วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า (9 พฤศจิกายน 2025)

 

วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า (9 พฤศจิกายน 2025)
พระวรสาร: ยอห์น 2:13–22
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

วันนี้เราเฉลิมฉลอง “วันฉลองการถวายมหาวิหารลาเตรันแด่พระเจ้า” ซึ่งเป็นวันสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ มหาวิหารลาเตรันเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโรม และเป็น “อาสนวิหารประจำตำแหน่งของสมเด็จพระสันตะปาปา” หรือกล่าวได้ว่าเป็น “มารดาและประมุขแห่งโบสถ์ทั้งหลายทั่วโลก” เพราะมันเตือนใจเราว่า พระศาสนจักรคือครอบครัวเดียวกัน ที่มีความเชื่อ ความหวัง และความรักเป็นหนึ่งเดียวกัน

บางคนอาจสงสัยว่า “ทำไมเราต้องฉลองโบสถ์ที่อยู่ไกลถึงกรุงโรม ทั้งที่เราไม่เคยไปเห็นเลย?”
แท้จริงแล้ว วันฉลองนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอาคารในกรุงโรมเท่านั้น แต่เกี่ยวกับสิ่งที่อาคารนั้นเป็นสัญลักษณ์ — คือความหมายของ “พระวิหาร” ทุกแห่งสำหรับเราทุกคน มันเตือนให้เรารู้ว่า โบสถ์ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เก่าหรือใหม่ คือ “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่พระเจ้าทรงเลือกจะประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเข้าไปในพระวิหาร และเมื่อทรงเห็นว่ามันถูกเปลี่ยนให้เป็นตลาดซื้อขาย พระองค์ทรงขับไล่พวกพ่อค้าออกไป พร้อมตรัสว่า “อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาของเรากลายเป็นตลาด!” นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เราจะเห็นพระเยซูเจ้าทรงโกรธอย่างชัดเจน แต่จุดสำคัญของวันนี้ไม่ใช่เรื่อง “ความโกรธ” ของพระองค์ หากแต่เป็น “ความรัก”

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “นี่คือพระนิเวศของพระบิดาของเรา” พระองค์กำลังเปิดเผยบางสิ่งที่ลึกซึ้ง — พระวิหารคือสถานที่แห่งการภาวนา… แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้า… และเป็น “บ้านของบุตรทั้งหลายของพระองค์”

สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ ไม่มีอะไรสุขใจไปกว่าการได้กลับถึง “บ้าน” หลังจากการเดินทางอันยาวนาน แม้บ้านจะไม่ใหญ่ ไม่หรู หรือไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันคือ “ที่ที่เรารู้สึกเป็นของกันและกัน” “ที่ที่เรารู้ว่าเราถูกเข้าใจและเป็นที่รัก” และนั่นคือสิ่งที่ “พระศาสนจักร” ควรเป็น — บ้านฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

พระศาสนจักรคือที่ที่พระเจ้าทรงรอเราอยู่ ที่ที่เรารับอาหารฝ่ายจิตจากพระวาจาและศีลมหาสนิท ที่ที่เราพบมิตรภาพ การปลอบโยน และความรัก แต่พระศาสนจักรไม่ใช่แค่อาคารหินหรือไม้ — เราเองต่างหากที่เป็น “พระศาสนจักรที่มีชีวิต” แต่ละคนคือ “ก้อนหินมีชีวิต” ที่ประกอบกันเป็นบ้านของพระเจ้า

และเช่นเดียวกับบ้านทุกหลัง พระศาสนจักรควรจะอบอุ่น เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี และการต้อนรับ แต่บางครั้งเราก็อาจหลงลืมสิ่งนั้นไป เรากลายเป็นคนห่างเหิน นั่งข้างกันโดยไม่พูดกัน มองหน้ากันโดยไม่ทักทายกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ โบสถ์ก็เริ่มกลายเป็น “หน้าที่” มากกว่าการเป็น “บ้าน” — และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งใจไว้

ครั้งหนึ่งระหว่างการประชุมสภาซีโนด มีผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งพูดคำหนึ่งที่สะเทือนใจมากว่า

ฉันมาที่โบสถ์ในฐานะคนแปลกหน้า และกลับออกไปก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี”
เป็นคำพูดที่ทรงพลัง เพราะพระศาสนจักรควรเป็น “สถานที่เดียวในโลกที่ไม่มีใครรู้สึกเป็นคนแปลกหน้า”

หากมีใครเดินเข้ามาในโบสถ์ของเราแล้วเดินออกไปโดยไม่มีใครยิ้มให้ ไม่มีคำทักทาย ไม่มีความรู้สึกว่า “เขามีค่า” — เราก็พลาดหัวใจของพระวรสารไปแล้ว พระศาสนจักรต้องเป็นมากกว่าสถานที่สวดภาวนา มันต้องเป็น “บ้านแห่งการต้อนรับ” บ้านที่เรารู้สึกผ่อนคลายต่อพระเจ้าและต่อกันและกัน

ถ้าพระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาที่โบสถ์ของเราในวันนี้ พระองค์คงไม่ทรงโกรธเพราะมีพ่อค้าหรือคนแลกเงินอีกต่อไป แต่บางทีพระองค์อาจทรงเสียพระทัยที่เรากลายเป็นคนเฉยเมย ห่างเหิน และขาดความอบอุ่น เพราะพระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้ “บ้านของพระบิดา” เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา การต้อนรับ และความเป็นหนึ่งเดียว

การนมัสการพระเจ้าไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของ “ความสัมพันธ์” — ความสัมพันธ์กับพระเจ้า และกับเพื่อนพี่น้องของเรา

ในวันนี้ ขณะที่เราฉลอง “มารดาและประมุขของโบสถ์ทั้งหลาย” ขอให้เราพยายามทำให้โบสถ์ของเราเป็น “บ้านของพระบิดา” อย่างแท้จริง — บ้านที่ไม่มีใครรู้สึกโดดเดี่ยว บ้านที่เรามองเห็นพระคริสตเจ้าผ่านกันและกัน บ้านที่ทุกคนได้รับการต้อนรับ การให้เกียรติ และความรัก

ท้ายที่สุด มหาวิหารที่งดงามที่สุดไม่ใช่สิ่งก่อสร้างจากหินอ่อนหรืออิฐหิน แต่คือหัวใจของผู้คนที่เปิดรับพระเจ้าและเปิดใจต่อกัน ขอให้วันฉลองนี้เตือนเราว่า “พระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา อยู่ในเรา และอยู่รอบตัวเรา” ทุกครั้งที่เราทำให้บ้านของพระบิดาเป็น “สถานที่แห่งการภาวนา การต้อนรับ และความรัก” — บ้านแท้ของเราทุกคน.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น