผู้เขียนและคณะพบว่าสมาชิกรู้สึกได้ถึงความไม่พร้อมของผู้นำกลุ่ม ซึ่งทำให้กลุ่มเกิดความคับข้องใจและหมดหวัง  สมาชิกกลุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย  บางคนต่อต้านและไม่ชอบเข้ากลุ่ม  ผู้เขียนประเมินปัญหาดังกล่าว และพบว่าเกิดจากการที่ผู้นำกลุ่มขาดการตั้งใจฟังอย่างตื่นตัว ไม่มีสัญญาณที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ และการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขออกมาให้รับรู้   ผู้เขียนจึงสรุปประเด็นอุปสรรคที่ขัดขวางความก้าวหน้าของกลุ่มไว้ดังนี้

·       ขาดการให้ความสนใจ และความเห็นอกเห็นใจ :  บ่อยครั้งที่ผู้นำกลุ่มไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง  เขาใช้กลุ่มเป็นที่รองรับความคิดของเขา ใช้คำถามปลายปิดเพื่อแก้ปัญหามากกว่าที่จะเข้าใจปัญหา  บ่อยครั้งเขามีความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อกลุ่มมากจนเกินไป  ทำให้เขาพูดมากกว่าฟัง

·       ขาดการเปิดเผยตัวเองของผู้นำกลุ่ม :  การทำกลุ่มของบางสถาบันมีแนวความคิดว่า ผู้นำกลุ่มไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่ม ควรหลีกเลี่ยงการแสดงตัวเองในกลุ่ม  หลีกเลี่ยงการแบ่งปันสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเองแม้มันจะส่งผลต่อการสร้างสัมพันธภาพ  ผู้นำกลุ่มที่คาดหวังจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม แต่ยังคงดึงตัวเองออกจากปฏิสัมพันธ์กับสมาชิก  แน่นอนที่สุดมันเป็นความคาดหวังที่ไม่มีเหตุผล และนำความพ่ายแพ้ให้กับตนเอง

·       ขาดการยอมรับที่อบอุ่น และอย่างไม่มีเงื่อนไข :  ผู้นำกลุ่มบางคนหมดความอดทนกับสมาชิกกลุ่มที่เขาควรช่วยเหลือ โดยจับสมาชิกนั้นๆแยกประเภทตามคุณลักษณะที่ผู้นำกลุ่มมีรูปแบบอยู่ในความคิดแล้ว  การมีอคติเช่นนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ยาก และอาจจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ   เป็นที่ยอมรับกันว่าในการทำโปรแกรมบำบัดของกรณีความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงในเด็ก และฆาตกรรม   มันยากสำหรับผู้นำกลุ่มที่จะแสดงการยอมรับที่อบอุ่นและอย่างไม่มีเงื่อนไข   หากยังไม่สามารถแสดงความรู้สึกนี้ออกมาได้ ในเบื้องต้นผู้นำกลุ่มก็ควรเก็บอาการปฏิกิริยาของตนเองที่มีต่อพฤติกรรมรุนแรงเหล่านี้ในระหว่างการทำกลุ่มบำบัด   และหากยังไม่สามารถทำได้อีก ก็ควรพิจารณาปลดตัวเองจากบทบาทผู้นำกลุ่ม

·       ขาดความเชื่อในกระบวนการบำบัด :  การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข คือความเชื่อที่ว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปรับปรุงสภาพของตนเองได้   ผู้เขียนพบว่าในการฝึกทำกลุ่ม บางครั้งที่ผู้นำกลุ่มถูกบังคับให้ต้องนำกลุ่ม และไม่แน่ใจในประสิทธิผลของกลุ่มบำบัด  ในบรรยากาศที่ขาดความกระตือรือร้น แรงจูงใจ และความเชื่อ ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ผู้นำกลุ่มจะพบว่าการทำกลุ่มล้มเหลว  แล้วจะไปคาดหวังอะไรที่ให้สมาชิกต้องเชื่อในกระบวนการบำบัด ทั้งๆที่ตัวผู้นำกลุ่มยังไม่เชื่อเลย   เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำกลุ่มเชื่อในสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ และให้คุณค่ากับกระบวนการบำบัด เมื่อนั้นเขากำลังบอกกับสมาชิกกลุ่มให้รู้ว่ากลุ่มบำบัดเป็นทางเลือกที่ดีทีสุดที่ผู้รับบริการจะหาได้  ไม่ใช่เป็นทางเลือกที่สอง

การประยุกต์ใช้สำหรับผู้นำกลุ่ม  (Implications for group leaders)

ผู้นำกลุ่มควรสำรวจตัวเองว่ามีทัศนคติ และพฤติกรรมใดบ้างที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของกลุ่ม  นี่คือตัวอย่างคำถามที่ทำให้เกิดการสะท้อนตัวเอง

·       อะไรคือความต้องการของฉันที่มานำกลุ่ม?

·       ในกลุ่ม ฉันเป็นตัวตนของฉันอย่างแท้จริงไหม หรือฉันซ่อนตัวเองภายใต้บทบาทผู้นำกลุ่ม?

·       ฉันเชื่อในความสามารถการนำตนเองของสมาชิก หรือฉันจำเป็นต้องคอยชี้นำชีวิตของพวกเขา?  ฉันบังคับให้สมาชิกมองโลกตามแบบที่ฉันมองไหม?   ฉันดูแบสมาชิกเท่าเทียมกันไหม?

·       ฉันเต็มใจไหมที่จะให้เวลากับการเข้าใจผู้อื่น หรือฉันบังคับพวกเขาให้เดินตามหัวข้อที่ฉันกำหนด?

·       งานหลักของฉัน คือการช่วยให้สมาชิกได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือทำให้พวกเขาเกิดความต้องการในสิ่งที่ฉันต้องการสำหรับพวกเขา?

          Bohart (2003) กล่าวว่าในกระบวนการบำบัดแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง  เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยแบบฉากต่อฉาก โดยเฉพาะสิ่งที่สมาชิกต้องการจะสื่อออกมา  ไม่ใช่เป็นการชี้นำให้สำรวจหัวข้อที่ผู้นำกลุ่มตั้งธงให้กลุ่มต้องเดินตาม   Bohart เชื่อว่าเหตุผลที่ทำให้ผู้นำกลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลางผิดพลาดมากที่สุด คือ การที่ผู้นำกลุ่มไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่แสดงการคล้อยตามภายใน  แต่กลับยัดเยียดหัวข้อที่ตั้งไว้แล้วให้กับสมาชิก และล้มเหลวที่จะปรับคลื่นให้ตรงกับกระบวนการเปิดเผยเรื่องราวแบบฉากต่อฉาก

 

 

บทบาท และหน้าที่ของผู้นำกลุ่ม  (Role and functions of the group leader)

การให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของผู้นำกลุ่มมากกว่าการใช้เทคนิคนำ  หน้าที่แรกของผู้นำกลุ่ม คือการสร้างการยอมรับ และบรรยากาศการบำบัดให้เกิดขึ้นในกลุ่ม  สถานะของผู้นำกลุ่มคือ “การอยู่ในกลุ่ม”  ไม่ใช่ “การทำกับกลุ่ม”   Rogers (1986b) เขียนไว้ว่าการเป็นผู้นำกลุ่ม คือการเป็นเพื่อนเดินทางไปกับสมาชิกกลุ่ม เพื่อค้นหาตนเอง   ถ้าผู้นำกลุ่มสามารถวางตัวเองอยู่ในสถานะของ “การอยู่ในกลุ่ม”  ไม่ใช่ “การทำกับกลุ่ม”  เขาก็กำลังบูรณาการระหว่างศาสตร์และศิลป์

          Boy และ Pine (1999) เชื่อว่าบทบาทของผู้นำกลุ่ม คือความเป็นตัวบุคคลว่าเป็น “ใคร” และเป็น “อะไร” นั่นคือค่านิยม ลักษณะการดำเนินชีวิต ประสบการณ์ชีวิต และปรัชญาชีวิตพื้นฐาน     สิ่งเหล่านี้กลายเป็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้นำกลุ่มที่ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งการยอมรับในกลุ่ม ซึ่งนำไปสู่การสื่อสารที่จริงใจ   ความเป็นตัวบุคคลของผู้นำกลุ่มมีความสำคัญมากกว่าความรู้ และความสามารถในการใช้กระบวนการบำบัด

          Rogers ให้ความสำคัญกับผู้นำกลุ่มในเรื่องของการเป็นตัวบุคคลของตนเอง มากกว่าการเป็นผู้เชี่ยวชาญ   Rogers (1970) บรรยายคุณลักษณะของผู้นำกลุ่มไว้ดังนี้

·       ต้องไว้วางใจในกระบวนการกลุ่ม และเชื่อว่ากลุ่มสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยตัวเอง โดยปราศจากการชี้นำ

·       ฟังสมาชิกแต่ละคนอย่างตั้งใจ เอาใจใส่ และไวต่อความรู้สึก

·       ทำทุกวิถีทางที่จะเสริมสร้างบรรยากาศให้สมาชิกกลุ่มรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ

·       พยายามเข้าใจด้วยความเห็นอกเห็นใจ และยอมรับสมาชิกแต่ละคน และทั้งกลุ่มอย่างที่เป็น โดยไม่ผลักดันให้กลุ่มลงลึกไปกว่านี้

·       อยู่กับประสบการณ์ และความรู้สึกของตนเอง  ทำตัวเองให้อยู่กับปัจจุบัน (here-and-now)

·       ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่สมาชิก  และถ้ามีโอกาสเหมาะสมก็ให้ท้าทายเฉพาะบางพฤติกรรมของพวกเขา โดยไม่ตัดสิน แต่จะพูดว่าพวกเขาถูกกระทบโดยพฤติกรรมของผู้อื่น

          ทัศนคติและทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำกลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง ได้แก่ การฟังอย่างตั้งใจและไวต่อความรู้สึก การยอมรับ การเข้าใจ การให้ความเคารพ การสะท้อน การทำให้กระจ่าง การสรุป การแบ่งปันประสบการส่วน การตอบรับ การมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม การก้าวไปพร้อมกับกลุ่ม ไม่ใช่ชี้นำกลุ่มให้เดิน และทำให้สมาชิกมีพลังในการกำกับตนเอง   นอกจากนั้น ผู้นำกลุ่มต้องกระตุ้นให้สมาชิกสำรวจความไม่สอดคล้องกันระหว่างความเชื่อ กับพฤติกรรมของพวกเขา  และกระตุ้นให้พวกเขาลงสู่ความรู้สึกภายใน และประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขา  ซึ่งเมื่อเกิดความตระหนักรู้ในความไม่สอดคล้องภายในตัวพวกเขา การมองตัวพวกเขาเองก็จะกว้างขึ้น

          สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่ามนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะบรรลุศักยภาพที่มีในแต่ละคน  Rogers (1970) เชื่อว่ากลุ่มมีความสามารถที่จะก้าวไปด้วยความคิดริเริ่มของกลุ่มเอง  อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าความหงุดหงิดกังวลใจของสมาชิกกลุ่มอาจเกิดขึ้นได้ เพราะผลพวงจากการขาดความชัดเจนตั้งแต่ตอนเริ่มทำกลุ่ม   Rogers เชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งให้กลุ่มรับรู้ถึงเวลาที่จะใช้ ซึ่งเขามักจะบอกกล่าวก่อนการเปิดกลุ่ม เช่น “ผมแปลกใจว่าวันนี้คุณทำได้อย่างไร? ที่หาเวลามาอยู่กับกลุ่มได้”  หรือ  “ยินดีต้อนรับ  วันนี้พวกเรามีเป้าหมายที่จะใช้เวลาในการทำกลุ่ม  ผมไม่แน่ใจว่าพวกเราจะพูดคุยกันยาวแค่ไหน  แต่ผมกำลังตั้งเป้าไปที่ให้ทุกคนได้เล่าเรื่อง”   Bohart และ Tallman (2010) ย้ำว่าการมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวของสมาชิกกลุ่มเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การบำบัดประสบความสำเร็จ   การมีส่วนร่วมนี้รวมถึงความเปิดเผย และความมีน้ำใจในกระบวนการบำบัด และท่าทีของการให้ความร่วมมือ

          Rogers เชื่อว่าสมาชิกกลุ่มเต็มไปด้วยทรัพยากรและศักยภาพที่จะก้าวไปในทิศทางบวกโดยไม่ต้องพึ่งพาบทบาทชี้นำของผู้นำกลุ่ม   พวกเขาสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกลุ่ม   และถ้ากลุ่มไม่มีโครงสร้าง สมาชิกกลุ่มก็จะเปิดเผยพฤติกรรมของตนเอง   สมาชิกที่คุ้นเคยกับการใช้อำนาจ ก็จะถูกท้าทายให้ตั้งจุดประสงค์และทิศทางด้วยตัวเอง   ผู้นำกลุ่มในฐานะที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและไม่ชี้นำ จะช่วยสมาชิกกลุ่มรู้จักฟังเสียงของตนเองและฟังผู้อื่น   สมาชิกถูกท้าทายให้ต่อสู้ดิ้นรน และเปิดเผยตนเอง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าทำอย่างไรที่จะไว้วางใจในตัวเอง

          ผู้นำกลุ่มสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับกระบวนการกลุ่มได้ดังนี้

·       กระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มแสดงความรู้สึกและความคาดหวังออกมาอย่างเปิดเผย

·       แนะนำสมาชิกให้ความสนใจกับตัวเอง และความรู้สึกของตนเอง

·       สร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย เพื่อที่จะกระตุ้นให้สมาชิกเผชิญกับความเสี่ยง

·       ให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิก เมื่อพวกเขาพยายามลองทำพฤติกรรมใหม่ๆ

·       เกื้อกูลให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกับสมาชิก แทนที่จะให้เกิดระหว่างสมาชิกกับผู้นำกลุ่ม

·       ช่วยเหลือสมาชิกให้เอาชนะอุปสรรคที่ขัดขวางการสื่อสารทางตรง

·       ช่วยสมาชิกบูรณาการสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากกลุ่ม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

·       กระตุ้นให้สมาชิกประเมินความเป็นไปของกลุ่ม และดูว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดบ้าง

          Boy และ Pine (1999) กล่าวว่า ผู้นำกลุ่มถูกท้าทายให้ทำในสิ่งที่ซับซ้อน ซึ่งไม่มีในรูปแบบของกลุ่มที่มีโครงสร้าง และมีผู้นำกลุ่มเป็นศูนย์กลาง   จุดเน้นของกลุ่มในแนวบุคคลเป็นศูนย์กลาง คือความเป็นธรรมชาติที่ออกมาจากตัวตนของสมาชิกแต่ละคน   Tallman และ Bohart (1999) เชื่อว่าสมาชิกกลุ่มเป็นหน่วยแรกของการเปลี่ยนแปลง  และสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกกับผู้นำกลุ่มจะกระตุ้นให้สมาชิกเกิดการบำบัดตนเอง  “สมาชิกกลุ่มกลับกลายเป็นนักมายากลที่มีพลังพิเศษในการบำบัด  ผู้นำกลุ่มเป็นผู้ช่วยอยู่บนเวทีเพื่อให้การแสดงมายากลดำเนินไปได้ด้วยดี” (p. 45)

ขั้นตอนการทำกลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง  (Stage of a Person-centered group)

การทำกลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง จะพบกันทุกสัปดาห์ จะกี่ครั้งก็ได้แต่ภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์   หรืออาจจะใช้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อที่เกี่ยวกับการเจริญงอกงามในตัวบุคคล  ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือ 1 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น   กลุ่มที่มีขนาดเล็กก็จะเพิ่มโอกาสให้สมาชิกกลุ่มรวมตัวเป็นหมู่คณะ (community) ซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดมากกว่ากลุ่ม (group)

          การคัดเลือกสมาชิกเข้าทำกลุ่ม จะพิจารณาจากการมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน  ผู้นำกลุ่มจะไม่ตั้งกฎระเบียบของกลุ่ม แต่จะปล่อยให้กลุ่มดำเนินการเอง กำหนดข้อตกลงกันเองในระหว่างสมาชิกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขา

สิ่งที่ปรากฏในกระบวนกลุ่ม  (Unfolding of the group process)

จากประสบการณ์การทำกลุ่มอย่างนับไม่ถ้วน Rogers (1970) ได้กำหนด 15 แบบแผนของกระบวนการ ซึ่งจะสลับไปมาหรือเรียงลำดับก็ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะของกลุ่ม

          1. ความสับสนอลหม่าน :  การขาดการชี้นำของผู้นำกลุ่มในระยะเริ่มต้นการทำกลุ่ม จะทำให้เกิดความสับสน ความคับข้องใจ และวุ่นวายอลหม่านไปทั่ว  ซึ่งแสดงออกมาทั้งกิริยาวาจา  จะมีคำถามหลุดออกมา เช่น “ใครเป็นผู้รับผิดชอบตรงนี้?” หรือ “ขณะนี้เราควรจะทำอะไรกันดี?”  คำถามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกห่วงใยในสภาพเช่นนี้

          2. การต่อต้านการแสดงออกและการสำรวจของบุคคล :  ในระยะเริ่มแรกสมาชิกจะนำเสนอตัวเองในรูปแบบทั่วๆไป โดยคิดว่าจะเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม  พวกเขากลัวและต่อต้านที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัว

          3. การพูดถึงความรู้สึกในอดีต :  แม้จะมีความสงสัยในความไว้เนื้อเชื่อใจได้ของกลุ่ม และความเสี่ยงของการเปิดเผยตัวเอง   สมาชิกต้องเริ่มแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมาแม้จะลังเลใจหรือตัดสินใจไม่ถูก  โดยทั่วไปการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมักจะทำกันนอกกลุ่ม และมักจะพูดคุยในลักษณะโพล่งความรู้สึกออกมาแบบทันทีทันใด

          4. การแสดงออกความรู้สึกในแง่ลบ :  ขณะที่กลุ่มกำลังเดินไปข้างหน้า จะมีการแสดงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันออกมา และบ่อยครั้งมักเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำกลุ่มที่ไม่ชี้นำกลุ่ม

          5. การแสดงออกและการสำรวจสิ่งที่มีความหมายในชีวิตส่วนตัว :  ถ้าสมาชิกเห็นว่าการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ทางลบเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม  บรรยากาศแห่งความไว้วางใจก็จะเกิดขึ้น  แล้วนั้นสมาชิกก็จะยอมเสี่ยงที่จะเปิดเผยเรื่องราวของตัวเอง  เมื่อถึงจุดนี้ สมาชิกจะเริ่มรับรู้ว่าเป็นพวกเขาเองที่ต้องสร้างกลุ่ม  จากนั้นการมีประสบการณ์ในเรื่องอิสรภาพก็จะตามมา

          6. การแสดงความรู้สึกระหว่างตัวบุคคลในกลุ่ม :  สมาชิกมีแนวโน้มที่จะแสดงความรู้สึกที่มีต่ออีกคนหนึ่งอย่างเต็มที่

          7. การพัฒนาความสามารถในการบำบัดของกลุ่ม :  สมาชิกจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ แสดงความห่วงใย ความเกื้อกูล ความเข้าใจ และการเป็นธุระให้   ในขั้นนี้บ่อยครั้งที่สัมพันธภาพของความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกลุ่มจะช่วยให้สมาชิกสามารถดำเนินชีวิตนอกกลุ่มได้อย่างมีแบบแผน

          8. การยอมรับตัวเอง และการเริ่มการเปลี่ยนแปลง :  สมาชิกเริ่มยอมรับท่าทีของตนเองที่เมื่อก่อนจะคอยปฏิเสธหรือบิดเบือน  พวกเขาเข้าใกล้ความรู้สึกของพวกเขาเอง กระด้างน้อยลงและเปิดมากขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลง   เมื่อสมาชิกยอมรับความเข้มแข็งและความอ่อนแอของตนเอง พวกเขาก็จะทิ้งการต่อต้านและหันมารับเอาการเปลี่ยนแปลง

          9. การทลายกำแพง :  สมาชิกแต่ละคนเริ่มตอบรับการปฏิบัติในกลุ่มด้วยการเอาหน้ากาก และสิ่งที่เสแสร้งออกไป  สมาชิกพร้อมเสี่ยงที่จะลงลึกกว่าปฏิสัมพันธ์ระดับผิว  ในขั้นนี้กลุ่มพยายามไปให้ถึงการสื่อสารในระดับที่ลึกกว่า

          10. ข้อมูลย้อนกลับ :  ในกระบวนการของการรับข้อมูลย้อนกลับ สมาชิกจะได้รับข้อมูลมากมายจากบุคคลที่ได้สัมผัสชีวิตกับพวกเขา  และข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่พวกเขามีต่อผู้อื่น  ข้อมูลเหล่านี้บ่อยครั้งนำไปสู่การหยั่งรู้ ที่ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง

          11. การเผชิญหน้า :  สมาชิกจะเกิดการเผชิญหน้าซึ่งกันและกันด้วยอารมณ์ขณะรับฟังข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเองจากการสะท้อนของเพื่อนสมาชิก  การเผชิญหน้าเป็นก้าวแรกของการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน

          12. สัมพันธภาพที่ช่วยเหลือกันนอกกลุ่ม :  สมาชิกจะติดต่อกันนอกกลุ่ม เกิดการต่อยอดของความช่วยเหลือ ซึ่งอธิบายไว้ในข้อ 7

          13. ความสัมพันธ์พื้นฐาน :  สมาชิกจะสนิทใกล้ชิด ติดต่อกันมากขึ้นและมากกว่าที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน  สัมพันธภาพระหว่างบุคคลอย่างแท้จริงก็จะเกิดขึ้น  ในขั้นนี้ เมื่อสมาชิกผูกมัดตัวเองให้ก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน และสู่การเป็นหมู่คณะร่วมกัน พวกเขาก็จะเกิดการเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของสัมพันธภาพ

          14. การแสดงออกถึงความรู้สึกของความใกล้ชิด :  ขณะที่การทำกลุ่มกำลังก้าวหน้า ความอบอุ่น และความใกล้ชิดก็จะถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นภายในกลุ่ม เพราะสมาชิกกลุ่มมีความรู้สึกที่จริงใจต่อกันและกัน

          15. เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกลุ่ม :  เมื่อสมาชิกรู้สึกผ่อนคลายในการแสดงความรู้สึก ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรม กิริยามารยาท และท่าทางที่ปรากฏภายนอก เช่น ทำอะไรที่เปิดเผย แสดงความรู้สึกที่ลึกกว่าต่อผู้อื่น เข้าใจในตัวเองมากขึ้น ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   ถ้าการเปลี่ยนแปลงเกิดผลจริงๆ สมาชิกก็จะสามารถนำเอาพฤติกรรมใหม่ๆของพวกเขาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

ผลลัพธ์บางประการจากประสบการณ์กลุ่ม  (Some outcomes of the group experience)

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จของการทำกลุ่ม ได้แก่ สมาชิกจะเปิดเผยและซื่อสัตย์, เรียนรู้ที่จะฟังเสียงตัวเอง และเข้าใจตัวเองมากขึ้น, วิพากษ์วิจารณ์น้อยลงและยอมรับตนเองมากขึ้น, ถูกยอมรับและถูกเข้าใจมากขึ้นซึ่งทำให้กำแพงรอบตัวลดน้อยลง, อยู่กับโลกของความจริงมากขึ้น, เป็นตัวของตนเองมากขึ้นตามที่คาดหวังไว้ก่อนเข้ากลุ่ม, ไม่สามารถถูกคุมคามได้ง่ายๆ เพราะความปลอดภัยของกลุ่มได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อตนเองและต่อผู้อื่น   ภายในกลุ่มจะเกิดความเข้าใจและการยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น  สมาชิกจะรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง เกิดการชี้นำตนเอง และความไว้วางใจในตนเองมากขึ้น   สมาชิกจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เพราะพวกเขามีน้ำใจที่จะยอมรับเอกลักษณ์ของตนเอง  พวกเขาจะมีความเห็นอกเห็นใจ มีการยอมรับ และมีความสอดคล้องภายในมากขึ้นในสัมพันธภาพกับผู้อื่น ซึ่งทำให้สัมพันธภาพเต็มไปด้วยความหมาย (Cain, 2010)

การประยุกต์ศิลปะในการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง  (Person-centered expressive arts in groups)

Natalie Rogers ลูกสาวของ Carl Rogers ได้ต่อยอดทฤษฎีที่ยึดเอาบุคคลเป็นศูนย์กลางของบิดา ด้วยการนำเอาศิลปะมาใช้ในการบำบัดแบบไม่ใช้การสนทนา (nonverbal) เพื่อให้สมาชิกได้แสดงความรู้สึก และเกิดการหยั่งรู้โดยผ่านทางกิจกรรม เช่น การเคลื่อนไหว, การวาดรูป, การเขียนบทความ, ดนตรี  เป็นต้น

หลักเกณฑ์ของการใช้ศิลปะบำบัด  (Principles of expressive arts therapy)

ศิลปะบำบัด เป็นแนวคิดที่นำเอาทรัพยากรทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ มาบูรณาการเพื่อใช้ในการบำบัดด้วยรูปแบบกิจกรรมต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหว วาดรูป ระบายสี การปั้นรูป การเขียน ดนตรี  ซึ่งจะนำไปสู่การเจริญงอกงามในตัวบุคคล โดยมีพื้นฐานจากหลักเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์ ดังนี้

·       มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อคิดสร้างสรรค์

·       กระบวนการคิดสร้างสรรค์ คือการบำบัด

·       การเจริญงอกงาม และจิตสำนึกระดับสูงของบุคคลเกิดขึ้นจากการมีความตระหนักรู้ในตนเอง, ความเข้าใจในตนเอง, และการหยั่งรู้

·       การตระหนักรู้ในตนเอง, ความเข้าใจในตนเอง, และการหยั่งรู้ เกิดจากการดำดิ่งลึกลงสู่อารมณ์ เช่น ความโศกเศร้า, ความโกรธ, ความเจ็บปวด, ความกลัว, ยินดี  เป็นต้น

·       อารมณ์ ความรู้สึก เป็นแหล่งพลังงาน

·       ศิลปะนำสู่โลกของจิตไร้สำนึก เพื่อนำเอาข้อมูลและความตระหนักรู้ใหม่ๆออกมา

·       ศิลปะแสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึก การนึกคิด ของมนุษย์

เงื่อนไขที่หล่อเลี้ยงความคิดสร้างสรรค์ และการกระตุ้นประสบการณ์  (Conditions that foster creativity and experience stimulating)

Rogers เชื่อว่า “มนุษย์เกิดมาเพื่อบรรลุศักยภาพของตนเอง”  และ Natalie Rogers ก็เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์  และมนุษย์ก็ใช้ความคิดสร้างสรรค์นี้เพื่อทำให้บรรลุศักยภาพของตนเอง  เงื่อนไขที่จะหล่อเลี้ยงให้ความคิดสร้างสรรค์เจริญเติบโต มี 2 เงื่อนไข คือ เงื่อนไขภายใน ได้แก่ ใจที่เปิดรับทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งจะลดกำแพงรอบตัวทำให้มองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่รีบร้อนตัดสิน  และเงื่อนไขภายนอก ได้แก่ ความรู้สึกถึงความปลอดภัยและอิสรภาพ  กล่าวคือ เมื่อรู้สึกปลอดภัยก็จะยอมรับทุกคน ไม่มีการตัดสินตัวบุคคล มีความเห็นอกเห็นใจ และความเข้าอกเข้าใจกัน   ทั้ง 2 เงื่อนไขกระตุ้นให้ความคิดสร้างสรรค์เติบโตขึ้น  อย่างไรก็ดี การกระตุ้นให้คิดถึงประสบการณ์จะทำให้ผู้รับบริการนำเอาความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในการบำบัดได้ โดยตัวประสบการณ์ และรูปแบบของศิลปะควรสอดคล้องกัน เช่น การใช้การวาดรูป การระบายสี หรือการปั้นรูป เพื่อให้ผู้รับบริการได้ระบายความเกลียดชังออกมาโดยไม่มีการทำร้ายตัวบุคคลจริงๆ

การประยุกต์ใช้ : เทคนิค และกระบวนการบำบัด (Application : Therapeutic techniques and procedures)

ในการบำบัดแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือคุณภาพ ความเชื่อ และทัศนคติของผู้ให้คำปรึกษาในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้รับบริการ ได้แก่ ความสอดคล้องภายใน, ความโปร่งใสจริงใจ, ความห่วงใยที่ปราศจากการตัดสิน, การให้รางวัล, การอยู่กับปัจจุบัน, ความเห็นอกเห็นใจ, ความเคารพ, การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข (Cain, 2010)   สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรพึงระลึกไว้เสมอ คือเทคนิคการบำบัดไม่สามารถแยกจากความเป็นตัวบุคคล (person) ของผู้นำกลุ่มได้  ดังนั้นการจะใช้เทคนิคอะไรนั้น ต้องพิจารณาว่าเหมาะสมกับบุคลิกภาพของผู้นำกลุ่มหรือไม่   เราสามารถดึงเทคนิคจากทฤษฎีแนวคิดต่างๆมาใช้ได้ เช่น เกสตอล์ท, พฤติกรรมนิยม และความฝัน   การให้การบ้านก็เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อให้ผู้รับบริการได้นำเอาเรื่องประสบการณ์ชีวิตของตนเองออกมาแบ่งปัน

          ผู้นำกลุ่มมีอิสระมากในการมีสัมพันธภาพ แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ เผชิญหน้าแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย กระตือรือร้นในกระบวนการบำบัด และแบ่งปันประสบการณ์ ณ ปัจจุบัน (here and now experience) ของตนเอง  ด้วยเพราะเหตุนี้ ในมุมมองดั้งเดิมของ Rogers ผู้นำกลุ่มจึงต้องกระตุ้นตัวเองให้พยายามใช้วิธีการต่างๆ หรือรูปแบบการบำบัดที่หลากหลาย เพื่อทำให้ผู้รับบริการเกิดการสำรวจตัวเอง และสุดท้ายนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเอง

          จากรูปแบบการให้คำปรึกษาแบบผู้รับบริการเป็นศูนย์กลางในแนวดั้งเดิม สู่การให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลางในแนวบูรณาการ (classic client-centered approach to integrative person-centered approach)  ท่าทีของผู้ให้คำปรึกษายังยึดถือแนวคิดทางปรัชญาศาสตร์ที่เกี่ยวกับความเป็นตัวบุคคลของมนุษย์  แต่ในการปฏิบัติจะบูรณาการวิธีการและเทคนิคของอัตถิภาวนิยม, เกสตอล์ท, ประสบการณ์นิยม มาใช้ในกลุ่มบำบัด  อย่างไรก็ตาม การจะใช้เทคนิคหรือไม่ใช้ รูปแบบและกระบวนการบำบัดต้องปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกกลุ่มเสมอ

 

การประยุกต์ใช้ในสาขาอื่นๆ  (Areas of application)

ความจริงใจ ความเห็นอกเห็นใจ และการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขของการให้คำปรึกษาแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสาขาวิชาชีพอื่นๆได้ เพราะทั้ง 3 ทัศนคติเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย แต่ก็ไม่ง่ายเสมอไปในทางปฏิบัติ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพลังในตัวของบุคคลมากกว่าโครงสร้างที่มีสายบังคับบัญชาซึ่งมนุษย์มักจะปฏิเสธ   ทัศนคติทั้ง 3 อย่างนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างสัมพันธภาพและทักษะการสื่อสาร ซึ่งทั้งสัมพันธภาพและการสื่อสารเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในองค์กรต่างๆ เช่น โรงเรียน หน่วยงาน  และต่อการแก้ไขความขัดแย้งของสังคมที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ.

Corey, G. (2012). Theory and Practice of Group Counseling. (8th Eds.). USA: Books/Cole.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น