การให้คำปรึกษากลุ่มในแนวอัตถิภาวนิยม (The existential approach to groups)
บทนำ
(Introduction)
การบำบัดแบบอัตถิภาวนิยม (Existential
approach)
ถูกมองว่าเป็นกระบวนการของความคิดมากกว่าการปฏิบัติในกลุ่ม
แนวคิดนี้ไม่ใช่รูปแบบที่มีระเบียบแบบแผนพร้อมเทคนิคการบำบัด อย่างไรก็ตามความเป็นมนุษย์ในรูปแบบสากล
และความคิดในเรื่องความมีชีวิตอยู่ถือเป็นพื้นฐานของทุกกลุ่ม
แนวคิดอัตถิภาวนิยม
(Existential
approach) อยู่คนละขั้วกับจิตวิเคราะห์และพฤติกรรมนิยม
ซึ่งเป็นแนวคิดดั้งเดิมและมีมุมมองที่มีลักษณะกำหนดเจาะจงลงไป
อัตถิภาวนิยมเน้นที่อิสรภาพในการเลือกที่จะทำตามสถานการณ์
เป็นแนวคิดแบบพลวัตที่ให้ความสำคัญแก่นของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ 4 ประการ
คือ อิสรภาพ ความโดดเดี่ยว ความไร้ความหมายในชีวิต และความตาย (Yalom,
1980; Yalom & Josselon, 2011)
การบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า มนุษย์มีอิสระ
เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้เลือกและการกระทำของเขา
ถึงแม้ว่าอิสรภาพของเราในการกระทำจะถูกจำกัดด้วยปัจจัยและความเป็นจริงภายนอก
แต่อิสรภาพที่เป็นอยู่แท้จริงขึ้นอยู่กับความเป็นจริงภายใน เป้าหมายประการหนึ่งของกระบวนการบำบัด คือ
การท้าทายผู้รับบริการให้ค้นหาทางเลือก และตัดสินใจที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง Schneider และ Krug
(2010) กล่าวว่าผู้บำบัดมีหน้าที่หลักที่ต้องช่วยให้ผู้รับบริการเอาชีวิตของตนกลับมา ทั้งสองได้ระบุถึงจุดมุ่งหมาย 4
ประการของการบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมและมนุษยนิยม ดังนี้ 1)
ช่วยให้ผู้รับบริการอยู่ในปัจจุบันทั้งกับตนเองกับผู้อื่น 2)
ช่วยให้ผู้รับบริการรู้ถึงสิ่งที่เขากั้นตัวเองออกจากการอยู่กับปัจจุบัน 3)
ท้าทายผู้รับบริการให้รับผิดชอบต่อการกำหนดรูปแบบชีวิตของตนเองในปัจจุบัน 4)
กระตุ้นผู้รับบริการให้เลือกทางที่เปิดกว้างมากกว่าในการดำเนินชีวิตประจำวัน
Van
Deurzen (2002a) ชี้ให้เห็นว่า
การบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมเป็นกระบวนการที่สำรวจค่านิยมและความเชื่อของผู้รับบริการ
ซึ่งค่านิยมและความเชื่อนี้ให้ความหมายกับการมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังมีจุดประสงค์เพื่อเชื้อเชิญผู้รับบริการให้คิดถึง
เอาจริงเอาจัง และเดินตามจุดหมายของชีวิต ซึ่งแตกต่างกันไปตามที่แต่ละคนกำหนด
ไม่ใช่ถูกกำหนดโดยผู้ให้การบำบัด
ประเด็นสำคัญของการให้คำปรึกษาแบบอัตถิภาวนิยม (The focus of
existential psychotherapy)
อัตถิภาวนิยมเป็นแนวความคิดสาขาหนึ่งทางปรัชญาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในยุโรป นักปรัชญาศาสตร์ที่สำคัญของแนวคิดนี้ ได้แก่ Martin
Heidegger (1889-1976) และ Jean-Paul Sartre (1905-1980) โดยทั้งสองเสนอว่าตนเองไม่ใช่นักบำบัดทางจิตวิทยาโดยตรง ความคิดดั้งเดิม คือ
การทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการยอมรับข้อจำกัดและโศกนาตกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์
กับความเป็นไปได้และโอกาสที่มนุษย์จะก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ไปสู่การมีชีวิตอยู่ แนวคิดนี้พยายามช่วยมนุษย์ให้สามารถจัดการกับความลังเลในชีวิต
เช่น ความโดดเดี่ยว ความเหินห่าง
และความไร้ความหมาย ซึ่งทำให้พวกเขาต้องประสบการมีชีวิตอยู่ในโลกคนเดียว
และเผชิญกับความกังวลที่เกิดจากความโดดเดี่ยวนี้
Rollo
May ได้แปลแนวคิดทางปรัชญาศาสตร์ของอัตถิภาวนิยมจากยุโรป
ไปสู่อเมริกาในรูปแบบแนวคิดทางจิตวิทยาบำบัด
งานเขียนของ May (1953, 1961, 1981, 1983)
ได้ทำให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับแนวคิดอัตถิภาวนิยมไปทั่วโลก May คิดว่าการเติบโตเป็นบุคคลไม่ใช่เป็นกระบวนการแบบอัตโนมัติ
มนุษย์มีความปรารถนาที่จะเติมเต็มในศักยภาพของตนเอง
การเลือกของเขาจะเป็นตัวกำหนดการเป็นตัวบุคคลของเขาเอง
มนุษย์ดิ้นรนตลอดเวลาที่จะเติบโตและเป็นอิสระ แต่ก็แฝงไว้ด้วยกระบวนการที่เจ็บปวด ทั้งนี้เพราะการดิ้นรนของมนุษย์อยู่ระหว่างความรู้สึกปลอดภัยเมื่อขึ้นกับผู้อื่น
และความรู้สึกยินดีและเจ็บปวดเมื่อต้องเติบโตด้วยตนเอง บุคคลที่อยู่ร่วมสมัยกับ May และนักอัตถิภาวนิยมที่มี่ชื่อเสียงในอเมริกา คือ Irvin Yalom ส่วนในอังกฤษได้มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญโดย
Emmy van Deurzen.
อัตถิภาวนิยมให้ความสำคัญกับความเข้าใจในทัศนะและมุมมองของตัวบุคคลที่มีต่อโลก มันเป็นแนวคิดทางปรากฎการณ์วิทยา
การบำบัดเป็นการเริ่มต้นการเดินทางของผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับบริการ เข้าสู่โลกที่ถูกรับรู้และประสบโดยผู้รับบริการ ขณะเดียวกันผู้ให้คำปรึกษาก็สัมผัสกับโลกแห่งปรากฏการณ์ของตนเอง
และเป็นหน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาที่ต้องรับเอาประสบการณ์ของผู้รับบริการมาสู่ตนเองด้วยความเต็มใจ
เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่เท่าเทียมกัน (van Deurzen,
2002b) ตัวอย่างเช่น Bugental
(1987) ได้เขียนเกี่ยวกับการบำบัดทางจิตวิทยาเพื่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิตไว้ว่า
เป็นความพยายามที่จะช่วยให้ผู้รับบริการสำรวจคำตอบของตนเองที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตในปัจจุบัน แล้วย้อนกลับมาทบทวนคำตอบของตนเอง
เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริง
ผู้ให้คำปรึกษาแบบอัตถิภาวนิยมจะยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ก่อกวนชีวิตของผู้รับบริการมากที่สุดและลึกที่สุด Yalom และ
Josselson (2011) อธิบายว่าการบำบัดทางจิตวิทยาแบบอัตถิภาวนิยมเปรียบเหมือน
“ท่าทีที่มีต่อความทุกข์ยากของมนุษย์ซึ่งไม่มีคู่มือแนะนำ
ผู้ให้คำปรึกษาจะถามอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ และธรรมชาติของความกังวล
ความสิ้นหวัง ความโศกเศร้า ความเปล่าเปลี่ยว ความโดดเดี่ยว และภาวะผิดปกติของบุคคล นอกนั้นยังถามเกี่ยวกับความหมาย
ความคิดสร้างสรรค์ และความรัก” (p.310)
มนุษย์ไม่ได้เจ็บป่วยเฉพาะทางด้านร่างกายเท่านั้น
แต่ยังเจ็บป่วยทางด้านจิตใจด้วย เพราะต้องดิ้นรนในการเจริญเติบโตซึ่งบางครั้งนำมาซึ่งความงุ่มง่ามเงอะงะในชีวิต ดังนั้นเขาจึงต้องการคำแนะนำปรึกษา
และแนวบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมก็ท้าทายให้พวกเขาหยุดหลอกลวงตัวเองที่คิดว่าตนมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา
และความต้องการที่เกินปริมาณของพวกเขา (van Deurzen, 2002b)
May
(1981) มองว่าจุดมุ่งหมายของการบำบัดแบบอัตถิภาวนิยม
คือการทำให้ผู้รับบริการเป็นอิสระที่จะจัดการกับชีวิตของตนเองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
โดยมีสติอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองเกิดมาบนโลกที่พวกเขาไม่ได้สร้างขึ้นมา และทีละเล็กทีละน้อยพวกเขาจะเกิดการเรียนรู้และยอมรับว่าชีวิตมันซับซ้อน
มีทั้งสุขและทุกข์ ชั่วและดีปะปนกันไป
กระบวนการจะทำให้ผู้รับบริการเผชิญหน้ากับปัญหา ความยากลำบาก วิกฤตชีวิต
และความผิดหวังที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต แล้วนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจถึงความจริงว่าตนเองไม่ได้ถูกพันธนาการเพราะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เลือกไม่ได้
แต่ตนเองมีพลังที่จะทำให้ความรับผิดชอบดังกล่าวสำเร็จไปด้วยอิสรภาพของตนเอง
(van Deurzen, 1990a, 2002a)
จุดประสงค์ของการให้คำปรึกกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยม
(The purpose of an existential group)
การทำกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยมเป็นการนำเสนอโลกส่วนตัวเล็กๆของแต่ละคน
และหลายต่อหลายครั้งปัญหาที่ดำรงอยู่ระหว่างบุคคลกลับเด่นชัดขึ้นมาผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกกลุ่มในลักษณะ
here-and-now
(Yalom & Josselson, 2011)
สมาชิกกลุ่มทำข้อตกลงร่วมกันที่จะทำการสำรวจตนเองโดยมีเป้าหมาย คือ
1).ทำให้สมาชิกจริงใจกับตัวเอง 2).ขยายมุมมองเกี่ยวกับตนเองและโลกข้างตัว 3).ค้นหาสิ่งที่ให้ความหมายชีวิต ณ ปัจจุบัน
และในอนาคต 4).เชื่อมโยงวิกฤตในอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต 5).มีความเข้าใจที่ดีขึ้นกับตนเองและกับคนอื่น
และเรียนรู้วิธีการที่ดีกว่าในการสื่อสารกับผู้อื่น (van Deurzen, 2002b)
การมีทัศนคติที่เปิดกว้างในเรื่องของชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น
เทียบได้กับการสำรวจแผ่นดินที่ยังไม่มีใครรู้จัก
Van Deurzen (2010) อธิบายความคิดนี้ได้เป็นอย่างดีว่า
เหมือนกับการแล่นเรือออกสำรวจดินแดนใหม่ๆในตัวเอง ไม่ต้องกลัวที่จะพบกับข้อจำกัด ความอ่อนแอ
ความลังเลสงสัยของตนเอง
ตรงข้ามต้องมีท่าทีของใจที่เปิดกว้างและประหลาดใจในสิ่งที่ลึกลับที่เกิดขึ้นกับตนเองทุกๆวัน
แม้กระทั่งเรื่องความโศกเศร้า ความตายก็เป็นเรื่องอนิจจังของชีวิต (p.5)
กระบวนการบำบัดจะกระตุ้นให้สมาชิกเริ่มฟังเสียงของตนเอง
และให้ความสนใจกับประสบการณ์ส่วนตัวของตนเองด้วย
กลุ่มสามารถช่วยให้สมาชิกเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์ด้วยกระบวนการค้นหาตนเอง
และความตระหนักรู้
สมาชิกรับรู้ถึงการแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน เกิดการพัฒนาวุฒิภาวะ
จนกระทั่งว่ากลุ่มกลับเป็นสถานที่ที่พวกเขาสามารถหาความหมายให้แก่ชีวิตได้
ความคิดที่สำคัญ (Key concepts)
ความคิดที่สำคัญของแนวคิดอัตถิภาวนิยม
ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตนเอง (self-awareness) การกำกับและรับผิดชอบตนเอง (self-determination
and responsibility) ความกังวล
(anxiety) ความตายและความไร้ตัวตน
(death and nonbeing) การค้นหาความหมาย (the search for meaning) การค้นหาความเป็นตัวตนที่แท้จริง
(the search for authenticity) ความโดดเดี่ยวและสัมพันธภาพ (aloneness and relatedness) ผู้นำกลุ่มใช้ความคิดที่สำคัญเหล่านี้สร้างมุมมองและความเข้าใจในตัวสมาชิก
โดยเฉพาะโลกส่วนตัวของพวกเขา แม้จะมีการดึงเทคนิคจากรูปแบบหรือแนวคิดอื่นๆมาใช้ด้วยก็ตาม
ความตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness)
สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ
คือ การที่เรามีความสามารถที่จะตระหนักรู้ในตนเอง
และผลที่ตามมาคือเรามีอิสระที่จะเลือก
ยิ่งตระหนักรู้มากเท่าใด ก็ยิ่งจะมีอิสระมากเท่านั้น Schneider (2008) อธิบายว่า มนุษย์มีอิสระ (น้ำใจ, สร้างสรรค์, แสดงออก) และถูกจำกัดด้วยสภาพแวดล้อมและข้อบังคับของสังคม
เลือกเกิดไม่ได้
แต่กระนั้นเราก็ยังมีอิสระที่จะเลือก
หากเรามีความตระหนักรู้ในข้อจำกัดนั้นๆ เช่น การที่เราตกเป็นเหยื่อ หากเรารู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเหยื่ออยู่
เราก็สามารถรับมือกับมันได้โดยเลือกหนทางด้วยใจอิสระของเราเอง
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
เพื่อทำให้สมาชิกมีศักยภาพที่จะเลือก
โดยเฉพาะในเรื่องราวและเหตุการณ์ของตนเอง
ตัวอย่างคำถามเช่น
“ฉันตระหนักแค่ไหนว่าฉันเป็นใคร และกำลังจะไปไหน?” “โลกภายในตัวฉันเป็นอย่างไร?” “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉัน
มีความหมายอย่างไร?”
“ทำอย่างไรที่ฉันจะเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเอง?”
“มีวิธีการใดบ้างที่เป็นรูปธรรมที่จะทำให้ฉันคิดหาทางเลือกได้อย่างหลากหลาย?”
ในกลุ่ม
สมาชิกทุกคนมีโอกาสและสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของตนเอง ขณะเดียวกันก็จะรู้สึกกังวลที่ต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม
โดยเฉพาะคนที่ไม่คุ้นเคย
แต่ผู้นำกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยมกลับมองตัวความวิตกกังวลนี้ในแง่บวก
ว่าเป็นพลังที่จะกระตุ้นให้แต่ละคนตระหนักในความเป็นเอกลักษณ์ของบุคคล (uniqueness) แทนที่จะเป็นไปตามที่คนอื่นคิดให้เราเป็น
ผู้นำกลุ่มต้องชี้แจงให้สมาชิกกลุ่มเห็นความสำคัญของการตระหนักรู้ในตนเอง ยิ่งตระหนักรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งยากมากขึ้นที่จะกลับไปสู่สภาพบอบช้ำเดิมๆ ชีวิตมนุษย์มีสองขั้ว คือบวกและลบ เช่น
ในขณะที่ดำเนินชีวิตไปวันๆอย่างไร้คุณภาพและจุดหมาย
ชีวิตก็อาจจะพบกับความพึงพอใจในระดับหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็มีความรู้สึกปลอดภัย
(คนไร้ที่อยู่ที่นอนตามสวนสาธารณะ
รู้สึกปลอดภัยมากกว่านักธุรกิจพันล้านที่ประสบความสำเร็จ
แต่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง)
หรือเช่นเดียวกันที่เราปิดประตู เราก็จะรู้สึกปลอดภัย แต่เมื่อต้องเปิดประตูออกไป เราก็พบว่าเราต้องดิ้นรนต่อสู้กับโลกภายนอก อย่างไรก็ตาม
เราต้องไม่ลืมว่าเรามีศักยภาพที่จะสร้างคุณภาพให้กับชีวิตของเรา ชีวิตมีทั้งบู้และบุ๋น มีทั้งสุขและทุกข์
มีทั้งความยินดีตื่นเต้นและน่ากลัวซึมเศร้า
เพราะฉะนั้น ก่อนเริ่มกลุ่ม สมาชิกควรได้รับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดเชิงปรัชญาของความตระหนักรู้
เราสามารถยกระดับของความตระหนักรู้ในตนเองให้สูงขึ้นได้ด้วยการตั้งคำถามในทำนองที่ต้องเลือกตัดสินใจ
เช่น
· เราสามารถที่จะเลือกปิดกั้นตัวเอง
หรือเปิดตัวเองเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้
· เราสามารถที่จะเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง
หรือยอมให้คนอื่น และสภาพแวดล้อมจูงจมูกของเรา
· เรามีอำนาจที่จะทำหรือไม่ทำ
· เราสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายกับผู้คน
หรือเลือกที่จะโดดเดี่ยวตนเอง
· เราสามารถที่จะค้นหาความเป็นตัวตนของเรา
หรือปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสโดยไม่มีอัตลักษณ์ของตนเอง
· เราสามารถที่จะสร้างสรรค์และค้นพบความหมายในชีวิตของเรา
หรือปล่อยให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างไร้ความหมายและว่างเปล่า
· เราสามารถเลือกที่จะเผชิญกับความเสี่ยง
ความท้าทาย และความกังวลที่เป็นผลสืบเนื่อง
หรือยอมที่จะขึ้นกับใครสักคนเพื่อความรู้สึกที่ปลอดภัย
· เราสามารถเลือกที่จะยอมรับว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และเกิดขึ้นกับทุกคน
หรือหนีจากความจริงในเรื่องนี้ เพราะกลัวกับความกังวลที่จะเกิดขึ้น
ตัวอย่าง (สมาชิกในกลุ่มทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆยกระดับของความตระหนักรู้)
สมศรีเข้ากลุ่มโดยไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอารมณ์
แต่จะใช้เหตุผลเป็นหลักในการแสดงตัวตนในกลุ่ม
เธอกลัวว่าหากแสดงอารมณ์ความรู้สึกของเธอออกมาให้กลุ่มรับรู้
เธอต้องเป็นบ้าแน่ๆ
ดังนั้นเธอจึงทำทุกวิถีทางที่จะเก็บอารมณ์และความรู้สึกของเธอไว้ เช่น
เมื่อสมาชิกคนอื่นเล่าถึงอดีตอันเจ็บปวดของตนให้กับกลุ่มฟัง สมศรีจะเกิดความสับสนวุ่นวายใจ
และพยายามออกจากห้องประชุม
บ่อยครั้งที่เธอพยายามลดระดับการแสดงออกทางอารมณ์ของสมาชิก
แต่มีครั้งหนึ่งที่สมาชิกได้เล่าถึงเหตุการณ์บางอย่างซึ่งแทงใจดำของเธอในวัยเด็กที่พยายามอ้อนวอนพ่อแม่ของเธอให้อยู่ด้วยกันต่อไปหลังจากการหย่าร้าง ขณะนั้นเธอหลุดจากการควบคุมและรู้สึกกับเรื่องที่ฟังมากๆ
ประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้สมศรีเริ่มตระหนักรู้ว่าการเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกของเธอมันเจ็บปวดสิ้นดี
และส่งผลให้เธอยากที่จะสนิทใจกับผู้คน แสดงความโกรธ ความโมโห แสดงความรักต่อครอบครัวของเธอออกมาในขณะนี้ สมศรีได้เรียนรู้ว่าการที่คนเราปล่อยให้ตนเองได้สัมผัสกับส่วนลึกของความรู้สึกนั้น
ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรเลย
จากประสบการณ์ครั้งนี้ สมศรีเลือกที่จะเปิดตัวเองในเรื่องความรู้สึก และไม่ลุกหนีจากห้องเมื่อเธอรู้สึกกลัวต่ออารมณ์ที่รุนแรงของสมาชิก
การกำกับตนเอง
อิสรภาพ ความรับผิดชอบส่วนบุคคล
(Self-determination,
Freedom, Personal responsibility)
หัวข้อหลักอีกข้อหนึ่งของแนวคิดอัตถิภาวนิยม
คือการกำกับตนเอง การมีอิสระที่จะเลือก
และความรับผิดชอบในการนำพาชีวิตในสู่จุดหมาย
Satre
(1971) กล่าวว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเกิดมาแล้วจึงต้องเลือกไปตลอดชีวิตในสิ่งที่เราอยากจะเป็น
“มนุษย์ถูกสาบให้ต้องรับแบกภาระของโลกที่เขาอาศัยอยู่ด้วยความรับผิดชอบ
แต่มนุษย์ก็ยังมีอิสระ”
มนุษย์มีอิสระไม่ใช่ในสิ่งที่เขาเป็น แต่ในสิ่งที่เขาทำอยู่ และสิ่งที่เขาทำอยู่ก็ไม่ใช่เป็นผลของอดีต
(อิสระอยู่ในการกระทำที่เป็นปัจจุบัน) Schneider
และ Krug (2010)
ให้คุณค่าและความสำคัญของการบำบัดในแนวอัตถิภาวนิยมไว้ 3 ประการ คือ
1)อิสระที่จะเป็นตัวของตนเองภายใต้กฎธรรมชาติและข้อจำกัดของตนเอง 2)ความสามารถที่จะสะท้อนความหมายในสิ่งที่เราได้เลือก
3)ความสามารถที่จะทำให้สิ่งที่ได้เลือกไว้สำเร็จไป
Viktor
Frankl
นักบำบัดแนวอัตถิภาวนิยมได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิสรภาพกับความรับผิดชอบ
โดยย้ำว่า ไม่มีใครที่สามารถพรากอิสรภาพที่แท้จริงไปจากตัวคนเราได้ Frankl (1963) ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของเขาในค่ายกักกันเยอรมันว่า
แม้ว่านักโทษจะถูกจำกัดสิทธิ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอิสรภาพภายนอก
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกถึงอิสรภาพภายในที่เป็นตัวตนของเขาเอง
เป็นเพราะทัศนคติที่พวกเขามีต่อความทุกข์ที่พวกเขาได้เลือกและพร้อมที่จะรับ ชีวิตคือความรับผิดชอบที่มีต่อปัญหา
ค้นหาคำตอบที่เหมาะสมให้กับปัญหา และแก้ปัญหาไปตามแนวทางที่ได้เลือกไว้
ซึ่งแนวทางก็แตกต่างกันไปขึ้นกับแต่ละบุคคล
Frankl
เชื่อว่าอิสรภาพของมนุษย์ไม่ได้มาจากสภาพที่เป็นอยู่
แต่เป็นความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นๆได้
Logotherapy (logos = meaning) ของ Frankl อธิบายว่า
ความหมายของชีวิตไม่สามารถถูกกำหนดขีดเขียนขึ้นมาได้
แต่สามารถค้นพบได้ในชีวิตที่เราเป็นอยู่
มนุษย์มีอิสรภาพที่จะค้นหาความหมายของชีวิตโดยผ่านทางความคิดและการกระทำ ด้วยการค้นหาความหมายของชีวิตจะทำให้เรามีสติกับชีวิตที่เป็นอยู่
แม้จะต้องเผชิญกับความทุกข์ การถูกตำหนิว่าผิด
หรือความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มนุษย์มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วยใจอิสระ ความรับผิดชอบนี้แสดงออกด้วยการเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน
แทนที่จะรอให้ผู้อื่นหรือสภาพแวดล้อมเปลี่ยน
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
อันดับแรก
สมาชิกต้องยอมรับว่าในชีวิตที่ดำรงอยู่
ทุกคนมีอิสรภาพและความรับผิดชอบ
การยอมรับอิสรภาพและความรับผิดชอบนี้เองก่อให้เกิดความกังวล
และความเสี่ยงในการเลือก
ดังนั้นเป้าหมายของกลุ่มคือช่วยสมาชิกให้สามารถจัดการกับความกังวลเหล่านี้
ผู้นำกลุ่มต้องช่วยให้สมาชิกแต่ละคนเข้าใจถึงอิสรภาพที่ตนมีอยู่ บางครั้งสมาชิกพูดอย่างหมดหวังและหมดทางสู้
เพราะตนเองตกเป็นเหยื่อ และจะตำหนิผู้คนรอบข้างและสภาพแวดล้อมที่เป็นต้นเหตุให้ตนเองขาดความสุข วิธีการที่จะช่วยพวกเขาเหล่านี้
คือกระตุ้นให้ตัวเขาเกิดการกำกับตนเอง
ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งจะเกิดความความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ที่เขาเลือกที่จะทำ
ต่อเมื่อคนเราถึงจุดที่เชื่อว่าตนเองสามารถเลือกที่จะทำ
เขาก็สามารถจะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางที่เขาตั้งไว้ และนั่นคือเขาสามารถกำกับและควบคุมชีวิตของเขาได้
Yalom
และ Josselson (2011) ได้อธิบายว่า
กลุ่มช่วยให้สมาชิกเกิดความรับผิดชอบอย่างน้อยก็ในเรื่องที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกคนอื่น ซึ่งทำให้เขาต้องทำตัวเหมือนในชีวิตจริง ด้วยการสะท้อนความคิดเห็นแก่กันและกัน
สมาชิกกลุ่มเกิดการเรียนรู้จักตนเอง
และเรียนรู้ว่าพฤติกรรมของตนส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร ด้วยกระบวนการค้นพบนี้เอง
สมาชิกสามารถสร้างความรับผิดชอบที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองในวิถีชีวิตประจำวัน “กลุ่มไม่เพียงแต่ช่วยให้สมาชิกเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เขากลับไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากในอดีตอย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือกลไกของการบำบัดในแนวอัตถิภาวนิยม” (p.334)
ผู้นำกลุ่มมีหน้าที่กระตุ้นและให้กำลังใจแก่สมาชิก
ให้เกิดความรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อหน้าที่ของตนเองในกลุ่ม
และนำการเปลี่ยนแปลงที่ได้จากกลุ่มไปสู่ในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่าง
สมชายเข้าร่วมกลุ่มอย่างเสียไม่ได้ ที่ใช้คำว่า “อย่างเสียไม่ได้”
เพราะสมชายให้คุณค่าที่ผิดๆต่อการเข้าร่วมกลุ่ม
ด้วยอายุ 62 ปี สมชายเข้ากลุ่มด้วยท่าทีเย็นชา รู้และคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่สบายๆและปลอดภัยในชีวิตดังเช่นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเข้ากลุ่ม สมชายแนะนำตัวด้วยประโยคที่ว่า
“ผมไม่ทราบว่ากลุ่มจะสามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับตัวผมได้บ้าง ด้วยความจริงใจผมคิดว่าผมแก่เกินกว่าที่จะเปลี่ยนแปลง
และสิ่งที่ผมทีขณะนี้ ผมถือว่าโอเคแล้ว ผมเชื่อว่าสิ่งต่างๆที่เป็นอยู่ขณะนี้ก็ดีอยู่แล้ว” แม้ว่าจากคำพูดที่ดูสวยหรู
และจากชีวิตของเขาที่มีพร้อมทุกอย่าง
เขารู้สึกถึงความเหี่ยวแห้งในชีวิตที่ขาดความสนุกสนานไป
เขาต้องการการเปลี่ยนแปลงแม้ว่าตัวเขาเองยังไม่มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่
จากการเข้ากลุ่ม
สมชายเริ่มเห็นว่าตัวเขามีทางเลือกที่เป็นไปได้มากกว่าที่เขาคิดไว้แต่ก่อน เขาตำหนิภรรยา บุตร 3 คน และธิดา 1 คน
ที่ทำให้เขาไม่สามารถเปลี่ยนงานและมีชีวิตแบบที่เขาต้องการ เขาไม่พยายามที่จะรับผิดชอบต่อปัญหาของเขา
แต่กลับไปให้ความสนใจกับความคาดหวังของคนในครอบครัว
ซึ่งจะเป็นจริงอย่างที่เขาคิดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
สมาชิกคนอื่นๆรวมทั้งผู้นำกลุ่มเริ่มท้าทายสมชายให้คิดทำอะไรบางอย่างสำหรับตัวเองที่มันแตกต่างไปจากเดิม ผู้นำกลุ่มตั้งคำถามว่า
“ถ้าคุณใช้เวลาที่เหลือในชีวิตของคุณแบบเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะรู้สึกอย่างไร?”
“สมมติว่าครอบครัวของคุณต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ความเป็นอยู่ตามที่คุณปรารถนา
ชีวิตของคุณจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร ภายใน 1 ปี และภายใน 5 ปี?” “คุณจะเริ่มต้นอย่างไร
ที่จะช่วยตัวเองให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ตัวคุณเองปรารถนา?”
ความรู้สึกปลอดภัยของกลุ่มจะช่วยให้สมาชิกแบบสมชายค้นหาความหมายของวิกฤตชีวิตในอดีต
ที่อาจจะถูกลืมไปว่ามันยังสามารถพลิกกลับมาเปลี่ยนแปลงได้
ผู้นำกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยมสามารถช่วยกรณีตัวอย่างของสมชายให้เผชิญหน้ากับความจริงของชีวิตที่นับวันจะโรยราไปเรื่อยๆ
ให้ก้าวออกจากการหลอกตัวเอง
สู่หนทางที่แตกต่างไปจากเดิมที่เขาสามารถตัดสินใจเลือกที่จะเป็นผู้ชนะ
ความกังวลที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (Existential
anxiety)
นักบำบัดแนวอัตถิภาวนิยมมองความกังวลเป็นพลังที่ผลักดันให้บุคคลดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง ความกังวลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มันมาพร้อมกับความจริงที่ดำรงอยู่ในโลก ได้แก่ ความตาย อิสรภาพ ความโดดเดี่ยว
และการไร้คุณค่าไร้ความหมาย (Vontress, 2008; Yalom, 1980)
เราสัมผัสกับความกังวลได้เมื่อเราตระหนักรู้ในความบาดเจ็บของชีวิต
และความตายที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน (van Deurzen, 2002a)
ในมุมมองของนักอัตถิภาวนิยม
ความกังวลเป็นการเชื้อเชิญไปสู่อิสรภาพ ไม่ใช่โรคที่ต้องกำจัดหรือรักษา
ความกังวลเป็นผลมาจากการที่บุคคลหนึ่งต้องตัดสินใจเลือกโดยไม่มีข้อมูลชี้นำ
และไม่ทราบว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้เลือก
และผลลัพธ์ที่ตามมา Soren
Kierkegaard (1813-1855) นักปรัชญาชาวเดนมาร์ก
นิยามความกังวลที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่าเป็น
“ความปวดเศียรเวียนเกล้าในความมีอิสรภาพ”
ในการทำกลุ่ม สมาชิกจะเกิดความวิตกกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความกังวลนี้เกิดจากการที่สมาชิกแต่ละคนต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและยอมรับสมาชิกคนอื่นๆที่ไม่รู้จักมักคุ้น
ซึ่งนำไปสู่การปรับความรู้สึก ความปลอดภัยในตัวบุคคล
ในความเห็นของ
van
Deurzen (2002)
ความกังวลเป็นพื้นฐานที่กระตุ้นให้ชีวิตเกิดความตระหนักรู้อย่างเต็มที่
และเกิดความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความตายและความไม่แน่นอนของโลกนี้ หลายคนพยายามหนีจากความกังวล
โดยไม่ใส่ใจในความท้าทายของชีวิต
บางคนพยายามหลอกตัวเองว่าไม่มีความคับข้องใจ ไม่รู้สึกกังวลอะไร แต่ภายใต้ผิวน้ำที่ราบเรียบ
ก็มีคลื่นใต้น้ำที่กระเพื่อมอยู่ และเป็นพลังที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
ในความเป็นปุถุชนมนุษย์
ก่อนเข้ากลุ่มสมาชิกจะเกิดความกังวล เพราะต้องยอมรับการแยกจากและการที่ต้องอยู่กับผู้อื่น การรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง
ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวและไร้ความหมาย
ภาระที่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้เลือก ความกลัวตาย เมื่อกลุ่มเริ่มดำเนินไป
สมาชิกจะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่า ความพยายามที่ได้ลงทุนลงแรงไปเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตนเองในอุดมคติซึ่งเป็นไปไม่ได้ ความกังวลจะเกิดขึ้นกับสมาชิกเป็นครั้งที่สอง
เพราะต้องรื้อเอาชีวิตเก่าที่ตนเองคุ้นเคยออกไป
เพื่อที่จะสามารถใส่คุณภาพให้กับชีวิต
สมาชิกจะถูกทำให้คุ้นเคยกับความจริงที่ว่า
: ความตายไม่สามารถทำอะไรกับชีวิตของเราได้ ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งเสมอไป มนุษย์มีอิสรภาพเสมอ
เรามีความรับผิดชอบต่อโลกที่เราไม่ได้เลือก
เรามีความสามารถที่จะเลือกและรับผลลัพธ์ของการเลือกนั้นๆ และตัวเลือกเหล่านี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเมื่ออยู่ต่อหน้าความไม่แน่นอนและข้อสงสัย ดังนั้น ความกังวลจะเกิดขึ้นกับสมาชิก เมื่อเขายอมรับข้อความจริงในเรื่องความไม่จีรังของชีวิตจากการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และรับรู้ในความอ่อนแอของตนเอง Van Deurzen (1991, 2010) กล่าวว่า เป้าหมายของการบำบัดแบบอัตถิภาวนิยม ไม่ใช่อยู่ที่การทำให้ชีวิตเรียบง่ายและรู้สึกปลอดภัยภายใต้เกราะป้องกัน
แต่เป็นการให้กำลังใจกับสมาชิกให้เกิดการรับรู้
และจัดการกับความกังวลและความไม่ปลอดภัย กระตุ้นให้ชีวิตเป็นการผจญภัย
กล้าที่จะเผชิญกับอุปสรรคเพื่อนำชีวิตไปสู่ถึงแก่นของความจริง แทนการตอบคำถามแบบง่ายๆเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคนั้นๆ
เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้นำกลุ่มต้องรับรู้ถึงความกังวลที่เกิดขึ้นในกลุ่ม
และแนะนำสมาชิกให้สำรวจความกังวลนี้อย่างเป็นระบบ
การกำจัดความกังวลออกไปมีแต่จะทำให้แหล่งพลังของชีวิตหายไป
ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของนักอัตถิภาวนิยม
ตรงข้ามผู้นำกลุ่มต้องใช้ตัวความกังวลนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด กระตุ้นสมาชิกให้เกิดความกล้าหาญที่จะจัดการกับความกังวลของตนเองเพื่อให้ชีวิตเกิดความสมดุล
(van
Deurzen, 2002a, 2002b)
ครั้นเมื่อสมาชิกรับรู้ถึงความกังวล และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน ขั้นต่อไปคือการลงมือกระทำ ด้วยความช่วยเหลือของผู้นำกลุ่มและสมาชิกที่เหลือ
สมาชิกแต่ละคนจะถูกกระตุ้นให้สำรวจเข้าไปถึงมิติของชีวิตที่ไม่เคยเข้าถึง
การสำรวจนี้จะทำให้เกิดความกังวลมากกว่าที่เคยมีในขณะนั้น ถ้าสมาชิกอยู่ในกระบวนการของการเติบโต
เขาก็จะรู้ว่าความกังวลใดๆไม่สามารถทำลายชีวิตของเขาได้ และความกังวลนี้มีคุณค่าที่จะซื้อเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างอิสระ
ตัวอย่าง
วัลลีเป็นหญิงสาวที่ไม่กล้าตัดสินใจ เธอปล่อยให้คนอื่นตัดสินใจแทนเธอทุกอย่าง
เธอรับเอาคุณค่าทางศาสนาจากพ่อแม่อย่างไม่มีเงื่อนไข
และปล่อยให้ทางโบสถ์ชี้นำชีวิตของเธอ ณ
วันนี้เธอเริ่มดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากกรอบค่านิยมที่หล่อหลอมเธอมา จากการเข้ากลุ่ม
เธอเริ่มเห็นชัดเจนว่าถ้าเธอต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง
เธอต้องกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เธอได้เลือก
วัลลีเริ่มสำรวจตัวเองถึงพลังและทิศทางที่จะเดินต่อไป บางครั้งเธอเริ่มไว้ใจในตัวเองและไม่สนใจกับการพึ่งพาอำนาจภายนอก
ซึ่งแต่ก่อนมันเป็นที่เธอหาคำตอบให้กับตัวเองและทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย การตัดสินใจด้วยตนเอง
ทำให้เธอเต็มไปด้วยความกังวลใจและสงสัยในตัวเอง
ค่านิยมบางอย่างในตัวเธอเปลี่ยนไป
และเธอก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นค่านิยมของเธอเอง
หน้าที่ของกลุ่ม
คือการแนะนำให้วัลลีทำอย่างไรเพื่อที่จะเข้าใจความรู้สึกที่ผุดขึ้นมา
ยามเมื่อเธอตระหนักรู้ว่าเธอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เธอได้เลือกที่จะเป็น เมื่อเธอไม่ต้องการที่จะเป็นวัลลีคนเดิม
เธอจึงเริ่มหาประสบการณ์ที่ท้าทาย ที่ไม่มีโครงสร้างแบบเดิมๆที่เธอคุ้นเคยอยู่ภายใต้มัน
ความตาย
และ การไม่มีความเป็นอยู่ (Death
and nonbeing)
นักอัตถิภาวนิยมมองว่า
ความตายเป็นตัวจุดประกายให้เกิดการค้นหาความหมายและจุดประสงค์ของชีวิต
ทำให้มนุษย์ค้นหาสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
ชีวิตมีเวลาจำกัด ฉะนั้นมนุษย์จึงต้องเร่งรีบทำบางสิ่งบางอย่างให้กับชีวิต เขาต้องเลือกที่จะทำอะไรที่แตกต่างออกไป
หรือเลือกที่จะอยู่เหมือนเดิม Frankl
(1963) เชื่อว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่มนุษย์จะมีอายุยืนยาวนานเพียงใด
แต่มนุษย์จะอยู่อย่างไรเพื่อให้ชีวิตมีคุณค่าและความหมาย
เมื่อมนุษย์ยอมรับควมจริงในเรื่องความไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต
เขาก็จะเข้าใจชัดเจนขึ้นในการกระทำต่างๆ
ในการเลือก และรับผิดชอบที่สิ่งที่ได้เลือกที่จะเดินบนหนทางนั้นๆ (Corey
& Corey, 2010)
เพราะมนุษย์เป็นสิ่งสร้างหนึ่งเดียวที่สามารถมองไกลถึงอนาคต
มนุษย์จึงต้องการที่จะจัดการกับจุดสุดท้ายของชีวิต ซึ่ง Heidegger
(1962) เรียกว่า “จุดจบของความเป็นไปได้” (cessation of possibility)
เพราะมนุษย์กลัวที่จะเผชิญความจริงเกี่ยวกับความตายและความกังวลที่จะเกิดขึ้นตามมา
มนุษย์จึงพยายามหนีจากความตระหนักรู้ในเรื่องนี้
ผลที่ตามมาคือความเกลียดชังตนเอง Vontress
(1966) เสนอว่า
ผู้ให้คำปรึกษาควรทำความเข้าใจร่วมกับผู้รับบริการว่าทั้งสองคนเป็นผู้ร่วมเดินทางบนเส้นทางเดียวกัน
และมีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือความตาย (ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี
หนีไม่พ้น) Vontress ยังย้ำอีกว่า
ในขณะที่โลกกำลังหาหนทางที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์มีอายุยืนยาวเพื่อสร้างคุณค่าให้กับโลก ความตายกลับเป็นตัวจุดประกายที่ก่อให้เกิดความหมายแก่ชีวิต
การตระหนักรู้ถึงความตายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการตื่นตัวในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของชีวิต การที่บุคคลหนึ่งคิดถึงเรื่องความตาย
บุคคลนั้นจะเกิดการก้าวข้ามในชีวิตของเขา (Yalom &
Josselson, 2011)
หากเรายอมรับความจริงในเรื่องความตาย
เราก็จะสามารถเปลี่ยนความกลัวตายเป็นพลังบวก
ที่จะทำให้เราเจริญชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีสติและกล้าหาญ (Vontress, 2008)
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
การทำกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยมต้องใช้ความตระหนักรู้ในเรื่องความตาย ความกังวลที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากความตระหนักรู้นี้
ทำให้สมาชิกเกิดความสำนึกถึงการเจริญชีวิต
ด้วยการตั้งคำถามให้สมาชิกได้คิด เช่น
“รู้สึกอย่างไรกับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน?”
หรือ “และหากรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย จะดำเนินชีวิตอย่างไร?” คำตอบที่ได้จากคำถามทั้งสองข้อแตกต่างกันอย่างไร? พวกเขาทิ้งโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่? พวกเขาได้ตัดสินใจเลือกอย่างไร?
โดยการสะท้อนให้เห็นถึงภาระกิจที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ของชีวิต (unfinished
business) สมาชิกอาจจะมาถึงจุดที่รับรู้ว่าพวกเขากำลังดำเนินชีวิตไม่ใช่ในรูปแบบที่พวกเขาต้องการ
และสามารถที่จะระบุถึงเหตุผลของการดำเนินชีวิตที่ไม่พึงปรารถนาดังกล่าว
บางครั้งความฝันที่เกี่ยวกับความตายของบุคคลอาจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงบั้นปลายชีวิต
ความสนใจในบางสิ่งบางอย่าง การงาน
หรือสัมพันธภาพ
นอกเหนือจากความตายด้านกายภาพ
ยังมีความตายในด้านอื่นๆ เช่น ตายด้านในเรื่องความรู้สึก เกิดความเย็นชา เฉยเมย
เบื่อหน่าย หรือตายด้านในเรื่องสัมพันธภาพกับบุคคลใกล้ชิดโดยเกิดขึ้นทุกวันหรือในบางครั้งจนลืมความหมายของการกระทำ
ความคิดเรื่องความตายในด้านอื่นๆสามารถนำมาให้สมาชิกได้ขบคิดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
เช่น สงครามในซีเรีย
เหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น
หรือแผ่นดินไหวที่เฮติ เป็นต้น
กระบวนการเปลี่ยนแปลง
คือ การทำให้บางส่วนในชีวิตของเราตายเสียก่อน
เพื่อจะให้เกิดที่ว่างสำหรับการเติบโตขึ้นมาใหม่
การทิ้งรูปแบบเดิมๆของชีวิตก็คือการตายต่อตัวเอง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันนำไปสู่การเติบโตของชีวิต เมล็ดข้าวต้องเน่าเปื่อยเสียก่อน
ต้นข้าวใหม่ถึงจะงอกเติบโตได้
คนเราต้องมีประสบการณ์ผ่านห้วงเวลาของความเศร้าโศกเนื่องจากการสูญเสีย จากนั้นจึงสามารถเดินหน้า
และสร้างรูปแบบแผนใหม่ในการดำเนินชีวิต
กลุ่มเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับให้สมาชิกได้ระบายความเศร้าโศก
สำรวจถึงความลังเลใจซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
และทดลองวิธีใหม่ๆในการดำเนินชีวิต
ตัวอย่าง
นักปรัชญากรีกโบราณสาย Stoicism กล่าวว่า “จงคิดถึงความตาย ถ้าท่านอยากจะเรียนรู้การมีชีวิตอยู่” เราสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ของบุคคลที่กำลังใกล้ความตาย
บุคคลเหล่านี้จะเห็นคุณค่าใหม่ๆรอบตัวเป็นของขวัญสำหรับชีวิต
และจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ามากที่สุดในเวลาอันจำกัดที่เหลืออยู่ Kinnier, Tribbensee, Rose และ Vaughan (2001) ได้สัมภาษณ์บุคคลที่ผ่านมรสุมชีวิต
และพบข้อสรุปที่คล้ายคลึงกันดังนี้
สนใจในวัตถุนิยมน้อยลง แต่กลับให้ความสนใจในด้านจิตวิญญาณมากขึ้น, เป็นห่วงเป็นใยและรับใช้ผู้อื่นมากขึ้น Kinnier
และคณะยังพบว่าผู้ที่มีประสบการณ์เฉียดตายจะมองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องธรรมดา
และเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
และจะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของมนุษย์ชาติ
แนวคิดนี้สามารถนำมาใช้ได้กับการทำกลุ่ม
รวมทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่มีประสบการณ์มรสุมชีวิต
สมาชิกถูกท้าทายให้คิดทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน และถ้ายังไม่พึงพอใจพวกเขาสามารถเลือกหนทางใหม่ๆได้ และยิ่งถ้าพวกเขายอมรับความจริงในเรื่องเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดของชีวิตที่จะบรรลุเป้าหมาย
พวกเขาก็อาจจะค้นพบความสดชื่นในการดำเนินชีวิต
Irvin
Yalom (1980)
พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งในกลุ่มบำบัดสามารถที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต หลังจากที่พบว่าตนเองเป็นมะเร็ง
ท่าทีภายในที่มีต่อชีวิตก็เปลี่ยนไปดังนี้
· จัดลำดับความสำคัญของชีวิตใหม่
และเลี่ยงที่จะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่สำคัญ
· คิดถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
กล่าวคือ สามารถเลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ
· เพิ่มความสำนึกของการอยู่กับปัจจุบัน
และมองอนาคตให้น้อยลง
· ชื่นชมความจริงขั้นพื้นฐานของชีวิต สังเกตแง่มุมที่หลากหลายของธรรมชาติ
· พูดคุยสื่อสารอย่างลึกซึ้งกับบุคคลที่ตนรักมากกว่าแต่ก่อน
· มีความกลัวระหว่างบุคคลน้อยลง
เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยน้อยลง และพร้อมที่จะเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น (p.35)
สมาชิกไม่จำเป็นต้องรอให้ตนเองใกล้ถึงวาระสุดท้ายเพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตที่ตนเองปรารถนา
สมาชิกและผู้นำกลุ่มต่างสามารถที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และตัวอย่างของกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง
และกลุ่มอื่นๆที่กำลังสำรวจถึงการท้าทายของบั้นปลายชีวิต
มุมมองของนักอัตถิภาวนิยมที่มีต่อความตายในกระบวนการบำบัด
ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือต่างๆดังนี้
· “When
death enters the therapeutic space” โดย Barnett ให้มุมมองที่ลึกซึ้งและเป็นประโยชน์
· “The
Schopenhauer cure : a novel”
โดย Irvin Yalom
เป็นเรื่องของนักบำบัดกลุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายของตนเอง
และถูกบีบให้ต้องหันกลับมามองความหมายของชีวิตและการงาน
· “Starting
at the Sun : overcoming the terror of death” โดย Yalom
(2008)
ได้พัฒนาการเผชิญหน้ากับความตายให้กลับกลายเป็นการมีชีวิตอยู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
การค้นหาความหมาย (The search for
meaning)
การดิ้นรนเพื่อแสวงหาความสำคัญและจุดประสงค์ในชีวิต
เป็นคุณลักษณะที่แตกต่างกันไปของมนุษย์
มนุษย์สามารถที่จะคิด จินตนาการ ประดิษฐ์ สื่อสาร
และขยายโลกใบนี้ในทางกายภาพและทางจิตวิทยา (Zur, 2009) มนุษย์แสวงหาความหมายและอัตลักษณ์ของบุคคลโดยใช้คำถาม
“ฉันเป็นใคร?
ฉันอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?
ฉันกำลังไปไหนและทำไม?
ทำไมฉันจึงอยู่ที่นี่?
อะไรที่ให้ความหมายและจุดประสงค์แก่ชีวิตของฉัน?” สำหรับนักคิดสายอัตถิภาวนิยม
ชีวิตไม่มีความหมายด้านบวกในตัวมันเอง มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลที่จะสร้างความหมายขึ้นมา Vontress (1996) เชื่อว่า
ผู้คนทั่วโลกพยายามทำความเข้าใจกับชีวิต
ขณะที่เราดิ้นรนในโลกที่ไร้ความหมายและบัดซบ เรากลับท้าทายค่านิยม
ค้นพบข้อความจริงใหม่สำหรับตัวเอง
และพยายามประสานความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำ
การทำเช่นนี้ เรากำลังสร้างความหมายให้กับตัวเอง Vontress (2008)
ให้ข้อคิดว่า ความหมายในชีวิตเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่เราดิ้นรนไปตลอดชีวิต
“ความหมายของวันนี้ อาจจะใช้ไม่ได้กับวันข้างหน้า
สิ่งที่มีความหมายตลอดชีวิตของเรา
อาจจะไม่มีความหมายเลยเมื่อความตายบนเตียงนอนมาเยือนเรา” (p. 158)
Frankl
(1963) เป็นนักบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมที่เด่นในเรื่องของการค้นหาความหมาย สำหรับเขาแล้ว
มนุษย์เกิดมาเพื่อค้นหาความหมายให้กับชีวิต
ความหมายเป็นเครื่องชื้นำให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้า
ชีวิตที่ไร้ความหมายจะเกิดความเครียดและความกังวล
ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรคทางประสาท
ผู้คนส่วนใหญ่พึ่งการบำบัดเพราะรู้สึกว่างเปล่าในตัวเอง
รู้สึกไร้คุณค่าไร้ความหมายในชีวิต
เพราะฉะนั้น Frankl
เห็นว่าวิธีการบำบัดคือการช่วยให้ผู้รับบริการสร้างความหมายให้กับชีวิตของตนเอง
มีหลายวิธีในการสร้างความหมาย
อาจจะจากโดยการทำงาน ความรัก ความทุกข์ยาก หรือการช่วยเหลือผู้อื่น สำหรับ
Frankl แล้ว งานของนักบำบัดคือการให้กำลังใจแก่ผู้รับบริการ
ช่วยให้เขาพัฒนาความหมายสำหรับตัวเขาเอง
ไม่ใช่เป็นการบอกว่าชีวิตของเขาควรมีความหมายเป็นอย่างไร Frankl
เชื่อว่าแม้แต่ในความทุกข์ยาก คนเราก็สามารถเติบโตได้ และหากเขากล้าผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากนี้
เขาก็สามารถค้นพบความหมายในความทุกข์ยากดังกล่าว Frankl
ค้นพบข้อความจริงนี้จากประสบการณ์ของตนเองในค่ายแห่งความตาย
โดยกาเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ความหมดหวัง และความตาย
บวกกับความเข้าใจในความหมายของคำเหล่านี้
เราก็จะเปลี่ยนภาพลบของชีวิตไปสู่ชัยชนะ
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
กลุ่มบำบัดใช้กระบวนการค้นหาความหมายใน
2 รูปแบบ คือสำรวจถึงเรื่องใดๆก็ได้ที่สามารถนำมาสร้างความหมาย
และสำรวจค่านิยมที่มีความหมายตกยุคสมัยไปแล้ว
สมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่จะทิ้งค่านิยมเก่าโดยไม่แสวงหาค่านิมยมใหม่ๆเข้ามาแทนที่ บางคนดำเนินชีวิตไปตามระบบของค่านิยม
และไม่เคยคิดที่จะประเมินผลสิ่งที่เขาได้รับมา
บางคนสูญเสียอัตลักษณ์ของตนเองเพราะอยู่ใต้ปทัสถานทางสังคม
ในกระบวนการบำบัด
สิ่งที่ต้องทำคือ เผชิญหน้ากับสมาชิกกลุ่ม และทำให้พวกเขารับรู้ว่าพวกเขาดำเนินชีวิตภายใต้ค่านิยมที่ไม่เคยได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยจนตกยุคไร้ความหมายไป
เราอาจแก้ตัวได้ว่าค่านิยมที่ไม่มีความหมายตกมาถึงเราเอง
หรือเราเพียงแต่รับมันเข้ามา
แต่เราไม่สามารถจะปฏิเสธความรับผิดชอบการที่เราอยู่กับค่านิยมนั้นๆ และไม่พยายามหาค่านิยมใหม่ๆเข้ามา ตัวอย่างคำถามที่ใช้สำรวจสมาชิกกลุ่ม ได้แก่
· คุณชอบทิศทางของชีวิตที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไหม? ถ้าไม่ชอบ คุณจะทำอะไรกับชีวิตของคุณ?
· วิถีชีวิตแง่มุมใดที่คุณชื่นชอบมากที่สุด?
· อะไรที่เป็นอุปสรรคกั้นไม่ให้คุณสามารถทำในสิ่งที่คุณต้องการ?
ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่ม
สมาชิกแต่ละคนสามารถค้นหาพลังที่จะสร้างสรรค์
ระบบของค่านิยมภายในที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตน
ความกังวลมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ชั่วคราว
โดยเฉพาะในยามที่ขาดค่านิยมที่ชัดเจน
หน้าที่ของผู้นำกลุ่ม คือช่วยให้สมาชิกเรียนรู้ที่จะพัฒนาให้เกิดความไว้วางใจในตนเอง
ค้นพบค่านิยมของตนเอง และดำเนินชีวิตบนค่านิยมดังกล่าว
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยากและใช้เวลา และอาศัยความตั้งใจความเพียรพยามยาม
การทำกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยม
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีการสูญเสียในเรื่องต่างๆติดตัวมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจำ
ร่างกาย คนรัก สภาพแวดล้อม ความคุ้นเคยในการรับมือกับความยากลำบาก
สถานภาพทางสังคมและเครือข่าย หน้าที่การงาน ลักษณะของตนเอง
ซึ่งการสูญเสียในด้านต่างๆเหล่านี้ถูกจับมาใส่รวมกันอย่างกระจัดกระจายในมือของเรา
ทำให้ยากที่จะประคองรับไว้ (Bugental, 2008, p.334) ดังนั้นผู้นำกลุ่มจึงมีหน้าที่ช่วยให้สมาชิกผู้สูงอายุเหล่านี้เกิดมุมมองจากประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา
ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความหมาย และค้นหาความหมายใหม่ๆให้กับชีวิต
Elizabeth
Bugental (2008) ทำกลุ่มกับผู้สูงอายุ
ซึ่งเธอเปรียบเทียบเหมือนกับการว่ายน้ำพร้อมกันอย่างไร้ทิศทางในทะเลที่กว้างใหญ่ กลุ่มของเธอประกอบด้วยผู้สูงอายุ 65 – 90
ปีจำนวน 8 คน พบกัน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ รวม 8 ครั้ง การเข้ากลุ่มเป็นไปอย่างสบายๆในแนวอัตถิภาวนิยมด้วยหัวข้อที่เกี่ยวกับประสบการณ์
และการสูญเสียของผู้สูงอายุ
มีการใช้คำถามเพื่อให้สมาชิกกลุ่มได้สำรวจตนเอง เช่น
· ฉันมีอายุถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
· ฉันสามารถสร้างสรรค์การเป็นผู้สูงอายุในรูปแบบใหม่ได้อย่างไร?
· ณ
เวลานี้ ฉันเป็นใคร?
· ฉันสามารถติดต่อกับผู้อื่นได้อย่างไร?
· ทำอย่างไร
ฉันจึงสามารถเติมเต็มให้กับชีวิตของฉันด้วยความสวยงาม ความดี ความแปลกใหม่
และความจริง?
· ฉันมีความกล้าไหมที่จะค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆในสิ่งที่ฉันได้สูญเสียไป?
แม้ว่ากลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้จะไม่ใช่รูปแบบของกลุ่มบำบัด
แต่มันก็เป็นเชิงบำบัดอย่างมาก
สมาชิกกลุ่มได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเอง โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียในรูปแบบต่างๆ
สมาชิกถูกขอร้องให้พยายามวางตัวเองให้อยู่กับปัจจุบัน (here
and now) มากที่สุดเท่าที่ทำได้
พวกเขาแสดงออกถึงความรู้สึกของพวกเขา เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
และค้นพบความผูกพันร่วมกัน
สุดท้ายก็สามารถสรุปประเด็นหัวข้อของกลุ่มนี้ว่า “ทำอย่างไร
ที่จะเลือกเจริญชีวิตในบั้นปลายของอายุ?”
ตัวอย่าง
สมศรีถูกเลี้ยงดูด้วยค่านิยมแบบเก่าๆ
และเธอเองก็ไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
เธอรู้สึกถูกบังคับให้เป็นกุลสตรีตลอดเวลาในสายตาของพ่อแม่
เมื่อไรก็ตามที่สมศรีกำลังทำบางสิ่งที่เธอคิดว่าพ่อแม่ไม่อนุญาตให้ทำ
เธอดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงพ่อแม่คุยกัน และบอกให้เธอทำในสิ่งที่ควรทำ
ควรรู้สึก ในการเข้ากลุ่ม
สมศรีทำตัวเสมือนพ่อแม่ของเธอ สั่งสอนพวกเราแต่ละคนให้ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต
เมื่อถึงจุดหนึ่ง
ผู้นำกลุ่มขอให้เธอสวมบทบาทแบบที่พ่อแม่ของเธอต้องการให้เธอเป็น
โดยแกล้งวางตัวเป็นกุลสตรีในกลุ่ม
ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งของการเข้ากลุ่ม
หลังจากนั้น เธอรายงานว่ามันทำให้เธอรู้สึกป่วยทุกครั้งที่ต้องแสดงบทบาทดังกล่าว เธอตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะยากเพียงใด
แม้ว่าสมศรีจะยังคงให้ความเคารพในค่านิยมหลักที่เธอได้รับจากทางบ้าน
แต่เธอก็ต้องการอิสรภาพ และพร้อมที่จะขจัดส่วนอื่นๆออกไปแม้ว่าจะรู้สึกผิด
การเข้ากลุ่มช่วยให้เธอพบกับอิสรภาพที่จะพัฒนาค่านิยมของเธอเอง ค่านิยมที่ให้ความหมายแก่เธอ มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตตามความคาดหวังของตัวเอง
แทนที่จะทำตามคนอื่น
การค้นหาความเป็นตัวตนที่แท้จริง (The search for
authenticity)
Paul Tillich (1952) นักเทวศาสตร์
ได้ใช้วลีที่ว่า “ความกล้าหาญที่จะเป็น”
เพื่อนิยามความกล้าหาญที่รับเอาสิ่งตรงกันข้ามกับตัวมันเอง เข้ามา เช่น
ตัวมันเองคือสีขาว “ความกล้าหาญที่จะเป็น” คือ
ความกล้าที่จะรับเอาสีดำเข้ามาเป็นตัวตนของตัวเองซึ่งคือสีขาว การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดการยกระดับจิตวิญญาณของตนเอง
(self-transcending) ทำให้ตัวตนที่เป็นอยู่คือสีขาว
ยอมรับเอาสีดำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเอง
การค้นพบ
การสร้างสรรค์ และการรักษาไว้ให้คงอยู่ในส่วนลึกของตัวตนของเรา
เป็นสิ่งที่ยากและดิ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
Van
Deurzen (2002a) เสนอว่า
การดำเนินชีวิตที่แท้จริงเป็นกระบวนการมากกว่าเป็นผลลัพธ์สุดท้าย
การดำเนินชีวิตอย่างแท้จริงประกอบด้วยการทำสิ่งที่มีคุณค่าดังที่เราเห็นมัน
หรือกล่าวง่ายๆว่าเราเป็นจริงในตัวตนของเรา
การดำเนินชีวิตอย่างแท้จริงเช่นนี้จะก่อให้เกิดความสงบภายใน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีความแท้จริง
(authenticity)
ความแท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราพยายามหยุดการรักษาตัวเราด้วยข้อความที่ขัดแย้งกันเองของชีวิต
หรืออีกนัยหนึ่งคือการไม่มีข้ออ้างใดๆให้กับชีวิต
ปล่อยให้ชีวิตเป็นอย่างที่เป็น
เมื่อเราดำเนินชีวิตในความเป็นจริงอย่างที่ตัวตนของเราเป็น
เราก็กำลังกลับกลายเป็นบุคคลที่เราสามารถเป็นได้อย่างแท้จริง
รู้และยอมรับในข้อจำกัดของตนเอง
บทสวดขอความเงียบสงบในใจ เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
“ข้าแต่พระเจ้า
โปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ความเงียบสงบที่จะยอมรับสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้,
ความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้,
และสติปัญญาที่จะรู้จักในความแตกต่าง”
Frankl
(1963) ชอบที่จะใช้ประโยคตักเตือนของชาว Goeth
ที่ว่า “ถ้าเราต้องการให้เขา “ต้อง” เป็น
เรากำลังทำให้เขาแย่ลง
แต่ถ้าเราต้องการให้เขา “ควรเป็น”
เรากำลังช่วยเขาให้เป็นตามที่เขาสามารถเป็นได้” Frankl
ต้องการจะสื่อสารให้เห็นว่า
หน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาคือการท้าทายผู้รับบริการให้เป็นตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริงด้วยใจที่แน่วแน่
และผูกมัดสัญญากับตนเอง Logotherapy ซึ่งเกี่ยวข้องกับมิติทางจิตวิญญาณของมนุษย์ และความปรารถนาอันสูงส่ง
เป็นการบำบัดที่กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะแสวงหาความหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตที่เป็นอย่างแท้จริง
โดยปกติ
ผู้ที่ไม่สนใจต่อการกระตุ้นเตือนจากภายในให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
มักเป็นผู้ที่ไม่มีค่านิยม และมาตรฐานของผู้อื่นภายในตนเอง ความกลัวชนิดหนึ่งที่มักพบในสมาชิกกลุ่ม
คือความกลัวที่เกิดจากการที่พวกเขาปิดบังความว่างเปล่าของตัวเองด้วยหน้ากากและการเสแสร้ง ถ้าหน้ากากถูกเปิดออก การเสแสร้งถูกเปิดเผย
ก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่าภายในตัวเขาที่แสดงออกมาให้เห็น
การที่คนหนึ่งดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามสายตาของผู้อื่น
เพราะรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์แบบของตนเอง ยอมให้ผู้อื่นออกแบบชีวิตของตน สิ่งนี้เรียกว่า “ความรู้สึกผิดที่เกิดมาเป็นคนเข้าข่าย”
(Existential
guilt) ซึ่งสุดท้ายบุคคลนั้นๆก็จะถูกกำจัดความเป็นตัวตนของตนเองออกไป (คำอธิบายอีกนัยหนึ่งของ Existential
guilt คือความคิดเกิดมาทำไม ไม่น่าเกิดเลย ไม่เห็นดี
ไม่มีความสุขเลย ต้องอยู่กับพ่อแม่ที่ไม่รักเขา อยู่กับพี่น้องที่ไม่รักกัน
เขาจะคิดมาก คิดไปเอง มักโทษตัวเองและโทษคนรอบตัว บางคนเศร้ามากถึงขั้นอยากตาย แต่บางคนอาจจะแสดงออกทางด้านความก้าวร้าว
หรืออยากทำบุญ ทำทานมากๆ หวังจะได้ไปเกิดใหม่ดีๆ หรือทำดีกับคนอื่นให้มากๆ
แต่ก็ไม่รักกันเองในกลุ่มพี่น้อง มีหลายคนทุกข์จากเหตุการณ์ดังกล่าว
แต่บางคนปรับตัวได้ไม่เดือดร้อนอะไรนัก)
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
กลุ่มช่วยเหลือให้สมาชิกสามารถมองเข้าไปภายในตัวเอง
และปรับระดับความเป็นตัวตนให้เกิดอย่างเต็มที่ พร้อมกับทางเลือกที่ทำให้เป็นตัวตนอย่างแท้จริง
สมาชิกสามารถแบ่งปันอย่างเปิดเผยในเรื่องความกลัวของพวกเขา
ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตที่ไม่สำเร็จตามที่วางไว้ กลุ่มจะช่วยเหลือโดยเสนอทางเลือกอื่นๆเพื่อแก้ปัญหาของการดำเนินชีวิตดังกล่าว ทีละเล็กทีละน้อยสมาชิกผู้นั้นจะค้นพบทางที่เขาเพิ่งจะหลงออกมา
และกลับเข้าไปสู่ทางเดิมที่เป็นตัวตนที่แท้จริง
เขาจะเรียนรู้ว่าคำตอบง่ายๆที่ได้จากผู้อื่นในการแก้ไขปัญหาของชีวิตของเขาใช้ไม่ได้
เมื่อเทียบกับการที่ต้องดำเนินชีวิตอย่างแท้จริงในตนเอง
กลุ่มช่วยให้สมาชิกค้นหาภายในตนเองโดยปราศจากการคิดแบบรู้ตัว ว่าตัวบุคคลของเขาคือใคร? และอะไรคืออัตลักษณ์ของเขา?
กลุ่มเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สมาชิกบรรลุถึงการให้คุณค่ากับตนเองในความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยอาศัยประสบการณ์กลุ่ม
สมาชิกจะรับรู้ถึงอัตลักษณ์ของตนเองที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตของพวกเขาได้
และผู้นำกลุ่มก็มีหน้าที่ให้กำลังใจแก่สมาชิกในด้านนี้ด้วย
ตัวอย่าง
มาร์ธา สตรีวัย 45 ปี
สวมบทบาทเป็นแม่บ้านที่ดีของครอบครัวเหมือนสตรีอื่นๆทั่วไป จนกระทั่งลูกๆเติบโตเข้าเรียนในวิทยาลัย
และออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกกันหมด
ที่สุดมาร์ธากลับมานั่งคิดทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“มีอะไรอีกมั้ยในชีวิตนี้ที่ฉันยังไม่ได้ทำ?
ฉันเป็นใครกันแน่ นอกเหนือจากบทบาทที่ฉันได้รับผิดขอบมาอย่างเต็มที่? ฉันต้องการจะทำอะไรอีกในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต?”
มาร์ธากลับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
และจบการศึกษาในด้านการให้บริการประชาชน
เธอพบจุดเปลี่ยนของชีวิต เปิดประตูตัวเองสู่โลกใหม่
เธอเข้าร่วมในโครงการต่างๆที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ของเธอ
รวมทั้งการที่เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำงานกับผู้สูงอายุ ในโปรแกรมการเรียน
มาร์ธาได้เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการหลายโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาการเติบโตของบุคคล
กิจกรรมต่างๆเหล่านี้ทำให้มาร์ธาตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“ฉันมีความกล้ามากพอไหม ที่จะสร้างอัตลักษณ์ใหม่ในตัวฉัน? ฉันจะสามารถรับแรงกดดันได้ไหม จากคนในครอบครัวที่ต้องการให้ฉันกลับไปเป็นเหมือนเดิมตามที่เขาต้องการ? ฉันสามารถเสียสละให้กับผู้อื่นเท่าๆกับที่ให้กับตัวเองได้ไหม?” คำถามเหล่านี้บ่งบอกให้เห็นว่า
มาร์ธากำลังเกิดความตระหนักรู้ในการเป็นตัวตนของตัวเธอเอง
และเธอก็ต้องการจะดำเนินชีวิตเช่นนั้น
การตั้งคำถามให้กับตัวเองของมาร์ธา
แสดงให้เห็นว่าเธอทราบถึงผลที่ตามมาของการตัดสินใจเลือก
คือความสงสัยและการดิ้นรนซึ่งทุกคนต้องแก้ไขเพื่อตนเอง
ความโดดเดี่ยวและสัมพันธภาพ (Aloneness and
Relatedness)
นักอัตถิภาวนิยม
เชื่อว่าแม้เราจะมีเพื่อนสนิท เราก็ยังรู้สึกถึงการอยู่ตัวคนเดียวอยู่ เราเกิดมาบนโลกอย่างโดดเดี่ยว
และเราก็จะจากไปอย่างโดดเดี่ยว ดังนั้น
เราต้องจัดการความตึงเครียดระหว่างความปรารถนาของเราที่อยากจะมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
กับความจริงในเรื่องการอยู่ตัวคนเดียวของเรา (Yalom &
Josselson, 2011)
เพราะความตระหนักรู้ถึงความโดดเดี่ยวที่มีอยู่ภายในตัวเรา สามารถที่จะทำให้เรารู้สึกกลัว
และบางคนพยายามหนีความกลัวนี้ด้วยการสร้างสัมพันธภาพแบบฉาบฉวย
หรือโดยการร่วมกิจกรรมอย่างบ้าคลั่ง
โดยหวังว่าการกระทำเช่นนั้นจะช่วยดับความกลัวและความทุกข์กังวล
ในความโดดเดี่ยว
เราก็ยังมีทางเลือกที่จะหาความหมายและทิศทางให้กับชีวิตของเรา หากเราทำสำเร็จในการสร้างอัตลักษณ์ให้ตัวเราเอง
เราก็สามารถมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริงและอย่างมีความหมาย เราต้องยืนด้วยขาของเราเองก่อน
จากนั้นเราจึงสามารถยืนร่วมกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริง การปลีกวิเวกไม่เหมือนกับความรู้สึกโดดเดี่ยว เราสามารถเลือกที่จะปลีกวิเวกตัวเราเองเมื่อใดก็ได้
เพื่อค้นพบตัวเราเองว่าเป็นใคร และเพื่อปรับปรุงตัวเอง (Corey
& Corey, 2010)
มีการเทียบเคียงระหว่างความโดดเดี่ยวกับสัมพันธภาพ
ซึ่งทั้งสองสถานะเป็นสภาพจริงของมนุษย์ Zur (2009) กล่าวว่า
จริงๆแล้วเรายังรู้สึกโดดเดี่ยวหรืออ้างว้าง
แม้เราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนในหมู่คณะ
ในธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องการสังคม ต้องการสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เรากระหายหาความผูกพันที่เต็มไปด้วยความหมาย เราอยากจะเป็นบุคคลสำคัญในใจของผู้อื่น
และให้ผู้อื่นก็เป็นบุคคลสำคัญในใจของเราด้วย
ท่าทีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราค้นพบพลังภายในตัวของเรา มิฉะนั้นเราก็ไม่สามารถหล่อเลี้ยงสัมพันธภาพ
ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนการเติมเต็มซึ่งกันและกันมากกว่าการชิงดีชิงเด่น
การประยุกต์ใช้สำหรับกลุ่ม (Implications for group work)
ผู้นำกลุ่มมีโอกาสที่จะสร้างสัมพันธภาพ
และเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับสมาชิกในหลากหลายวิธี
เขาจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากสัมพันธภาพกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ตอบคำถามเกี่ยวกับความสำคัญและจุดประสงค์ในชีวิต
ไม่ได้ขึ้นกับผู้อื่นเลย แต่ขึ้นกับตัวเขาเอง
หากถ้าเขาเกิดความตระหนักรู้ในตนเอง
เขาก็จะเข้าใจว่าไม่ว่าสัมพันธภาพจะมีคุณค่าอย่างไร ที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นตัวของเขาเอง
สัมพันธภาพที่สมาชิกกลุ่มสร้างขึ้นมาก็มีคุณค่าด้วย
เพราะมันสอนให้พวกเขารู้จักที่จะสร้างสัมพันธภาพกับผู้คนนอกกลุ่มด้วย สมาชิกยอมรับการดิ้นรนของตนเองโดยการเรียนรู้จากสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม
และผลลัพธ์ที่ได้คือความผูกพันซึ่งกันและกัน ถึงกระนั้นก็ดี
แม้สมาชิกจะรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวที่มีอยู่ภายในของแต่ละคน พวกเขาก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวกับการดิ้นรนของพวกเขา พวกเขาช่วยกันค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ของพวกเขาขึ้นมา
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มีโอกาสมากมายและหลากหลายที่สมาชิกสามารถช่วยเหลือกัน
บนพื้นฐานของสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น ซึ่งการบำบัดแบบรายบุคคลไม่มี
ตัวอย่าง
สมชายเป็นบุคคลที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนได้
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโดดเดี่ยว
ในการเข้ากลุ่ม สมชายรู้สึกว่าตัวเองถูกตัดออกจากกลุ่มโดยเปรียบเทียบตัวเองเหมือนผู้ชมที่อยู่นอกเวที
ผู้นำกลุ่มถามสมชายว่าอยากจะทดลองแยกตัวออกมาเป็นคนดูหรือไม่
โดยคอยสังเกตกลุ่มในระยะห่างด้วยความตระหนักรู้ในสิ่งที่เขากำลังคิดและรู้สึกอยู่ สมชายตอบตกลง และเดินออกจากห้องไปนั่งที่ระเบียง
มองลอดหน้าต่างเพื่อสังเกตความเป็นไปของกลุ่ม
จากนั้นผู้นำกลุ่มเรียกเขากลับมาเข้ากลุ่ม
และให้บอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาขณะนั่งอยู่นอกห้อง
เมื่อกลับเข้ามา
สมชายเล่าว่า เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้ถึงความปลอดภัยที่เขามีในฐานะผู้ชม และเมื่อนั่งสังเกตอยู่
เขาก็พร้อมที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป
ผู้นำกลุ่มขอให้เขาเดินไปที่สมาชิกกลุ่มแต่ละคน
และกล่าวเติมประโยคทั้งสองให้สมบูรณ์ ดังนี้
“ครั้งหนึ่ง ผมตีตัวออกห่างจากคุณ ด้วยวิธี.................” และ “ครั้งหนึ่งผมทำตัวใกล้ชิดคุณ ด้วยวิธี..................” หลังจากที่สมชายทำครบทุกคนแล้ว
เขาเล่าความรู้สึกขณะที่เขาพูดว่าเขารู้สึกโดดเดี่ยว
แม้จะมีสมาชิกกลุ่มล้อมรอบตัวเขา
เขาพูดถึงความปรารถนาที่จะได้ความผูกพันใกล้ชิด ความกลัวในการเข้าหาผู้คน การเข้ากลุ่มทำให้เขาพยายามแยกตัวเองออกจากกลุ่ม แต่ในที่สุดเขาก็อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
บทบาทและหน้าที่ของผู้นำกลุ่ม (Role and functions
of the group leader)
Schneider และ Krug (2010) นักบำบัดสายอัตถิภาวนิยมและมนุษยนิยม
ใช้แนวทางการบำบัดในด้านพฤติกรรมและเชาว์ปัญญา
โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับประสบการณ์ของผู้รับบริการ
เพิ่มขีดความสามารถของเขาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง การบำบัดเป็นความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย
แบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
เป็นหุ้นส่วนที่ร่วมมือช่วยเหลือกันดังเช่นสัมพันธภาพแบบบุคคลต่อบุคคล
ผู้นำกลุ่มเปิดเผยความเป็นตัวตนของเขาให้กับสมาชิกกลุ่ม
เพื่อจะพัฒนาสัมพันธภาพที่มีประสิทธิผล
ผู้นำกลุ่มต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆกับคุณภาพของสัมพันธภาพ
ในลักษณะที่เป็น I/Thou encounters and dialogue
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพลังในการรักษา (Cain, 2002) ดังนั้น
หน้าที่หลักของผู้นำกลุ่มคือสร้างความเป็นพันธมิตรร่วมกันให้เกิดขึ้นในกระบวนการบำบัด
เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดจากสัมพันธภาพนั่นเอง
Bugental
(1997) เน้นที่ความตระหนักรู้ในตัวผู้รับบริการ
ผู้นำกลุ่มมีบทบาทที่ต้องทำให้ผู้รับบริการเกิดความตระหนักรู้
และรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่ได้ลงทุนลงแรงไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้รับบริการ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้น
หากผู้นำกลุ่มมองสมาชิกแบบวัตถุ โดยมุ่งที่จะแสดงทักษะความชำนาญและเทคนิคที่ไร้ประโยชน์
ทั้งนี้เป็นเพราะกลุ่มขาดแง่มุมในเรื่องของจิตวิทยา
ผู้รับบริการจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ต้องมีทั้งสัมพันธภาพกับผู้นำกลุ่ม
และสัมพันธภาพกับเพื่อนสมาชิกกลุ่ม
หน้าที่แรกของผู้นำกลุ่ม
คือต้องสร้างสัมพันธภาพให้เกิดขึ้นในระหว่างสมาชิกกลุ่ม
โดยการจัดเตรียมบรรยากาศที่เอื้อให้สมาชิกกลุ่มได้สำรวจประสบการณ์ของตนเอง Yalom
และ Josselson (2011) กล่าวว่า
ผู้นำกลุ่มต้องให้คุณค่ากับความเป็นจริง
และพร้อมที่จะเปิดเผยตนเองในระดับที่เหมาะสม
ผู้นำกลุ่มเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมเดินทางที่สามารถแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตซึ่งกันและกันได้
หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของผู้นำกลุ่มคือ
การกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มประเมินระดับอิสรภาพของตนเอง
โดยดูจากการตัดสินใจทางเลือกต่างๆ
และความรับผิดชอบที่มีต่อสิ่งที่ได้เลือกแล้ว
Cain
(2002) อธิบายไว้ว่า
“ผู้รับการบำบัดถูกท้าทายให้ตอบคำถามเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต
การเผชิญหน้ากับความกังวล การเรียนรู้ที่จะมีชีวิตเป็นตัวตนเองอย่างแท้จริง และด้วยความรับผิดชอบ”
(p.24) Van
Deurzen (2010) กล่าวว่า
“ไม่ใช่หน้าที่ของผู้นำกลุ่มที่จะไปค้นหาปัญหาและแง่มุมต่างๆในชีวิตของบุคคล
แต่ต้องให้ความสำคัญที่การดิ้นรนของบุคคลอันเนื่องมาจากความเป็นมนุษย์ของเขา
และแจกแจงให้เห็นถึงตัวแปรต่างๆที่มีผลต่อการดิ้นรนนี้ ผู้นำกลุ่มช่วยให้สมาชิกกลุ่มเข้าใจมากขึ้น
โดยการสะท้อนสถานการณ์ของพวกเขา
ช่วยจัดการกับความลังเลของพวกเขา
เผชิญหน้ากับความยากลำบากของพวกเขา และคิดเผื่อพวกเขาด้วย” (p.236)
Sharp และ Bugental (2001) ย้ำว่า การให้ความสนใจแก่
“ความเป็นปัจจุบัน” (Presence) ถือเป็นศิลาเอกของกระบวนการบำบัดแบบอัตถิภาวนิยม งานของผู้ให้คำปรึกษาคือ
ให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นตัวขัดขวางความเป็นปัจจุบันของผู้รับบริการ
และเชิญชวนให้ผู้รับบริการรับรู้และจัดการกับการต่อต้านต่างๆ เพื่อที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเอง กลุ่มเป็นเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้สมาชิกแต่ละคนเห็นรูปแบบที่ไปจำกัดการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง
โดยเทียบเคียงกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนอื่น
การมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับกลุ่ม
จะช่วยให้สมาชิกแต่ละคนเพิ่มความตระหนักรู้ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
การประยุกต์ :
เทคนิคและกระบวนการบำบัด
(Application : Therapeutic techniques
and
procedures)
ลักษณะเฉพาะของการบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมคือ
เน้นที่ประสบการณ์ชีวิต และความเข้าใจในตัวสมาชิก ณ ความเป็นปัจจุบัน
มากกว่าการใช้เทคนิค May
(1983) ย้ำว่า การใช้เทคนิคต้องมาหลังจากการเกิดความเข้าใจเสียก่อน
การโหมใช้เทคนิคสามารถปิดกั้นทางไม่ให้ผู้รับบริการทำความเข้าใจกับโลกส่วนตัวของเขา ไม่มีเทคนิคเฉพาะสำหรับแนวอัตถิภาวนิยม ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ตัวทฤษฎีหรือเทคนิค
แต่อยู่ที่ความร่วมมือกันและการสนทนาระหว่างผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับบริการ (Elkins,
2007)
กระบวนการบำบัดยังเน้นที่การทำความเข้าใจ
และการสำรวจความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้รับบริการ มากกว่าการวิเคราะห์หาสาเหตุ
การใส่สิ่งกระตุ้น และการคาดเดา (van Deurzen, 2002b)
รูปแบบความช่วยเหลือที่ผู้ให้คำปรึกษาใช้กับกลุ่ม
มีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดปรัชญาศาสตร์เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นมนุษย์
ผู้ให้คำปรึกษาอาจนำเทคนิคจากแนวคิดอื่นๆมาประยุกต์ใช้
โดยคำนึงถึงสมมติฐานและทัศนคติของกลุ่มด้วย
Van
Deurzen (2010)
ย้ำถึงความสำคัญของผู้ให้คำปรึกษาว่า เขาต้องเปิดใจให้กว้างและลึกพอที่จะเข้าไปสู่โลกส่วนบุคคลของผู้รับบริการ
โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ในตัวเขา
การบำบัดแบบอัตถิภาวนิยมคือการร่วมมือกันในการท่องผจญภัย
ทั้งผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับบริการจะถูกเปลี่ยนแปลง
โดยที่ทั้งสองฝ่ายเปิดให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาสัมผัสชีวิตของตนเอง ผู้ให้คำปรึกษาสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือในรูปแบบใดก็ได้ตามบุคลิกและสไตล์ของตนเอง
แต่ต้องมีความยืดหยุ่น ปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้รับบริการ
Van
Deurzen (2010) เสนอเทคนิคต่างๆ ดังนี้
· ความเงียบ
เป็นเทคนิคที่สำคัญที่สุดในการสนทนาระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับบริการ ในขณะสนทนาควรเว้นช่องว่างไว้เพื่อหายใจในระหว่างประโยคต่อประโยค ผู้ให้คำปรึกษาจึงจะสามารถฟังได้อย่างตั้งใจ
และแสดงท่าทีการยอมรับ
ผู้รับบริการก็สามารถไปถึงจุดที่เขาต้องตัดสินใจเลือกได้
· การตั้งคำถาม
ผู้ให้คำปรึกษาใช้เทคนิคการตั้งคำถามโดยให้มีความต่อเนื่องในเรื่องที่ผู้รับบริการเล่าให้ฟัง
ไม่ใช่เป็นการจ้องจะถามเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
และเป็นการดีที่จะใช้คำถามปลายเปิดโดยอิงจากคำพูดและในข้อความของผู้รับบริการ
· การตีความ
เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายที่ผู้รับบริการเล่าเรื่องราวชีวิตและประสบการณ์ของเขาออกมา ข้อควรระวังคือ
ต้องตีความตามที่ผู้เล่าเรื่องต้องการสื่อ
ไม่ใช่ตีความตามความเข้าใจของผู้รับฟัง
นอกเหนือจากเทคนิคข้างต้น
เทคนิคของการบำบัดในแนวต่างๆก็สามารถนำมาใช้กับอัตถิภาวนิยมได้ ไม่ว่าจะเป็น Adlerian,
Psychodramatic, Transactional, CBT, REBT, Reality, SFBT อย่างไรก็ตาม
ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่ใช้เทคนิคต่างๆเหล่านี้เป็นหลักในการบำบัด
เพราะกระบวนการบำบัดที่แท้จริงอยู่ที่คุณลักษณะของสัมพันธภาพของกลุ่ม
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ให้คำปรึกษาลงลึกถึงความเป็นตัวตนของกลุ่ม
และสมาชิกแต่ละคนมีระดับความสัมพันธ์ที่ลึกซื้งแบบ I/Thou encounter
กระบวนการบำบัดนั้นๆถือว่าดีที่สุด
ผู้นำกลุ่มไม่ใช่ผู้ทีคอยทำบางสิ่งบางอย่างให้กลุ่ม
หรือนำเสนอเทคนิคในการบำบัด
แต่เขาต้องแสดงความเป็นอยู่ของเขาในกลุ่ม
และกลับกลายเป็นบุคคลหนึ่งของกลุ่ม
ประสบการณ์ของกลุ่มสามารถสั่นคลอนความคิดแบบเก่าๆที่สมาชิกมีในหัว
และเมื่อนั้นพวกเขาก็สามารถที่จะก้าวเผชิญหน้ากับตัวเอง
และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง
ระยะของการทำกลุ่มแบบอัตถิภาวนิยม (Phase of an
existential group)
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะเริ่มต้น
ผู้ให้คำปรึกษากลุ่มช่วยให้สมาชิกระบุและทำความกระจ่างเกี่ยวกับสมมติฐานของตนเองที่มีต่อโลกใบนี้ กล่าวง่ายๆคือ
สมาชิกมีทัศนคติอย่างไรกับโลกที่เขาอยู่
จากนั้นเชิญชวนให้สมาชิกให้นิยามและตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเห็น
และสิ่งที่เขาเป็นอยู่
สมาชิกเริ่มสำรวจค่านิยม ความเชื่อ และสมมติฐานของพวกเขา
เพื่อดูความเหมาะสมและถูกต้อง
นี่เป็นขั้นตอนที่ยากสำหรับสมาชิกกลุ่ม
เพราะพวกเขามักจะเสนอปัญหาที่เป็นผลพวงมาจากสาเหตุภายนอกตัวเขา
หรือโทษที่บุคคลรอบข้างที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น ผู้นำกลุ่มแนะนำให้สมาชิกกลุ่มรู้จักคิดไตร่ตรองถึงชีวิตที่เป็นอยู่ของตนเอง
และรู้จักสำรวจบทบาทของตนเองในการแก้ไขปัญหาชีวิต
2. ระยะกลาง
สมาชิกกลุ่มถูกกระตุ้นให้ทำการสำรวจอย่างเต็มที่ถึงระบบของค่านิยมที่มีอยู่ในตัวเขา
โดยปกติกระบวนการสำรวจตนเองจะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่
และเกิดการปรับโครงสร้าง ค่านิยม และทัศนคติ
สมาชิกกลุ่มจะมีความคิดที่ดีขึ้นเกี่ยวกับชีวิตที่มีคุณค่าในการดำรงอยู่ต่อไป
พวกเขาจะพัฒนาจนเกิดความคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการสร้างคุณค่าภายใน Van Deurzen (2010) กล่าวว่า การสำรวจแบบอัตถิภาวนิยม คือการค้นหาความหมายในมิติของจิตวิญญาณ
ซึ่งได้แก่ แก่นของชีวิต และหลักศีลธรรมในการเจริญชีวิต
3. ระยะสุดท้าย
เป็นการช่วยให้สมาชิกลุ่มนำสิ่งที่พวกเขาได้คิดไตร่ตรองมาก่อนหน้านี้
สู่การลงมือปฏิบัติ
เป็นการเสริมพลังอำนาจให้กับพวกเขาที่จะนำเอาค่านิยมภายใน
ที่ได้รับการสำรวจแล้วออกมาเป็นรูปธรรม
สมาชิกจะสามารถค้นพบพลังภายในตัวเขา
และนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย
การให้คำปรึกษากลุ่มแบบอัตถิภาวนิยม
มุ่งที่จะสำรวจทางเลือกต่างๆ
เพื่อช่วยให้สมาชิกกลุ่มได้สรรค์สร้างความหมายของชีวิต การยอมรับวิถีชีวิตที่เราส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อ
ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง และโดยผ่านกระบวนการกลุ่มบำบัด เราเริ่มเข้าใจว่าเรามีความสามารถที่จะเลือก
และเป็นเจ้าของชีวิตของเราอย่างรู้ตัว
Corey, G. (2012). Theory and Practice of Group Counseling.
(8th Eds.). USA: Books/Cole.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น