วันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
พระวรสาร: มัทธิว 1:18–24
Fr Clarence Devadass
เรื่องราวการประสูติของพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยดี
เป็นเรื่องที่คริสตชนรักและได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้มีความเชื่อก็ยังรู้จัก เรื่องนี้ถูกอ่านในวัด
เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน และนำมาแสดงในละครวันคริสต์มาสอยู่เสมอ
แต่เมื่อเราฟังพระวรสารวันนี้อีกครั้ง พระศาสนจักรเตือนใจเราว่า
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่นิทานซาบซึ้งตามฤดูกาล
หรือประเพณีที่ทำซ้ำทุกปีเท่านั้น
หากเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
และยังคงเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้
การประสูติของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การเกิดธรรมดา
แต่เป็นช่วงเวลาที่สวรรค์มาพบกับโลก เมื่อความเป็นนิรันดรเข้ามาสู่กาลเวลา
เมื่อพระเจ้าเองทรงเลือกที่จะอยู่ท่ามกลางมนุษย์ของพระองค์ หลายศตวรรษก่อนหน้านั้น
ประกาศกอิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ว่า
“หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย และเขาจะเรียกชื่อว่า
เอมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา”
ชื่อนี้ไม่ใช่เพียงคำสวยงามหรือสัญลักษณ์เชิงกวี
แต่เป็นความจริงที่มีชีวิต ในพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าทรงอยู่กับเราอย่างแท้จริง
เดินเคียงข้างเรา แบ่งปันทั้งความยินดี ความทุกข์ ความยากลำบาก และความหวังของเรา
วันนี้ เราจึงได้รับเชิญให้หยุดและไตร่ตรองถึงความยิ่งใหญ่ของความจริงนี้
พระผู้สร้างจักรวาล ผู้ทรงยึดดวงดาวไว้ในที่ของมัน
มิได้เสด็จมาอย่างยิ่งใหญ่หรือโอ่อ่า แต่เสด็จมาในความเปราะบางของทารก
พระองค์ไม่ได้ประสูติในพระราชวัง แต่ในคอกสัตว์ ที่บรรทมแรกของพระองค์ไม่ใช่เปลทองคำ
แต่เป็นรางหญ้าที่เต็มไปด้วยฟาง
ความถ่อมตนอย่างลึกซึ้งนี้เผยให้เห็นพระทัยของพระเจ้า—ความรักที่ยอมก้มลงมาหาเราในจุดที่เราเป็นอยู่
เพื่อยกเราขึ้นไปสู่จุดที่พระองค์ทรงอยู่
พระกุมารที่ประสูติ ณ เบธเลเฮมองค์นี้
เสด็จมาพร้อมกับพันธกิจ ทูตสวรรค์กล่าวกับโยเซฟว่า
“ท่านจะตั้งชื่อเด็กนั้นว่าเยซู
เพราะเขาจะช่วยประชาชนของเขาให้พ้นจากบาป”
ความรอดไม่ใช่แนวคิดลอย ๆ แต่คือการเยียวยาความแตกสลายของเรา
การให้อภัยความผิดพลาด และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
ทุกครั้งที่เราได้ยินเรื่องราวคริสต์มาส
เราถูกเตือนว่า พระกุมารองค์นี้ประสูติเพื่อเรา—เพื่อคุณและเพื่อผม
เพื่อทุกคนที่โหยหาสันติภาพ ความเมตตา และความหวัง
แต่ความท้าทายอยู่ตรงนี้:
เรื่องราวนี้ไม่ควรแตะหัวใจเราเพียงปีละครั้ง ไม่ใช่สิ่งที่นำออกมาใช้ในเดือนธันวาคมแล้วเก็บเข้ากล่องพร้อมของตกแต่งคริสต์มาส
ความล้ำลึกของ “เอมมานูเอล—พระเจ้าสถิตกับเรา”
ถูกเรียกร้องให้หล่อหลอมชีวิตของเราในทุก ๆ วัน
ถ้าพระเจ้าทรงอยู่กับเราอย่างแท้จริง
ชีวิตของเราย่อมไม่อาจเหมือนเดิมได้อีกต่อไป การประทับอยู่ของพระองค์เชิญชวนให้เราใช้ชีวิตแตกต่างออกไป—รักอย่างใจกว้างยิ่งขึ้น
ให้อภัยง่ายขึ้น รับใช้ด้วยความถ่อมตน และหวังด้วยความกล้าหาญ
เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าเป็นเวลาของการเตรียมใจ
เมื่อเราจุดเทียนทีละเล่ม เราไม่ได้เพียงนับวันเวลา แต่กำลังก้าวเข้าใกล้ “แสงสว่างของโลก”
มากขึ้น ในวันอาทิตย์ที่ 4 นี้
ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูคริสต์มาส พระศาสนจักรเชื้อเชิญให้เราถามตนเองว่า
ฉันกำลังเตรียมใจต้อนรับเอมมานูเอลอย่างไร?
ฉันได้จัดพื้นที่ในโรงแรมแห่งจิตใจของฉันให้พระองค์แล้วหรือยัง
หรือฉันปล่อยให้ความวุ่นวาย ความกังวล และความเห็นแก่ตัวเบียดพระองค์ออกไป?
อีกไม่นาน เราจะได้ยินอีกครั้งว่า
มารีย์และโยเซฟไม่มีที่พักในโรงแรม
แต่พวกเขาต้อนรับพระเยซูเจ้าด้วยความเชื่อและความรัก
เราก็ได้รับเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน—ต้อนรับพระองค์ไม่ใช่แค่ในคำภาวนา
แต่ในวิถีชีวิตและการกระทำของเรา
ในช่วงเวลานี้
เราถูกเชิญให้มองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ ไม่เพียงในศีลมหาสนิท
แต่ในใบหน้าของคนยากจน ผู้โดดเดี่ยว ผู้เจ็บป่วย และผู้ถูกลืมเลือน “เอมมานูเอล” หมายความว่า
พระเจ้าทรงอยู่กับเรา—ในทุกสถานการณ์ ในทุกคน และในทุกช่วงเวลา
เราจำเป็นต้องทำให้ความจริงที่ว่า
“พระเจ้าสถิตกับเรา” เป็นสิ่งที่มีชีวิตในชีวิตประจำวันของเรา
ให้การประทับอยู่ของพระองค์หล่อหลอมความคิด คำพูด และการกระทำของเรา
เมื่อเราตื่นนอน เราเริ่มต้นด้วยความขอบคุณ เมื่อเราทำงาน
เราดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อเราพักผ่อน เราไว้วางใจในสันติสุขของพระองค์ เมื่อเราปฏิบัติความเมตตา การให้อภัย
และความถ่อมตน เรากำลังสะท้อนความรักของพระองค์ และกิจวัตรธรรมดา ๆ
ของเราก็จะกลายเป็นพยานอันงดงามถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า
ขอให้สัปดาห์สุดท้ายของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้
เตรียมเราไม่เพียงเพื่อฉลองวันคริสต์มาส แต่เพื่อพบกับพระคริสตเจ้าในทุก ๆ วัน
ผู้ทรงประสูติใหม่ในชีวิตของเราเสมอ และขอให้เรานำความยินดีของ
“พระเจ้าสถิตกับเรา” ออกไปไกลกว่าฤดูกาลนี้ สู่ทุกวันตลอดทั้งปี
เพื่อว่าโลกจะได้เชื่ออย่างแท้จริงว่า
พระเจ้าทรงอยู่กับเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น