วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (30 พฤศจิกายน 2025)

 

วันอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (30 พฤศจิกายน 2025)
พระวรสาร: มัทธิว 24:37-44
คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

หากจะมีฤดูกาลหนึ่งในปฏิทินพิธีกรรมของพระศาสนจักรที่มักถูกมองข้าม ก็คงเป็น “เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า” หรือ Advent เพราะเมื่อเทศกาลนี้เริ่มขึ้น โลกภายนอกก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงไฟคริสต์มาสเสียแล้ว  ตามท้องถนนมีการประดับตกแต่ง เสียงเพลงคริสต์มาสดังก้องไปทุกแห่งหน และหลายคนก็ถูกดึงเข้าสู่ความเร่งรีบของการจับจ่าย เตรียมงาน และกิจกรรมปลายปี  ท่ามกลางเสียงอึกทึกเหล่านี้ Advent จึงเหมือนเป็นเสียงเบา ๆ ที่พยายามจะให้เราได้ยิน

แต่พระศาสนจักรมอบสัปดาห์ทั้งสี่นี้แก่เราอย่างมีความหมาย  Advent ไม่ใช่เพียงห้องรอคอยก่อนถึงวันคริสต์มาส หากเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชวนเราเตรียมใจให้พร้อม เป็นช่วงเวลาที่ชะลอฝีเท้าเราให้ช้าลง และค่อย ๆ เชิญให้เราก้าวออกจากความวุ่นวาย เพื่อกลับไปหาสิ่งที่สำคัญจริง ๆ

Advent สอนเราให้รอคอยด้วย “ความหวัง” ไม่ใช่ความหงุดหงิด มันเตือนเราว่าพระเจ้ามักเสด็จมาอย่างแผ่วเบา คาดไม่ถึง และเราจำเป็นต้องมีความสงบภายในเพื่อจะมองเห็นพระองค์
ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ เราถูกเชื้อเชิญให้

มอง “ย้อนกลับ”—ระลึกถึงความหวังยาวนานของประชากรอิสราเอลต่อพระเมสสิยาห์;
มอง “ภายใน”—พิจารณาใจของตนเองและเปิดพื้นที่ให้พระคริสต์ประทับ;
และมอง “ไปข้างหน้า”—โหยหาการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์

ด้วยเหตุนี้ Advent จึงเป็นฤดูกาลแห่งการทบทวนตนเองอย่างจริงใจ การภาวนาที่ลึกซึ้งขึ้น และการวางใจในความซื่อสัตย์ของพระเจ้าอีกครั้ง
ในโลกที่เร่งเร้าให้เรารีบเร่ง  Advent สอนให้เราหายใจช้า ๆ
ในวัฒนธรรมที่เน้นการซื้อ  Advent เชื้อเชิญเราให้ “รับ”
ท่ามกลางเสียงดังรอบตัว  Advent มอบ “ความสงบนิ่งอันศักดิ์สิทธิ์” ให้

เมื่อเราเข้าสู่เทศกาลนี้ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง คริสต์มาสจะไม่ใช่เพียงงานเฉลิมฉลอง แต่จะกลายเป็น “การพบปะพระเจ้า” ผู้เสด็จมาพำนักอยู่ท่ามกลางเรา

พระวรสารวันนี้นำเราเข้าสู่จิตตารมณ์ของ Advent อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยคำเตือนให้เรามีใจ “ตื่นเฝ้า” พระเยซูเจ้าตรัสเตือนบรรดาศิษย์ว่า เช่นเดียวกับผู้คนในสมัยโนอาห์ที่ดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่ตระหนักว่ามีเหตุการณ์สำคัญกำลังเกิดขึ้น เราเองก็อาจหลงอยู่ในความเคยชิน ความสะดวกสบาย หรือความกังวลจนมองไม่เห็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้  Advent จึงเข้ามาเขย่าเราด้วยความอ่อนโยนเพื่อให้เราตื่นขึ้น

การตื่นเฝ้านี้ไม่ได้หมายถึงความกลัว แต่คือการเตรียมพร้อม—ความไวต่อการเคลื่อนไหวอันเงียบงามของพระเจ้าในชีวิต  มันหมายถึงการมีสติในแต่ละวัน เปิดตาและเปิดใจต่อโอกาสแห่งความรัก การให้อภัย และการรับใช้

Advent ท้าทายเราให้ “ตื่นฝ่ายจิต”—หยุดฟัง นิ่งดู และเปิดพื้นที่ให้พระคริสต์เจ้า  และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราจะพบว่าการเสด็จมาของพระองค์ไม่ได้อยู่ไกล พระองค์กำลังก่อรูปหัวใจเรา ฟื้นฟูความหวังเรา และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับความชื่นชมยินดีแห่งคริสต์มาสที่จะมาถึง

ขอให้ทุกท่านมี เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าที่เปี่ยมพระพรครับ.


วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

 

สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล (23 พฤศจิกายน 2025)

พระวรสาร: ลูกา 23:35–43
โดย Fr. Clarence Devadass

วันนี้ เรามารวมตัวกันด้วยจิตตารมณ์แห่งความสง่าและความชื่นชมยินดีเป็นพิเศษ เนื่องในสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ซึ่งปีนี้มีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี ของการสถาปนาสมโภชนี้โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 เมื่อปี ค.ศ.1925

ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา โลกของเราได้เห็นลัทธิอุดมการณ์เกิดขึ้นและล่มสลาย ประเทศต่าง ๆ เจริญรุ่งเรืองแล้วก็เสื่อมถอย ผู้นำมากมายผ่านเข้ามาและจากไป แต่ พระราชาเพียงองค์เดียวผู้ยืนหยัดมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง คือพระคริสตเจ้า
พระอำนาจของพระองค์ยังคงเกี่ยวข้องกับโลกทุกยุคสมัย และไม่เคยหมดความหมายเลย

แม้วันนี้ โลกของเรายังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความสับสนทางวัฒนธรรม และความแตกแยก เสียงต่างๆ พยายามเรียกร้องให้เรายอมจำนนและติดตาม แต่พระศาสนจักรเชิญเราให้ยกดวงตาขึ้นเหนือสิ่งเหล่านี้ และเพ่งมองไปยัง พระราชานิรันดร ผู้ประทับบนราชบัลลังก์แห่งไม้กางเขน และทรงสวมมงกุฎแห่งความรัก  พระวรสารนำเราไปยังเชิงไม้กางเขน—ราชบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า  ฉากในพระวรสารเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ประชาชน ผู้นำที่เยาะเย้ย ทหารที่เย้ยหยัน และอาชญากรคนหนึ่งต่างมองดูพระเยซูเจ้าอย่างดูแคลน ป้ายเหนือพระเศียรที่ตั้งใจเขียนเพื่อดูหมิ่นว่า
นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว” กลับกลายเป็น การประกาศความจริงของพระเจ้า

พระเยซูทรงเปิดเผยความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยการช่วยตัวเองให้พ้นจากความทรมาน แต่ด้วย การทรงยอมอยู่บนกางเขนเพราะรักมนุษย์ทุกคน
อาณาจักรของพระองค์ไม่ตั้งอยู่บนอำนาจบังคับ แต่ตั้งอยู่บน พระเมตตา
พระราชอำนาจของพระองค์ไม่ใช่การหลบหนีทุกข์ แต่คือ การแบกทุกข์เพื่อไถ่มนุษย์

ท่ามกลางความมืดนั้น มีแสงหนึ่งส่องประกายอย่างงดงาม— คือคำอธิษฐานของโจรกลับใจ:
พระเยซูเจ้าข้า เมื่อพระองค์เสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์ ขอทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเถิด”

เขามองเห็นความจริงที่คนอื่นมองไม่เห็น ไม่ใช่พระเมสสิยาห์ที่ล้มเหลว แต่เป็น พระมหากษัตริย์ผู้ทรงไถ่กู้
และพระเยซูเจ้าทรงตอบด้วยพระทัยกว้างใหญ่ของกษัตริย์แท้จริงว่า: วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์”

ในประโยคนี้เอง หัวใจของพระอาณาจักรพระคริสต์เจ้าถูกเปิดเผยออกมา—
พระราชาแห่ง ความกรุณา การให้อภัย และความหวังนิรันดร

แต่การประกาศนี้จะมีความหมายได้อย่างไร หากไม่สัมผัสชีวิตของเรา?

การให้พระคริสต์เจ้าเป็นกษัตริย์ในชีวิตประจำวันหมายถึงอะไร?

1. ให้ความจริงของพระองค์นำทางเรา

ต้องใช้ความกล้าหาญในการยืนหยัดในความถูกต้อง ไม่ประนีประนอมกับค่านิยมที่บิดเบือน และแสวงหาปรีชาญาณมากกว่าความสบายใจ

2. ให้ความรักของพระองค์กำกับความสัมพันธ์ของเรา

อาณาจักรของพระเยซูคืออาณาจักรแห่งความรักและความเมตตา
การเลือกให้อภัยแทนการผูกโกรธ
เลือกความอดทนแทนความหงุดหงิด
เลือกการให้แทนการยึดติด
ทำให้พระองค์ได้ครองใจเรา

3. มอบความกลัวและความกังวลไว้กับพระองค์

เรามักยึดติดกับความกังวลต่าง ๆ แต่พระคริสต์ผู้เป็นราชาเชิญเราให้วางใจ เหมือนโจรกลับใจที่มอบวาระสุดท้ายของชีวิตไว้ในพระหัตถ์พระเยซูเจ้า

4. ดำเนินชีวิตด้วยความหวัง

เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยความหวัง เราก็เป็นพยานถึงพระอาณาจักร เป็นเทียนที่ส่องแสงถึงความหมายแท้จริงที่โลกกำลังโหยหา

บทสรุป

ในสมโภชพระคริสตเจ้ามหากษัตริย์นี้
ขอให้ ความจริงของพระองค์ดลใจเรา
ความรักของพระองค์แปรเปลี่ยนเรา
สันติของพระองค์หนุนกำลังเรา
และความหวังของพระองค์พาเราก้าวเดินต่อไป

เมื่อเราเข้าสู่ปีพิธีกรรมใหม่ ขอให้เรามั่นใจว่า
พระราชาผู้ทรงครองตลอดนิรันดร์ ยังทรงเดินเคียงข้างเราทุกวัน

พระคริสต์เจ้า กษัตริย์ของเรา—เมื่อวาน วันนี้ และตลอดไป
อาเมน

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา (16 พ.ย. 2025) บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 21:5-19

 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา (16 พ.ย. 2025)
บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 21:5-19
โดย Fr. Clarence Devadass

พระวรสารวันนี้อาจฟังดูน่าหวั่นใจ เพราะพระเยซูเจ้าตรัสถึงความพินาศ ความขัดแย้ง และการเบียดเบียน ซึ่งไม่ใช่ถ้อยคำปลอบใจที่เราคาดหวังจะได้ยินก่อนเข้าสู่เทศกาลเตรียมรับเสด็จ (Advent) แต่พระเยซูเจ้ามิได้ต้องการทำให้เรากลัว พระองค์ต้องการ “ปลุกเราให้ตื่น”

ขณะที่ศิษย์กำลังชื่นชมความงดงามของพระวิหาร—ซึ่งถือเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุคนั้น—พระเยซูเจ้ากลับบอกพวกเขาว่า “อย่ายึดติดเกินไป… สิ่งนี้จะพังทลายลงหมด”

ลองจินตนาการว่ามีใครมาบอกเราต่อหน้าบ้านที่เราภูมิใจและทุ่มเทเพื่อให้ได้มา ว่า “สักวันหนึ่งมันก็จะไม่อยู่แล้ว” บางคนอาจหัวเราะ บางคนอาจสะเทือนใจหรือโกรธ เพราะบ้าน ทรัพย์สิน ความสำเร็จที่เราสร้างมา ทำให้เรารู้สึกมั่นคงและปลอดภัย

แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์—และกับเรา—ว่าสิ่งที่เป็นของโลกนี้ แม้จะงดงามเพียงใด ก็ไม่สามารถให้ความมั่นคงแท้จริงแก่เราได้ ไม่ใช่พระวิหาร ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง ทุกสิ่งทางโลกนั้นเปราะบางและชั่วคราว

พระองค์ไม่ได้พูดเพื่อทำให้เราท้อใจ แต่เพื่อปลดปล่อยเราให้เรายกสายตาขึ้นเหนือสิ่งที่ชั่วคราว และวางรากฐานชีวิตไว้บนสิ่งที่ยั่งยืนแท้จริง คือ “ความเชื่อในพระเจ้า” ความจริงข้อนี้จะนำความสงบมาสู่ใจแม้ในช่วงเวลาที่โลกสั่นคลอน

ยิ่งเราเข้าใกล้เทศกาลเตรียมรับเสด็จ บทอ่านก็ยิ่งชี้นำใจเราให้หันจากสิ่งที่ดึงเราออกห่าง และกลับไปมองพระคริสตเจ้า ผู้เป็นความหวังและความสมบูรณ์แท้จริงของชีวิต

เพราะเมื่อใจของเรายึดอยู่กับพระคริสตเจ้า สัญญาของโลกก็หมดความน่าหลงใหล โลกบอกเราว่า ความร่ำรวยทำให้มีความสุข ความสำเร็จทำให้เรามีคุณค่า ความสุขทางประสาทสัมผัสโดยไม่ต้องรับผิดชอบจะทำให้เราพอใจ หรือเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้ และสุดท้ายเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องการพระเจ้า ข้อความเหล่านี้ดูน่าเชื่อ แต่แท้จริงเป็นเพียงภาพลวงตา—จางหาย ผิดหวัง และทำให้ใจว่างเปล่า

พระเยซูเจ้าประทานสิ่งที่ดีกว่านั้นมาก
แทนการแสวงหารวยล้นฟ้า พระองค์ประทาน “ทรัพย์สมบัตินิรันดร”
แทนอำนาจ พระองค์ประทาน “ความยินดีและอิสระในจิตใจจากการรับใช้ด้วยความถ่อมตน”
แทนความสุขชั่ววูบ พระองค์ประทาน “ความยินดีถาวรในพระองค์”
แทนความหวังเกินจริงในความก้าวหน้าของมนุษย์ล้วน ๆ พระองค์ประทาน “ความหวังนิรันดรที่ไม่ผันแปร”
แทนความพยายามพึ่งตนเอง พระองค์เชื้อเชิญเราเข้าสู่ “ความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระเจ้า”

พระองค์เตือนเราว่า สิ่งใดที่เรายึดติดในโลกนี้ วันหนึ่งจะถูกพรากไป แต่สิ่งที่เรามอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป

พระวรสารวันนี้ไม่ใช่เรื่องความพินาศ แต่เป็นเรื่อง “รากฐาน”
พระเยซูเจ้าทรงถามเราว่า “ความมั่นคงของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าสร้างชีวิตของเจ้าบนอะไร?” หากเราเอาชีวิตไปผูกไว้กับเงินทอง ความสำเร็จ อำนาจ หรือความสุขชั่วคราว สิ่งเหล่านั้นจะพังลงในวันที่มีพายุชีวิต แต่ถ้าเราสร้างบนพระคริสต์—ความจริง ความรัก และการประทับอยู่ของพระองค์—ชีวิตเราจะยืนมั่นแม้เจอความท้าทาย

ขอให้เราขอพระเจ้าโปรดประทานความกล้าหาญที่จะวางมือจากสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และจับมั่นในสิ่งที่เป็นนิรันดร: ความเชื่อ ความหวัง และความรัก
และขอให้เราไม่ฝากใจไว้ในสัญญาเลื่อนลอยของโลก แต่ยึดมั่นในพระสัญญาแท้จริงของพระวรสารว่า พระคริสต์กำลังเสด็จมา และในพระองค์ เราพบความสุขแท้จริงของชีวิต”


วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า (9 พฤศจิกายน 2025)

 

วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า (9 พฤศจิกายน 2025)
พระวรสาร: ยอห์น 2:13–22
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

วันนี้เราเฉลิมฉลอง “วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า” ซึ่งเป็นวันสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ มหาวิหารลาเตรันเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม และเป็น “อาสนวิหารประจำตำแหน่งของสมเด็จพระสันตะปาปา” หรือกล่าวได้ว่าเป็น “มารดาและประมุขแห่งโบสถ์ทั้งหลายทั่วโลก” เพราะมันเตือนใจเราว่า พระศาสนจักรคือครอบครัวเดียวกัน ที่มีความเชื่อ ความหวัง และความรักเป็นหนึ่งเดียวกัน

บางคนอาจสงสัยว่า “ทำไมเราต้องฉลองโบสถ์ที่อยู่ไกลถึงกรุงโรม ทั้งที่เราไม่เคยไปเห็นเลย?”
แท้จริงแล้ว วันฉลองนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอาคารในกรุงโรมเท่านั้น แต่เกี่ยวกับสิ่งที่อาคารนั้นเป็นสัญลักษณ์ — คือความหมายของ “พระวิหาร” ทุกแห่งสำหรับเราทุกคน มันเตือนให้เรารู้ว่า โบสถ์ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เก่าหรือใหม่ คือ “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่พระเจ้าทรงเลือกจะประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเข้าไปในพระวิหาร และเมื่อทรงเห็นว่ามันถูกเปลี่ยนให้เป็นตลาดซื้อขาย พระองค์ทรงขับไล่พวกพ่อค้าออกไป พร้อมตรัสว่า “อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาของเรากลายเป็นตลาด!” นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เราจะเห็นพระเยซูเจ้าทรงโกรธอย่างชัดเจน แต่จุดสำคัญของวันนี้ไม่ใช่เรื่อง “ความโกรธ” ของพระองค์ หากแต่เป็น “ความรัก”

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “นี่คือพระนิเวศของพระบิดาของเรา” พระองค์กำลังเปิดเผยบางสิ่งที่ลึกซึ้ง — พระวิหารคือสถานที่แห่งการภาวนา… แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า… และเป็น “บ้านของบุตรทั้งหลายของพระองค์”

สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ ไม่มีอะไรสุขใจไปกว่าการได้กลับถึง “บ้าน” หลังจากการเดินทางอันยาวนาน แม้บ้านจะไม่ใหญ่ ไม่หรู หรือไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันคือ “ที่ที่เรารู้สึกเป็นของกันและกัน” “ที่ที่เรารู้ว่าเราถูกเข้าใจและเป็นที่รัก” และนั่นคือสิ่งที่ “พระศาสนจักร” ควรเป็น — บ้านฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

พระศาสนจักรคือที่ที่พระเจ้าทรงรอเราอยู่ ที่ที่เรารับอาหารฝ่ายจิตจากพระวาจาและศีลมหาสนิท ที่ที่เราพบมิตรภาพ การปลอบโยน และความรัก แต่พระศาสนจักรไม่ใช่แค่อาคารหินหรือไม้ — เราเองต่างหากที่เป็น “พระศาสนจักรที่มีชีวิต” แต่ละคนคือ “ก้อนหินมีชีวิต” ที่ประกอบกันเป็นบ้านของพระเจ้า

และเช่นเดียวกับบ้านทุกหลัง พระศาสนจักรควรจะอบอุ่น เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และการต้อนรับ แต่บางครั้งเราก็อาจหลงลืมสิ่งนั้นไป เรากลายเป็นคนห่างเหิน นั่งข้างกันโดยไม่พูดกัน มองหน้ากันโดยไม่ทักทายกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ โบสถ์ก็เริ่มกลายเป็น “หน้าที่” มากกว่าการเป็น “บ้าน” — และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งใจไว้

ครั้งหนึ่งระหว่างการประชุมสภาซีโนด มีผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งพูดคำหนึ่งที่สะเทือนใจมากว่า

ฉันมาที่โบสถ์ในฐานะคนแปลกหน้า และกลับออกไปก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี”
เป็นคำพูดที่ทรงพลัง เพราะพระศาสนจักรควรเป็น “สถานที่เดียวในโลกที่ไม่มีใครรู้สึกเป็นคนแปลกหน้า”

หากมีใครเดินเข้ามาในโบสถ์ของเราแล้วเดินออกไปโดยไม่มีใครยิ้มให้ ไม่มีคำทักทาย ไม่มีความรู้สึกว่า “เขามีค่า” — เราก็พลาดหัวใจของพระวรสารไปแล้ว พระศาสนจักรต้องเป็นมากกว่าสถานที่สวดภาวนา มันต้องเป็น “บ้านแห่งการต้อนรับ” บ้านที่เรารู้สึกผ่อนคลายต่อพระเจ้าและต่อกันและกัน

ถ้าพระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาที่โบสถ์ของเราในวันนี้ พระองค์คงไม่ทรงโกรธเพราะมีพ่อค้าหรือคนแลกเงินอีกต่อไป แต่บางทีพระองค์อาจทรงเสียพระทัยที่เรากลายเป็นคนเฉยเมย ห่างเหิน และขาดความอบอุ่น เพราะพระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้ “บ้านของพระบิดา” เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา การต้อนรับ และความเป็นหนึ่งเดียว

การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของ “ความสัมพันธ์” — ความสัมพันธ์กับพระเจ้า และกับเพื่อนพี่น้องของเรา

ในวันนี้ ขณะที่เราฉลอง “มารดาและประมุขของโบสถ์ทั้งหลาย” ขอให้เราพยายามทำให้โบสถ์ของเราเป็น “บ้านของพระบิดา” อย่างแท้จริง — บ้านที่ไม่มีใครรู้สึกโดดเดี่ยว บ้านที่เรามองเห็นพระคริสตเจ้าผ่านกันและกัน บ้านที่ทุกคนได้รับการต้อนรับ การให้เกียรติ และความรัก

ท้ายที่สุด มหาวิหารที่งดงามที่สุดไม่ใช่สิ่งก่อสร้างจากหินอ่อนหรืออิฐหิน แต่คือหัวใจของผู้คนที่เปิดรับพระเจ้าและเปิดใจต่อกัน ขอให้วันฉลองนี้เตือนเราว่า “พระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา อยู่ในเรา และอยู่รอบตัวเรา” ทุกครั้งที่เราทำให้บ้านของพระบิดาเป็น “สถานที่แห่งการภาวนา การต้อนรับ และความรัก” — บ้านแท้ของเราทุกคน.

 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

 

วันระลึกถึงผู้ล่วงลับทั้งหลาย (2 พฤศจิกายน 2025)
การไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 7:11-17
บาทหลวง แคลเรนซ์ เดวาดาสส์

วันนี้เรามาร่วมกันภาวนาและรำลึกถึงผู้ล่วงลับทั้งหลาย ผู้ที่เรารักและคิดถึง และทุกดวงวิญญาณที่กำลังพักอยู่ในพระเมตตาของพระเจ้า แม้หลายคนจะไปเยี่ยมสุสานตามธรรมเนียม แต่วันระลึกถึงผู้ล่วงลับนี้ (All Souls’ Day) ไม่ใช่วันแห่งความเศร้า แต่เป็นวันแห่งความหวัง แม้ร่างกายของคนที่เรารักจะกลับคืนสู่ดิน เรายังได้รับการเตือนใจว่าผ่านทางพระคริสต์ “ความรักนั้นเข้มแข็งกว่าความตาย” และสายสัมพันธ์ของเรากับผู้ล่วงลับนั้นไม่มีวันขาดจากกันเลย

พระศาสนจักรสอนเราว่า ความตายไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ชีวิตใหม่ ด้วยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า ชีวิตของเราถูกเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่สิ้นสุดลง ผู้ล่วงลับของเรายังคงเดินทางต่อไปสู่ความสมบูรณ์แห่งการอยู่ต่อหน้าพระเจ้า และคำภาวนา พิธีบูชาขอบพระคุณ การเสียสละ และการกระทำความรักของเรานั้น เป็นหนทางที่แท้จริงและทรงพลังในการช่วยเหลือพวกเขาในเส้นทางนี้

ในพระวรสารวันนี้ เราพบเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพที่เมืองนาอีม นี่ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสงสารต่อแม่หม้ายที่สูญเสียบุตรชายเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณแห่งความจริงที่ยิ่งใหญ่ คือ พระคริสต์ทรงมีอำนาจเหนือความตาย การกลับคืนพระชนม์ของพระองค์เองคือเครื่องพิสูจน์สูงสุด ว่าความตายไม่มีคำพูดสุดท้าย ในพระคริสต์เราพบความหวัง ชีวิต และคำมั่นแห่งการอยู่ร่วมกับพระเจ้าเป็นนิจนิรันดร์

เพราะพระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจเหนือความตาย พระศาสนจักรจึงเชิญเราในวันนี้ให้ภาวนาเพื่อดวงวิญญาณในไฟชำระ ซึ่งกำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพื่อเตรียมเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ไฟชำระไม่ใช่สถานที่แห่งการลงโทษ แต่เป็นสถานที่แห่งความเมตตา เป็นความรักอันอ่อนโยนของพระเจ้าที่ค่อย ๆ ลบล้างร่องรอยของบาปและความเห็นแก่ตัว เพื่อให้ดวงวิญญาณนั้นเป็นอิสระและพร้อมจะได้เห็นพระองค์อย่างเต็มตา เมื่อเราภาวนาเพื่อผู้ล่วงลับ เราก็ได้มีส่วนร่วมในพระเมตตานี้ด้วย

วันระลึกถึงผู้ล่วงลับยังเป็นโอกาสให้เราพิจารณาเส้นทางชีวิตของเราเอง วันหนึ่งเราทุกคนจะต้องยืนต่อหน้าพระเจ้า สิ่งที่เราฉลองวันนี้ จึงเป็นการเตือนใจให้เราใช้ชีวิตอย่างดี รักอย่างลึกซึ้ง ให้อภัยอย่างอิสระ และอยู่ใกล้ชิดพระคริสต์ด้วยความเชื่อมั่น เพราะวิถีชีวิตของเราวันนี้ จะกำหนดชีวิตนิรันดรของเราเอง

วันนี้อาจมีน้ำตาเมื่อเราระลึกถึงคนที่เราคิดถึง และนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่พระเยซูเจ้าเองก็ทรงร้องไห้ที่หลุมศพของลาซารัส แต่น้ำตาของเรามิใช่น้ำตาแห่งความสิ้นหวัง แต่น้ำตาแห่งความรัก ความโหยหา และความหวัง เพราะเรามีความเชื่อว่า ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า เราจะได้พบพวกเขาอีกครั้ง

ที่แท่นบูชานี้ ในศีลมหาสนิท เราร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับนักบุญทั้งปวง และดวงวิญญาณทุกดวงที่จากไปก่อนเรา การมีส่วนร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ คือการลิ้มรสล่วงหน้าของงานเลี้ยงนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้บุตรของพระองค์ทุกคน

วันนี้ ขอให้เรามอบทุกดวงวิญญาณไว้ในพระเมตตาของพระเจ้า ระลึกถึงพวกเขาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกตัญญู ต่อความรักที่พวกเขามอบให้ ต่อความเชื่อที่พวกเขาได้ถ่ายทอด และต่อแบบอย่างแห่งความดีที่พวกเขาทิ้งไว้ให้เราเดินตาม.