วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทไตร่ตรองวันคริสต์มาส “การเดินทางครั้งที่ห้า” ในวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม 2025

 

บทไตร่ตรองวันคริสต์มาส
การเดินทางครั้งที่ห้า” ในวันคริสต์มาส
ฟร. แคลเรนซ์ เดวาดาสส์
25 ธันวาคม 2025

วันนี้ตามวัดและโบสถ์ทั่วโลก เรื่องราวคริสต์มาสถูกเล่าซ้ำในหลากหลายภาษาและวัฒนธรรม แต่ไม่ว่าภาษาใดหรือวัฒนธรรมใด ความจริงหนึ่งยังคงเหมือนเดิม คือ เรื่องคริสต์มาสไม่ใช่เรื่องนิ่งตายตัว หากเป็นเรื่องที่มีชีวิต กำลังเคลื่อนไหว และคลี่คลายผ่าน “การเดินทาง” ต่าง ๆ  พระคัมภีร์เชิญชวนให้เราเห็นการเดินทางสำคัญสี่ครั้งที่โอบล้อมการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเรามักมองข้ามเพราะใจของเราหยุดอยู่ที่รางหญ้า แต่แท้จริงแล้ว รางหญ้าเมื่อสองพันปีก่อนไม่ได้สวยงามหรือสงบเลย หากเป็นสถานที่หยาบ กระด้าง และไม่สะอาด เต็มไปด้วยกลิ่นและความอึดอัด ทว่าพระเจ้าทรงเลือกที่นั่นเพื่อเสด็จมาใกล้มนุษย์ และความรักก็ได้เข้าสู่โลก ณ ที่นั้น

การเดินทางแรกคือการเดินทางของพระนางมารีย์ไปหาเอลีซาเบธ หญิงสาวผู้ตั้งครรภ์พระผู้ไถ่เดินทางไกลราว 150 กิโลเมตร เพื่อแบ่งปันความชื่นชมยินดีและความเชื่อ เป็นการเดินทางแห่งการพบปะและการประกาศข่าวดี การเดินทางที่สองคือของโยเซฟและมารีย์ไปเบธเลเฮม ระยะทางใกล้เคียงกัน เป็นการเดินทางแห่งการเชื่อฟังและความไว้วางใจ ท่ามกลางความยากลำบาก และนำไปสู่คอกสัตว์ต่ำต้อย ที่ซึ่งพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์ การเดินทางที่สามคือของบรรดาปราชญ์จากทิศตะวันออก ไกลถึงเกือบ 1,500 กิโลเมตร เป็นการเดินทางแห่งการแสวงหาและการนมัสการ โดยมีดาวนำทางจนถึงการกราบไหว้พระกุมาร การเดินทางที่สี่คือการหนีไปอียิปต์ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเดินทางเพื่อความปลอดภัย แต่ก็เป็นการเดินทางแห่งความหวัง แสดงให้เห็นว่าแผนการของพระเจ้าดำเนินไปได้แม้ท่ามกลางความไม่มั่นคงและการลี้ภัย

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น ยังมี “การเดินทางที่ห้า” ที่รอคอยจะเกิดขึ้นในวันนี้ และอาจเป็นการเดินทางที่สำคัญ ยาวนาน และยากที่สุด การเดินทางที่ห้าคือการเดินทางจากรางหญ้าเข้าสู่หัวใจของเรา เป็นการเดินทางที่ทำให้สี่การเดินทางก่อนหน้ามีความหมาย หากปราศจากการเดินทางนี้ เรื่องราวทั้งหมดก็เหลือเพียงอดีตที่สวยงาม พระกุมารที่เราฉลองวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่เบธเลเฮมตลอดไป หากทรงปรารถนาจะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา เป็นศูนย์กลางของครอบครัว ชุมชน การตัดสินใจ ความยินดี และแม้แต่ความทุกข์ของเรา

คริสต์มาสจึงไม่ใช่แค่การระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองพันปีก่อน แต่คือการต้อนรับพระคริสตเจ้าในวันนี้ รางหญ้าที่เราจัดแสดงเป็นสัญลักษณ์ของความถ่อมตน ความใกล้ชิด และความปรารถนาของพระเจ้าที่จะอยู่กับเรา แต่หากเราไม่ยอมให้พระองค์เดินทางเข้าสู่หัวใจ คริสต์มาสก็จะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไพเราะ ไม่ใช่ความจริงที่เปลี่ยนชีวิตเรา

การเดินทางที่ห้านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราเรียนรู้จากตัวอย่างในพระวรสารได้ เช่นเดียวกับมารีย์ เราถูกเรียกให้แบกพระคริสต์ไว้ในชีวิตและนำพระองค์ไปสู่ผู้อื่นด้วยความยินดี เช่นเดียวกับโยเซฟ เราถูกเชิญให้ไว้วางใจพระเจ้าแม้เส้นทางจะไม่ชัดเจน เช่นเดียวกับบรรดาปราชญ์ เราต้องแสวงหาพระคริสต์ด้วยความเพียร และถวายของขวัญแห่งความรัก ความเชื่อ และการรับใช้ และเช่นเดียวกับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เราต้องปกป้องการประทับอยู่ของพระคริสต์ในชีวิต แม้โลกจะดูไม่เป็นมิตร

การเดินทางจากรางหญ้าสู่หัวใจเกิดขึ้นผ่านการเลือกในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราเลือกความรักแทนความเฉยชา การให้อภัยแทนการผูกใจเจ็บ ความเมตตาแทนความแข็งกระด้าง ความเอื้อเฟื้อแทนความเห็นแก่ตัว ความเสียสละแทนการตามใจตน ความจริงแทนคำโกหก ความเรียบง่ายแทนความโลภ การให้กำลังใจแทนการนินทา และความถ่อมตนแทนความหยิ่งผยอง ทุกครั้งที่เราเลือกคุณค่าของพระวรสาร รางหญ้าก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นความจริงในชีวิตของเรา

ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์มาสนี้ คือการยอมให้พระเยซูเจ้าทรงเดินทางจนสำเร็จ คือเข้ามาประทับในใจเรา และเมื่อพระองค์อยู่ที่นั่น เราก็จะเป็นผู้นำแสงสว่าง สันติสุข ความรัก และความชื่นชมยินดีของพระองค์ไปสู่โลก ทุกครั้งที่ความรักชนะความชั่ว เสียงเพลงของทูตสวรรค์ก็จะดังก้องขึ้นอีกครั้งว่า “พระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้าในสวรรค์ และสันติสุขจงมีแก่มนุษย์ผู้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์” นั่นแหละคือคริสต์มาส

ดังนั้น เมื่อเรามองดูรางหญ้าในวันนี้ ขออย่าเพียงชื่นชมภาพนั้น แต่จงเปิดพื้นที่ในชีวิต เปิดประตูหัวใจ ให้พระกุมารเสด็จเข้ามา ไม่ใช่แค่ในโบสถ์ แต่ในบ้าน ที่ทำงาน ความสัมพันธ์ และตัวเราเอง คริสต์มาสจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อพระคริสตเจ้าพบที่พักพิงในหัวใจของเรา เช่นเดียวกับคนเลี้ยงแกะและบรรดาปราชญ์ที่จากไปด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ขอให้เราอย่าออกจากการฉลองนี้เหมือนเดิม แต่เปิดใจให้พระเยซูเจ้าบังเกิดใหม่ในชีวิตเราผ่านความรัก ความเมตตา และความซื่อสัตย์ต่อความเชื่อ แล้วคริสต์มาสจะไม่ใช่เพียงวันหนึ่งในปฏิทิน แต่จะเป็นความจริงในทุกวัน และผ่านชีวิตของเรา โลกจะได้รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราอย่างแท้จริง ขอให้ดาวที่ส่องเหนือรางหญ้าในวันนั้น มาส่องสว่างนำทางชีวิตของคุณในวันนี้ สุขสันต์วันคริสต์มาส 🎄

 


วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า พระวรสาร: มัทธิว 1:18–24

 

วันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

พระวรสาร: มัทธิว 1:18–24

Fr Clarence Devadass

เรื่องราวการประสูติของพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยดี เป็นเรื่องที่คริสตชนรักและได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้มีความเชื่อก็ยังรู้จัก เรื่องนี้ถูกอ่านในวัด เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน และนำมาแสดงในละครวันคริสต์มาสอยู่เสมอ

แต่เมื่อเราฟังพระวรสารวันนี้อีกครั้ง พระศาสนจักรเตือนใจเราว่า นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่นิทานซาบซึ้งตามฤดูกาล หรือประเพณีที่ทำซ้ำทุกปีเท่านั้น หากเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และยังคงเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้

การประสูติของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การเกิดธรรมดา แต่เป็นช่วงเวลาที่สวรรค์มาพบกับโลก เมื่อความเป็นนิรันดรเข้ามาสู่กาลเวลา เมื่อพระเจ้าเองทรงเลือกที่จะอยู่ท่ามกลางมนุษย์ของพระองค์ หลายศตวรรษก่อนหน้านั้น ประกาศกอิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ว่า
หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย และเขาจะเรียกชื่อว่า เอมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา”

ชื่อนี้ไม่ใช่เพียงคำสวยงามหรือสัญลักษณ์เชิงกวี แต่เป็นความจริงที่มีชีวิต ในพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าทรงอยู่กับเราอย่างแท้จริง เดินเคียงข้างเรา แบ่งปันทั้งความยินดี ความทุกข์ ความยากลำบาก และความหวังของเรา

วันนี้ เราจึงได้รับเชิญให้หยุดและไตร่ตรองถึงความยิ่งใหญ่ของความจริงนี้ พระผู้สร้างจักรวาล ผู้ทรงยึดดวงดาวไว้ในที่ของมัน มิได้เสด็จมาอย่างยิ่งใหญ่หรือโอ่อ่า แต่เสด็จมาในความเปราะบางของทารก พระองค์ไม่ได้ประสูติในพระราชวัง แต่ในคอกสัตว์ ที่บรรทมแรกของพระองค์ไม่ใช่เปลทองคำ แต่เป็นรางหญ้าที่เต็มไปด้วยฟาง ความถ่อมตนอย่างลึกซึ้งนี้เผยให้เห็นพระทัยของพระเจ้า—ความรักที่ยอมก้มลงมาหาเราในจุดที่เราเป็นอยู่ เพื่อยกเราขึ้นไปสู่จุดที่พระองค์ทรงอยู่

พระกุมารที่ประสูติ ณ เบธเลเฮมองค์นี้ เสด็จมาพร้อมกับพันธกิจ ทูตสวรรค์กล่าวกับโยเซฟว่า
ท่านจะตั้งชื่อเด็กนั้นว่าเยซู เพราะเขาจะช่วยประชาชนของเขาให้พ้นจากบาป”
ความรอดไม่ใช่แนวคิดลอย ๆ แต่คือการเยียวยาความแตกสลายของเรา การให้อภัยความผิดพลาด และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า

ทุกครั้งที่เราได้ยินเรื่องราวคริสต์มาส เราถูกเตือนว่า พระกุมารองค์นี้ประสูติเพื่อเรา—เพื่อคุณและเพื่อผม เพื่อทุกคนที่โหยหาสันติภาพ ความเมตตา และความหวัง

แต่ความท้าทายอยู่ตรงนี้: เรื่องราวนี้ไม่ควรแตะหัวใจเราเพียงปีละครั้ง ไม่ใช่สิ่งที่นำออกมาใช้ในเดือนธันวาคมแล้วเก็บเข้ากล่องพร้อมของตกแต่งคริสต์มาส ความล้ำลึกของ “เอมมานูเอล—พระเจ้าสถิตกับเรา” ถูกเรียกร้องให้หล่อหลอมชีวิตของเราในทุก ๆ วัน

ถ้าพระเจ้าทรงอยู่กับเราอย่างแท้จริง ชีวิตของเราย่อมไม่อาจเหมือนเดิมได้อีกต่อไป การประทับอยู่ของพระองค์เชิญชวนให้เราใช้ชีวิตแตกต่างออกไป—รักอย่างใจกว้างยิ่งขึ้น ให้อภัยง่ายขึ้น รับใช้ด้วยความถ่อมตน และหวังด้วยความกล้าหาญ

เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าเป็นเวลาของการเตรียมใจ เมื่อเราจุดเทียนทีละเล่ม เราไม่ได้เพียงนับวันเวลา แต่กำลังก้าวเข้าใกล้ “แสงสว่างของโลก” มากขึ้น ในวันอาทิตย์ที่ 4 นี้ ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูคริสต์มาส พระศาสนจักรเชื้อเชิญให้เราถามตนเองว่า
ฉันกำลังเตรียมใจต้อนรับเอมมานูเอลอย่างไร?
ฉันได้จัดพื้นที่ในโรงแรมแห่งจิตใจของฉันให้พระองค์แล้วหรือยัง หรือฉันปล่อยให้ความวุ่นวาย ความกังวล และความเห็นแก่ตัวเบียดพระองค์ออกไป?

อีกไม่นาน เราจะได้ยินอีกครั้งว่า มารีย์และโยเซฟไม่มีที่พักในโรงแรม แต่พวกเขาต้อนรับพระเยซูเจ้าด้วยความเชื่อและความรัก เราก็ได้รับเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน—ต้อนรับพระองค์ไม่ใช่แค่ในคำภาวนา แต่ในวิถีชีวิตและการกระทำของเรา

ในช่วงเวลานี้ เราถูกเชิญให้มองเห็นการประทับอยู่ของพระองค์ ไม่เพียงในศีลมหาสนิท แต่ในใบหน้าของคนยากจน ผู้โดดเดี่ยว ผู้เจ็บป่วย และผู้ถูกลืมเลือน  “เอมมานูเอล” หมายความว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเรา—ในทุกสถานการณ์ ในทุกคน และในทุกช่วงเวลา

เราจำเป็นต้องทำให้ความจริงที่ว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” เป็นสิ่งที่มีชีวิตในชีวิตประจำวันของเรา ให้การประทับอยู่ของพระองค์หล่อหลอมความคิด คำพูด และการกระทำของเรา เมื่อเราตื่นนอน เราเริ่มต้นด้วยความขอบคุณ เมื่อเราทำงาน เราดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ เมื่อเราพักผ่อน เราไว้วางใจในสันติสุขของพระองค์  เมื่อเราปฏิบัติความเมตตา การให้อภัย และความถ่อมตน เรากำลังสะท้อนความรักของพระองค์ และกิจวัตรธรรมดา ๆ ของเราก็จะกลายเป็นพยานอันงดงามถึงการประทับอยู่ของพระเจ้า

ขอให้สัปดาห์สุดท้ายของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ เตรียมเราไม่เพียงเพื่อฉลองวันคริสต์มาส แต่เพื่อพบกับพระคริสตเจ้าในทุก ๆ วัน ผู้ทรงประสูติใหม่ในชีวิตของเราเสมอ  และขอให้เรานำความยินดีของ “พระเจ้าสถิตกับเรา” ออกไปไกลกว่าฤดูกาลนี้ สู่ทุกวันตลอดทั้งปี เพื่อว่าโลกจะได้เชื่ออย่างแท้จริงว่า
พระเจ้าทรงอยู่กับเรา


วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ที่ 3 แห่งเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (Gaudete Sunday) พระวรสาร: มัทธิว 11:2–11

 

วันอาทิตย์ที่ 3 แห่งเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (Gaudete Sunday)
พระวรสาร: มัทธิว 11:2–11

Fr Clarence Devadass

วันนี้พระศาสนจักรเชิญชวนเราให้เฉลิมฉลอง วันอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี หรือ Gaudete ซึ่งแปลว่า “จงยินดีเถิดเครื่องแต่งกายสีชมพูเป็นสัญลักษณ์ว่า การเสด็จมาของพระผู้ไถ่ใกล้เข้ามาแล้ว แม้เทศกาลเตรียมรับเสด็จจะเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยอย่างสงบ แต่วันนี้เราถูกเชิญให้หยุดพัก สูดลมหายใจลึก ๆ และ ชื่นชมยินดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้เราแล้ว

นักบุญยอห์น ปอลที่ 2 เคยกล่าวว่า

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเพื่อความยินดี”

แต่ในชีวิตจริง ความยินดีกลับดูเหมือนอยู่ไกลเหลือเกิน เรามีความกังวลมากมาย—เรื่องงาน เงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ บางครั้งเรารู้สึกว่าความยินดีเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของเรา หรือพอเริ่มมีความสุข มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ความจริงคือ ความยินดีไม่ใช่สิ่งที่เราผลิตขึ้นเองได้ แต่เป็น ของประทานจากพระเจ้า ที่มีรากฐานมาจากการที่พระองค์ทรงอยู่กับเรา

ในพระวรสารวันนี้ (มธ 11:2–11) เราเห็นว่าผู้คนในสมัยนั้น ยอมรับทั้งยอห์นผู้ทำพิธีล้างและพระเยซูเจ้าได้ยาก
ยอห์นดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัด คนก็ว่าเขาเข้มงวดเกินไป
พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะ กินดื่มกับผู้คน ก็ถูกมองว่าปล่อยตัวเกินไป
แต่พระเยซูเจ้ากลับตรัสยกย่องว่า ไม่เคยมีใครยิ่งใหญ่ไปกว่ายอห์นผู้ทำพิธีล้าง”

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ยอห์นหรือพระเยซูเจ้า แต่อยู่ที่ หัวใจของผู้คนที่ปิดตาย เมื่อหัวใจปิด ความยินดีก็เข้าไม่ได้ บางครั้งเราก็เป็นเช่นนั้น—ไม่พอใจง่าย กระสับกระส่าย และคิดว่าต้องให้ทุกอย่าง “ลงตัวก่อน” จึงจะยอมมีความสุข
แต่ความยินดี ไม่ได้เกิดจากเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบ หากเกิดจาก ความกตัญญูรู้คุณ และการมองเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน

หลายครั้งเราคิดว่าความสุขมาจากสิ่งที่เรามี แต่ความตื่นเต้นจากของใหม่—โทรศัพท์ รถ ตำแหน่งงาน—มักอยู่ได้ไม่นาน
ความยินดีแท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่ว่าเราเป็นของใคร และเรานั้น เป็นของพระเจ้า นี่คือแหล่งที่มาลึกที่สุดของความยินดี

ความยินดีจึงเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุดของ ความกตัญญูรู้คุณ เมื่อใกล้สิ้นปี เป็นเวลาที่ดีที่จะหยุดทบทวนพระพรที่เราอาจมองข้าม แม้ปีนี้อาจมีความผิดหวังหรือการสูญเสีย และไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
แต่ความกตัญญูช่วยให้เราเห็นของประทานที่มีอยู่เสมอ—คนที่รักเรา อาหารบนโต๊ะ เสียงหัวเราะ ความงามของโลก พระอาทิตย์ขึ้น ฝนที่ตก ลมหายใจในปอดของเรา
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็น สัญญาณแห่งความรักของพระเจ้า และเมื่อเรามองเห็น ความยินดีก็เริ่มเติบโต

พระเยซูเจ้าตรัสในยอห์น 15:11 ว่า

เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่อความยินดีของเราจะอยู่ในท่าน และความยินดีของท่านจะครบสมบูรณ์”

พระองค์เสด็จมาไม่เพียงเพื่อสอนหรือรักษา แต่เพื่อ แบ่งปันความยินดีของพระองค์แก่เรา
ไม่ใช่ความสุขผิวเผินที่มาแล้วไป แต่เป็น ความยินดีลึกซึ้งและมั่นคง ที่ยืนยันว่าเราถูกรักโดยพระเจ้า ความยินดีนี้ยังคงอยู่แม้ชีวิตจะยากลำบาก—ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว การเงิน สุขภาพ หรือภาระใจใด ๆ
เพราะมันคือความมั่นใจว่า พระเจ้าทรงเดินเคียงข้างเรา และเราไม่เคยโดดเดี่ยว

เทศกาลเตรียมรับเสด็จเป็นการรอคอยที่เปี่ยมด้วยความหวัง สีชมพูในวันนี้บอกเราว่า ความมืดกำลังจางหาย และความยินดีกำลังใกล้เข้ามา
ความยินดีไม่ใช่การมองโลกสวยอย่างไร้เดียงสา แต่เป็น ผลของความเชื่อความไว้วางใจว่าพระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระสัญญาของพระองค์เป็นจริง และความรักของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดไป

วันนี้เราจึงถามตนเองได้ว่า
เรามองหาความยินดีจากที่ใด? จากทรัพย์สิน ความสำเร็จ หรือการยอมรับจากผู้อื่น
หรือจาก ความกตัญญู และการมองเห็น การประทับอยู่ของพระเจ้า ในช่วงเวลาธรรมดา ๆ ของแต่ละวัน

เมื่อคริสต์มาสใกล้เข้ามา ขอให้เราใช้เวลาไตร่ตรองพระพร ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้คนและของประทานในชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใด ชื่นชมยินดีในของประทานยิ่งใหญ่ที่สุด—พระเยซูคริสตเจ้า ผู้เสด็จมาอยู่ท่ามกลางเรา
ขอให้ความยินดีของพระองค์เติมเต็มหัวใจของเรา และให้ความยินดีของเราครบสมบูรณ์
จงยินดีเถิด พระเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว!

 


วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ที่ 2 แห่งเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (7 ธันวาคม 2025)

 

วันอาทิตย์ที่ 2 แห่งเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (7 ธันวาคม 2025)

พระวรสาร: มัทธิว 3:1-12

ในวันอาทิตย์ที่สองแห่งเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า บุคคลสำคัญในพระวรสารคือ ยอห์น บัปติสต์ ผู้เป็นประกาศกที่เร่าร้อนกลางถิ่นทุรกันดาร เสียงเรียกของเขายังดังก้องมาถึงเราวันนี้ว่า
จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางของพระองค์ให้ตรงเถิด”

แม้ว่าเรามักมองเทศกาลมหาพรตว่าเป็นฤดูของการกลับใจ แต่แท้จริงแล้ว Advent ก็เป็นช่วงเวลาที่เชิญชวนให้เราตื่นตัว ฟื้นฟูจิตใจ และเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นเดียวกัน

ยอห์นเตือนเราว่า การต้อนรับพระคริสตเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับพิธีกรรมหรือการเฉลิมฉลองภายนอกเท่านั้น แต่เริ่มจาก การเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ Advent เป็นฤดูกาลแห่งความหวังและการรอคอยอย่างยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่เชิญชวนให้เราตรวจสอบชีวิต ขจัดความหยิ่งยโส ความเห็นแก่ตัว และความไม่เอาใจใส่ผู้อื่น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ขวางกั้นพระเจ้าไม่ให้เสด็จมาถึงเราอย่างเต็มที่

เมื่อเราจุดเทียน Advent และเตรียมต้อนรับการประสูติของพระเยซูเจ้า ยอห์นบอกเราว่า เราไม่เพียงแต่ต้องเตรียม “บ้านของเรา” แต่ต้องเตรียม “ดวงใจของเรา” ด้วย เพื่อให้พระเจ้าทรงพบทางตรงและเปิดกว้างเข้าสู่ชีวิตของเรา

อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายในช่วงปลายปีมักทำให้เรามองไม่เห็นความหมายที่ลึกซึ้งของ Advent และคริสต์มาส หากเราไม่ระวัง เราอาจพลาด “พระคริสต์” ผู้เป็นศูนย์กลางของเทศกาลนี้ไปได้ Advent จึงเรียกให้เราหยุดชั่วครู่ มองด้วยสายตาที่ชัดเจนขึ้น และเปิดใจให้แสงของพระเจ้าส่องเข้ามา

Advent: ช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้และมองเห็นพระเจ้าที่ทรงเข้าใกล้เราอย่างแผ่วเบา

Advent เป็นฤดูกาลที่เชื้อเชิญให้เราใส่ใจในวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่พระเจ้าทรงใกล้ชิดกับเรา เพื่อเตรียมใจให้พร้อม เราจึงต้องขอให้พระองค์รักษา “ความบอด” บางอย่างที่อยู่ในใจเรา

1. ความบอดจากแสงไฟคริสต์มาสที่สว่างจ้า

ไฟประดับและการตกแต่งสวยงามเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งความสว่างภายนอกอาจบดบัง “ความสว่างแท้จริง” ของพระคริสตเจ้า แสงของพระองค์ไม่ได้มาในรูปแบบที่ฉูดฉาด แต่ผ่าน ความเรียบง่าย ความรัก และความเชื่อ

ถ้าเรามัวแต่มองความระยิบระยับภายนอก เราอาจพลาดพระเยซูผู้ถ่อมตน Advent ชวนให้เรามองลึกกว่าแสงไฟ และค้นพบการประทับอยู่ของพระองค์อย่างอ่อนโยน

2. ความบอดจากความเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ของคริสต์มาส

ครั้งหนึ่ง มีผู้นับถือศาสนาอื่นพูดต่อหน้าผู้ฟังหลายร้อยคนว่า
ผมชอบคริสต์มาสมาก เพราะเป็นช่วงเวลาช้อปปิ้งที่ดีที่สุด!”

คำพูดนี้สะท้อนโลกสมัยใหม่ที่มักทำให้คริสต์มาสกลายเป็นเพียงฤดูช้อปปิ้ง แต่ Advent ไม่ใช่ฤดูกาลของการซื้อของ
ไม่ใช่เวลาสำหรับความฟุ่มเฟือยหรือความต้องการไม่รู้จบ

Advent เป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งการเตรียมใจ
เพื่อโฟกัสไปที่ พระคริสตเจ้า
เพื่อทำให้หัวใจพร้อมต้อนรับพระองค์
และเพื่อกลับไปสู่ความเรียบง่ายและความเชื่ออันลึกซึ้ง

3. ความบอดจากความเฉยเมย

คริสต์มาสอาจกลายเป็นช่วงเวลาที่เรามัวยุ่งกับการเฉลิมฉลองจนลืมมองเห็นผู้ที่กำลังเจ็บปวดรอบตัวเรา

หลายคนกำลังแบกรับความเหงา ความยากจน ความสูญเสีย หรือความทุกข์จากเหตุการณ์โศกเศร้าทั่วโลก หากเราไม่เห็นความเจ็บปวดของเขา เราก็อาจมองไม่เห็น พระคริสต์ที่ประทับอยู่ในตัวเขา เช่นกัน

Advent เชิญชวนเราให้เปิดใจ มองเห็นผู้อื่น ใส่ใจ และแบ่งปันความรักอย่างจริงใจ

4. ความบอดจากความเร่งรีบวุ่นวาย

หลายคนพูดว่า “ปีนี้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
ใช่—ในความเร่งรีบของชีวิต เราอาจลืมให้เวลากับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ลูก คู่สมรส พี่น้อง หรือเพื่อนที่เรารัก

เราบางคนอาจเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวที่ดี แต่กลับไม่เคย “อยู่ด้วยใจ” กับคนที่เรารักจริงๆ Advent จึงเชิญให้เราชะลอการก้าวเดิน เพื่อค้นพบของขวัญแห่ง “การอยู่ด้วยกัน” อีกครั้ง

เพราะเวลาที่เราให้กับคนที่เรารัก ไม่เคยเป็นเวลาที่สูญเปล่า แต่เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงส่องแสงเข้ามาอย่างงดงามที่สุด

บทสรุป: ให้พระคริสตเจ้าทรงเปิดตาใจเราอีกครั้ง

ขณะที่เราเดินทางผ่านฤดูกาลนี้ ขอให้พระคริสตเจ้าทรงเปิดดวงตาใจเรา ให้เราเห็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ—
แสงของพระองค์ท่ามกลางเสียงรบกวน
ความรักอันอ่อนโยนท่ามกลางความวุ่นวาย
และความหวังของพระองค์ท่ามกลางความเจ็บปวดของโลก

เมื่อดวงตาใจของเราเปิดออกแล้ว เราจะเข้าสู่วันคริสต์มาสด้วยหัวใจที่ได้รับการฟื้นฟูใหม่ พร้อมต้อนรับพระองค์ด้วยความชัดเจน ความกตัญญู และความตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระองค์ใกล้เราตลอดเวลา


วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (30 พฤศจิกายน 2025)

 

วันอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (30 พฤศจิกายน 2025)
พระวรสาร: มัทธิว 24:37-44
คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

หากจะมีฤดูกาลหนึ่งในปฏิทินพิธีกรรมของพระศาสนจักรที่มักถูกมองข้าม ก็คงเป็น “เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า” หรือ Advent เพราะเมื่อเทศกาลนี้เริ่มขึ้น โลกภายนอกก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงไฟคริสต์มาสเสียแล้ว  ตามท้องถนนมีการประดับตกแต่ง เสียงเพลงคริสต์มาสดังก้องไปทุกแห่งหน และหลายคนก็ถูกดึงเข้าสู่ความเร่งรีบของการจับจ่าย เตรียมงาน และกิจกรรมปลายปี  ท่ามกลางเสียงอึกทึกเหล่านี้ Advent จึงเหมือนเป็นเสียงเบา ๆ ที่พยายามจะให้เราได้ยิน

แต่พระศาสนจักรมอบสัปดาห์ทั้งสี่นี้แก่เราอย่างมีความหมาย  Advent ไม่ใช่เพียงห้องรอคอยก่อนถึงวันคริสต์มาส หากเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชวนเราเตรียมใจให้พร้อม เป็นช่วงเวลาที่ชะลอฝีเท้าเราให้ช้าลง และค่อย ๆ เชิญให้เราก้าวออกจากความวุ่นวาย เพื่อกลับไปหาสิ่งที่สำคัญจริง ๆ

Advent สอนเราให้รอคอยด้วย “ความหวัง” ไม่ใช่ความหงุดหงิด มันเตือนเราว่าพระเจ้ามักเสด็จมาอย่างแผ่วเบา คาดไม่ถึง และเราจำเป็นต้องมีความสงบภายในเพื่อจะมองเห็นพระองค์
ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ เราถูกเชื้อเชิญให้

มอง “ย้อนกลับ”—ระลึกถึงความหวังยาวนานของประชากรอิสราเอลต่อพระเมสสิยาห์;
มอง “ภายใน”—พิจารณาใจของตนเองและเปิดพื้นที่ให้พระคริสต์ประทับ;
และมอง “ไปข้างหน้า”—โหยหาการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์

ด้วยเหตุนี้ Advent จึงเป็นฤดูกาลแห่งการทบทวนตนเองอย่างจริงใจ การภาวนาที่ลึกซึ้งขึ้น และการวางใจในความซื่อสัตย์ของพระเจ้าอีกครั้ง
ในโลกที่เร่งเร้าให้เรารีบเร่ง  Advent สอนให้เราหายใจช้า ๆ
ในวัฒนธรรมที่เน้นการซื้อ  Advent เชื้อเชิญเราให้ “รับ”
ท่ามกลางเสียงดังรอบตัว  Advent มอบ “ความสงบนิ่งอันศักดิ์สิทธิ์” ให้

เมื่อเราเข้าสู่เทศกาลนี้ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง คริสต์มาสจะไม่ใช่เพียงงานเฉลิมฉลอง แต่จะกลายเป็น “การพบปะพระเจ้า” ผู้เสด็จมาพำนักอยู่ท่ามกลางเรา

พระวรสารวันนี้นำเราเข้าสู่จิตตารมณ์ของ Advent อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยคำเตือนให้เรามีใจ “ตื่นเฝ้า” พระเยซูเจ้าตรัสเตือนบรรดาศิษย์ว่า เช่นเดียวกับผู้คนในสมัยโนอาห์ที่ดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่ตระหนักว่ามีเหตุการณ์สำคัญกำลังเกิดขึ้น เราเองก็อาจหลงอยู่ในความเคยชิน ความสะดวกสบาย หรือความกังวลจนมองไม่เห็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้  Advent จึงเข้ามาเขย่าเราด้วยความอ่อนโยนเพื่อให้เราตื่นขึ้น

การตื่นเฝ้านี้ไม่ได้หมายถึงความกลัว แต่คือการเตรียมพร้อม—ความไวต่อการเคลื่อนไหวอันเงียบงามของพระเจ้าในชีวิต  มันหมายถึงการมีสติในแต่ละวัน เปิดตาและเปิดใจต่อโอกาสแห่งความรัก การให้อภัย และการรับใช้

Advent ท้าทายเราให้ “ตื่นฝ่ายจิต”—หยุดฟัง นิ่งดู และเปิดพื้นที่ให้พระคริสต์เจ้า  และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราจะพบว่าการเสด็จมาของพระองค์ไม่ได้อยู่ไกล พระองค์กำลังก่อรูปหัวใจเรา ฟื้นฟูความหวังเรา และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับความชื่นชมยินดีแห่งคริสต์มาสที่จะมาถึง

ขอให้ทุกท่านมี เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าที่เปี่ยมพระพรครับ.


วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

 

สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล (23 พฤศจิกายน 2025)

พระวรสาร: ลูกา 23:35–43
โดย Fr. Clarence Devadass

วันนี้ เรามารวมตัวกันด้วยจิตตารมณ์แห่งความสง่าและความชื่นชมยินดีเป็นพิเศษ เนื่องในสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ซึ่งปีนี้มีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี ของการสถาปนาสมโภชนี้โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 เมื่อปี ค.ศ.1925

ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา โลกของเราได้เห็นลัทธิอุดมการณ์เกิดขึ้นและล่มสลาย ประเทศต่าง ๆ เจริญรุ่งเรืองแล้วก็เสื่อมถอย ผู้นำมากมายผ่านเข้ามาและจากไป แต่ พระราชาเพียงองค์เดียวผู้ยืนหยัดมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง คือพระคริสตเจ้า
พระอำนาจของพระองค์ยังคงเกี่ยวข้องกับโลกทุกยุคสมัย และไม่เคยหมดความหมายเลย

แม้วันนี้ โลกของเรายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความสับสนทางวัฒนธรรม และความแตกแยก เสียงต่างๆ พยายามเรียกร้องให้เรายอมจำนนและติดตาม แต่พระศาสนจักรเชิญเราให้ยกดวงตาขึ้นเหนือสิ่งเหล่านี้ และเพ่งมองไปยัง พระราชานิรันดร ผู้ประทับบนราชบัลลังก์แห่งไม้กางเขน และทรงสวมมงกุฎแห่งความรัก  พระวรสารนำเราไปยังเชิงไม้กางเขน—ราชบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า  ฉากในพระวรสารเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ประชาชน ผู้นำที่เยาะเย้ย ทหารที่เย้ยหยัน และอาชญากรคนหนึ่งต่างมองดูพระเยซูเจ้าอย่างดูแคลน ป้ายเหนือพระเศียรที่ตั้งใจเขียนเพื่อดูหมิ่นว่า
นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว” กลับกลายเป็น การประกาศความจริงของพระเจ้า

พระเยซูทรงเปิดเผยความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยการช่วยตัวเองให้พ้นจากความทรมาน แต่ด้วย การทรงยอมอยู่บนกางเขนเพราะรักมนุษย์ทุกคน
อาณาจักรของพระองค์ไม่ตั้งอยู่บนอำนาจบังคับ แต่ตั้งอยู่บน พระเมตตา
พระราชอำนาจของพระองค์ไม่ใช่การหลบหนีทุกข์ แต่คือ การแบกทุกข์เพื่อไถ่มนุษย์

ท่ามกลางความมืดนั้น มีแสงหนึ่งส่องประกายอย่างงดงาม— คือคำอธิษฐานของโจรกลับใจ:
พระเยซูเจ้าข้า เมื่อพระองค์เสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์ ขอทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเถิด”

เขามองเห็นความจริงที่คนอื่นมองไม่เห็น ไม่ใช่พระเมสสิยาห์ที่ล้มเหลว แต่เป็น พระมหากษัตริย์ผู้ทรงไถ่กู้
และพระเยซูเจ้าทรงตอบด้วยพระทัยกว้างใหญ่ของกษัตริย์แท้จริงว่า: วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์”

ในประโยคนี้เอง หัวใจของพระอาณาจักรพระคริสต์เจ้าถูกเปิดเผยออกมา—
พระราชาแห่ง ความกรุณา การให้อภัย และความหวังนิรันดร

แต่การประกาศนี้จะมีความหมายได้อย่างไร หากไม่สัมผัสชีวิตของเรา?

การให้พระคริสต์เจ้าเป็นกษัตริย์ในชีวิตประจำวันหมายถึงอะไร?

1. ให้ความจริงของพระองค์นำทางเรา

ต้องใช้ความกล้าหาญในการยืนหยัดในความถูกต้อง ไม่ประนีประนอมกับค่านิยมที่บิดเบือน และแสวงหาปรีชาญาณมากกว่าความสบายใจ

2. ให้ความรักของพระองค์กำกับความสัมพันธ์ของเรา

อาณาจักรของพระเยซูคืออาณาจักรแห่งความรักและความเมตตา
การเลือกให้อภัยแทนการผูกโกรธ
เลือกความอดทนแทนความหงุดหงิด
เลือกการให้แทนการยึดติด
ทำให้พระองค์ได้ครองใจเรา

3. มอบความกลัวและความกังวลไว้กับพระองค์

เรามักยึดติดกับความกังวลต่าง ๆ แต่พระคริสต์ผู้เป็นราชาเชิญเราให้วางใจ เหมือนโจรกลับใจที่มอบวาระสุดท้ายของชีวิตไว้ในพระหัตถ์พระเยซูเจ้า

4. ดำเนินชีวิตด้วยความหวัง

เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยความหวัง เราก็เป็นพยานถึงพระอาณาจักร เป็นเทียนที่ส่องแสงถึงความหมายแท้จริงที่โลกกำลังโหยหา

บทสรุป

ในสมโภชพระคริสตเจ้ามหากษัตริย์นี้
ขอให้ ความจริงของพระองค์ดลใจเรา
ความรักของพระองค์แปรเปลี่ยนเรา
สันติของพระองค์หนุนกำลังเรา
และความหวังของพระองค์พาเราก้าวเดินต่อไป

เมื่อเราเข้าสู่ปีพิธีกรรมใหม่ ขอให้เรามั่นใจว่า
พระราชาผู้ทรงครองตลอดนิรันดร์ ยังทรงเดินเคียงข้างเราทุกวัน

พระคริสต์เจ้า กษัตริย์ของเรา—เมื่อวาน วันนี้ และตลอดไป
อาเมน

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา (16 พ.ย. 2025) บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 21:5-19

 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา (16 พ.ย. 2025)
บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 21:5-19
โดย Fr. Clarence Devadass

พระวรสารวันนี้อาจฟังดูน่าหวั่นใจ เพราะพระเยซูเจ้าตรัสถึงความพินาศ ความขัดแย้ง และการเบียดเบียน ซึ่งไม่ใช่ถ้อยคำปลอบใจที่เราคาดหวังจะได้ยินก่อนเข้าสู่เทศกาลเตรียมรับเสด็จ (Advent) แต่พระเยซูเจ้ามิได้ต้องการทำให้เรากลัว พระองค์ต้องการ “ปลุกเราให้ตื่น”

ขณะที่ศิษย์กำลังชื่นชมความงดงามของพระวิหาร—ซึ่งถือเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุคนั้น—พระเยซูเจ้ากลับบอกพวกเขาว่า “อย่ายึดติดเกินไป… สิ่งนี้จะพังทลายลงหมด”

ลองจินตนาการว่ามีใครมาบอกเราต่อหน้าบ้านที่เราภูมิใจและทุ่มเทเพื่อให้ได้มา ว่า “สักวันหนึ่งมันก็จะไม่อยู่แล้ว” บางคนอาจหัวเราะ บางคนอาจสะเทือนใจหรือโกรธ เพราะบ้าน ทรัพย์สิน ความสำเร็จที่เราสร้างมา ทำให้เรารู้สึกมั่นคงและปลอดภัย

แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์—และกับเรา—ว่าสิ่งที่เป็นของโลกนี้ แม้จะงดงามเพียงใด ก็ไม่สามารถให้ความมั่นคงแท้จริงแก่เราได้ ไม่ใช่พระวิหาร ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง ทุกสิ่งทางโลกนั้นเปราะบางและชั่วคราว

พระองค์ไม่ได้พูดเพื่อทำให้เราท้อใจ แต่เพื่อปลดปล่อยเราให้เรายกสายตาขึ้นเหนือสิ่งที่ชั่วคราว และวางรากฐานชีวิตไว้บนสิ่งที่ยั่งยืนแท้จริง คือ “ความเชื่อในพระเจ้า” ความจริงข้อนี้จะนำความสงบมาสู่ใจแม้ในช่วงเวลาที่โลกสั่นคลอน

ยิ่งเราเข้าใกล้เทศกาลเตรียมรับเสด็จ บทอ่านก็ยิ่งชี้นำใจเราให้หันจากสิ่งที่ดึงเราออกห่าง และกลับไปมองพระคริสตเจ้า ผู้เป็นความหวังและความสมบูรณ์แท้จริงของชีวิต

เพราะเมื่อใจของเรายึดอยู่กับพระคริสตเจ้า สัญญาของโลกก็หมดความน่าหลงใหล โลกบอกเราว่า ความร่ำรวยทำให้มีความสุข ความสำเร็จทำให้เรามีคุณค่า ความสุขทางประสาทสัมผัสโดยไม่ต้องรับผิดชอบจะทำให้เราพอใจ หรือเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้ และสุดท้ายเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องการพระเจ้า ข้อความเหล่านี้ดูน่าเชื่อ แต่แท้จริงเป็นเพียงภาพลวงตา—จางหาย ผิดหวัง และทำให้ใจว่างเปล่า

พระเยซูเจ้าประทานสิ่งที่ดีกว่านั้นมาก
แทนการแสวงหารวยล้นฟ้า พระองค์ประทาน “ทรัพย์สมบัตินิรันดร”
แทนอำนาจ พระองค์ประทาน “ความยินดีและอิสระในจิตใจจากการรับใช้ด้วยความถ่อมตน”
แทนความสุขชั่ววูบ พระองค์ประทาน “ความยินดีถาวรในพระองค์”
แทนความหวังเกินจริงในความก้าวหน้าของมนุษย์ล้วน ๆ พระองค์ประทาน “ความหวังนิรันดรที่ไม่ผันแปร”
แทนความพยายามพึ่งตนเอง พระองค์เชื้อเชิญเราเข้าสู่ “ความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระเจ้า”

พระองค์เตือนเราว่า สิ่งใดที่เรายึดติดในโลกนี้ วันหนึ่งจะถูกพรากไป แต่สิ่งที่เรามอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป

พระวรสารวันนี้ไม่ใช่เรื่องความพินาศ แต่เป็นเรื่อง “รากฐาน”
พระเยซูเจ้าทรงถามเราว่า “ความมั่นคงของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าสร้างชีวิตของเจ้าบนอะไร?” หากเราเอาชีวิตไปผูกไว้กับเงินทอง ความสำเร็จ อำนาจ หรือความสุขชั่วคราว สิ่งเหล่านั้นจะพังลงในวันที่มีพายุชีวิต แต่ถ้าเราสร้างบนพระคริสต์—ความจริง ความรัก และการประทับอยู่ของพระองค์—ชีวิตเราจะยืนมั่นแม้เจอความท้าทาย

ขอให้เราขอพระเจ้าโปรดประทานความกล้าหาญที่จะวางมือจากสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และจับมั่นในสิ่งที่เป็นนิรันดร: ความเชื่อ ความหวัง และความรัก
และขอให้เราไม่ฝากใจไว้ในสัญญาเลื่อนลอยของโลก แต่ยึดมั่นในพระสัญญาแท้จริงของพระวรสารว่า พระคริสต์กำลังเสด็จมา และในพระองค์ เราพบความสุขแท้จริงของชีวิต”