วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า (9
พฤศจิกายน 2025)
พระวรสาร: ยอห์น 2:13–22
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์
วันนี้เราเฉลิมฉลอง
“วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า” ซึ่งเป็นวันสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ
มหาวิหารลาเตรันเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม และเป็น
“อาสนวิหารประจำตำแหน่งของสมเด็จพระสันตะปาปา” หรือกล่าวได้ว่าเป็น
“มารดาและประมุขแห่งโบสถ์ทั้งหลายทั่วโลก” เพราะมันเตือนใจเราว่า
พระศาสนจักรคือครอบครัวเดียวกัน ที่มีความเชื่อ ความหวัง
และความรักเป็นหนึ่งเดียวกัน
บางคนอาจสงสัยว่า
“ทำไมเราต้องฉลองโบสถ์ที่อยู่ไกลถึงกรุงโรม ทั้งที่เราไม่เคยไปเห็นเลย?”
แท้จริงแล้ว วันฉลองนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอาคารในกรุงโรมเท่านั้น
แต่เกี่ยวกับสิ่งที่อาคารนั้นเป็นสัญลักษณ์ — คือความหมายของ “พระวิหาร” ทุกแห่งสำหรับเราทุกคน
มันเตือนให้เรารู้ว่า โบสถ์ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เก่าหรือใหม่ คือ
“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่พระเจ้าทรงเลือกจะประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์
ในพระวรสารวันนี้
พระเยซูเจ้าทรงเข้าไปในพระวิหาร และเมื่อทรงเห็นว่ามันถูกเปลี่ยนให้เป็นตลาดซื้อขาย
พระองค์ทรงขับไล่พวกพ่อค้าออกไป พร้อมตรัสว่า
“อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาของเรากลายเป็นตลาด!”
นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เราจะเห็นพระเยซูเจ้าทรงโกรธอย่างชัดเจน
แต่จุดสำคัญของวันนี้ไม่ใช่เรื่อง “ความโกรธ” ของพระองค์ หากแต่เป็น “ความรัก”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า
“นี่คือพระนิเวศของพระบิดาของเรา” พระองค์กำลังเปิดเผยบางสิ่งที่ลึกซึ้ง —
พระวิหารคือสถานที่แห่งการภาวนา… แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า… และเป็น
“บ้านของบุตรทั้งหลายของพระองค์”
สำหรับพวกเราส่วนใหญ่
ไม่มีอะไรสุขใจไปกว่าการได้กลับถึง “บ้าน” หลังจากการเดินทางอันยาวนาน
แม้บ้านจะไม่ใหญ่ ไม่หรู หรือไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันคือ
“ที่ที่เรารู้สึกเป็นของกันและกัน” “ที่ที่เรารู้ว่าเราถูกเข้าใจและเป็นที่รัก”
และนั่นคือสิ่งที่ “พระศาสนจักร” ควรเป็น — บ้านฝ่ายจิตวิญญาณของเรา
พระศาสนจักรคือที่ที่พระเจ้าทรงรอเราอยู่
ที่ที่เรารับอาหารฝ่ายจิตจากพระวาจาและศีลมหาสนิท ที่ที่เราพบมิตรภาพ การปลอบโยน
และความรัก แต่พระศาสนจักรไม่ใช่แค่อาคารหินหรือไม้ — เราเองต่างหากที่เป็น
“พระศาสนจักรที่มีชีวิต” แต่ละคนคือ “ก้อนหินมีชีวิต”
ที่ประกอบกันเป็นบ้านของพระเจ้า
และเช่นเดียวกับบ้านทุกหลัง
พระศาสนจักรควรจะอบอุ่น เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และการต้อนรับ
แต่บางครั้งเราก็อาจหลงลืมสิ่งนั้นไป เรากลายเป็นคนห่างเหิน
นั่งข้างกันโดยไม่พูดกัน มองหน้ากันโดยไม่ทักทายกัน เมื่อเป็นเช่นนี้
โบสถ์ก็เริ่มกลายเป็น “หน้าที่” มากกว่าการเป็น “บ้าน” —
และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งใจไว้
ครั้งหนึ่งระหว่างการประชุมสภาซีโนด
มีผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งพูดคำหนึ่งที่สะเทือนใจมากว่า
“ฉันมาที่โบสถ์ในฐานะคนแปลกหน้า
และกลับออกไปก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี”
เป็นคำพูดที่ทรงพลัง เพราะพระศาสนจักรควรเป็น
“สถานที่เดียวในโลกที่ไม่มีใครรู้สึกเป็นคนแปลกหน้า”
หากมีใครเดินเข้ามาในโบสถ์ของเราแล้วเดินออกไปโดยไม่มีใครยิ้มให้
ไม่มีคำทักทาย ไม่มีความรู้สึกว่า “เขามีค่า” — เราก็พลาดหัวใจของพระวรสารไปแล้ว
พระศาสนจักรต้องเป็นมากกว่าสถานที่สวดภาวนา มันต้องเป็น “บ้านแห่งการต้อนรับ”
บ้านที่เรารู้สึกผ่อนคลายต่อพระเจ้าและต่อกันและกัน
ถ้าพระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาที่โบสถ์ของเราในวันนี้
พระองค์คงไม่ทรงโกรธเพราะมีพ่อค้าหรือคนแลกเงินอีกต่อไป
แต่บางทีพระองค์อาจทรงเสียพระทัยที่เรากลายเป็นคนเฉยเมย ห่างเหิน และขาดความอบอุ่น
เพราะพระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้ “บ้านของพระบิดา” เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา
การต้อนรับ และความเป็นหนึ่งเดียว
การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่แค่พิธีกรรม
แต่เป็นเรื่องของ “ความสัมพันธ์” — ความสัมพันธ์กับพระเจ้า และกับเพื่อนพี่น้องของเรา
ในวันนี้ ขณะที่เราฉลอง “มารดาและประมุขของโบสถ์ทั้งหลาย”
ขอให้เราพยายามทำให้โบสถ์ของเราเป็น “บ้านของพระบิดา” อย่างแท้จริง —
บ้านที่ไม่มีใครรู้สึกโดดเดี่ยว บ้านที่เรามองเห็นพระคริสตเจ้าผ่านกันและกัน
บ้านที่ทุกคนได้รับการต้อนรับ การให้เกียรติ และความรัก
ท้ายที่สุด
มหาวิหารที่งดงามที่สุดไม่ใช่สิ่งก่อสร้างจากหินอ่อนหรืออิฐหิน แต่คือหัวใจของผู้คนที่เปิดรับพระเจ้าและเปิดใจต่อกัน
ขอให้วันฉลองนี้เตือนเราว่า “พระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา อยู่ในเรา และอยู่รอบตัวเรา”
ทุกครั้งที่เราทำให้บ้านของพระบิดาเป็น “สถานที่แห่งการภาวนา การต้อนรับ
และความรัก” — บ้านแท้ของเราทุกคน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น