วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2568

 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 21 เทศกาลธรรมดา (24 สิงหาคม 2025)
การไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 13:22–30
Fr. Clarence Devadass

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บทอ่านพระวรสารวันอาทิตย์ได้ตอกย้ำอย่างชัดเจนถึง “ราคาที่ต้องจ่ายของการเป็นศิษย์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเรามาติดตามพระองค์ด้วยคำเชิญที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่ก็ต้องการการตอบรับอย่างเต็มหัวใจ เมื่ออยู่กับบรรดาศิษย์ พระองค์ไม่เคยปิดบังหรือทำให้เส้นทางนี้ดูง่ายดายเกินจริง แต่ตรงไปตรงมาเสมอ

การเดินตามพระองค์หมายถึงการยอมรับการปฏิเสธตนเอง แบกกางเขนของตนเอง และบางครั้งต้องเผชิญการปฏิเสธ แม้กระทั่งจากคนที่เรารัก การเป็นศิษย์ต้องการวินัย การจัดลำดับความสำคัญใหม่ และความพร้อมที่จะสละความสะดวกสบายเพื่อเห็นแก่พระอาณาจักรของพระเจ้า

ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเปรียบการเป็นศิษย์แท้กับการ “เข้าไปทางประตูแคบ” ซึ่งเป็นหนทางที่ต้องใช้ความสุภาพถ่อมตน ความเพียรพยายาม การมอบตน ความซื่อสัตย์ และความตื่นตัว พระองค์เตือนเราว่า การติดตามพระองค์ไม่ใช่แค่เรื่องของการมุ่งมั่น แต่ยังเป็นเรื่องของ ความไว้วางใจลึกซึ้ง

เวลาสร้างหรือปรับปรุงบ้าน คนส่วนใหญ่มักเลือกขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้นเพื่อความสะดวกสบาย แต่พระเยซูเจ้ากลับตรัสถึง “ประตูแคบ” ประตูนี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งธรรมดา แต่คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและความท้าทาย หนทางที่หลายคนลังเลจะเลือก แต่กลับเป็นหนทางที่นำไปสู่ชีวิตแท้กับพระคริสตเจ้า

เช่นเดียวกับที่เรามักต้องวัดประตูบ้านก่อนนำเฟอร์นิเจอร์หรือของชิ้นใหญ่เข้ามา แล้วถามว่า “จะเข้าได้ไหม?” พระเยซูเจ้าก็เชิญเรามอง “ประตูสู่อาณาจักรพระเจ้า” ด้วยความตั้งใจเดียวกัน เส้นทางสู่การเป็นศิษย์แท้นั้นแคบ ไม่ใช่เพราะมันปิดกั้น แต่เพราะมันต้องการการเตรียมใจ

สิ่งที่ถ่วงเราไว้ต้องถูกปล่อยไป: ความหยิ่งผยอง ความเห็นแก่ตัว ความขุ่นเคือง สิ่งรบกวนใจ และการจัดลำดับความสำคัญผิด ๆ ที่ขัดขวางไม่ให้เราติดตามพระองค์อย่างเต็มที่ เราจะก้าวผ่านประตูนั้นได้ก็ต่อเมื่อเราปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ ประตูแคบไม่ใช่กำแพงกีดกัน แต่เป็น “ธรณีประตูแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่เรียกให้เราเดินเบา ๆ อย่างซื่อสัตย์

พระวรสารวันนี้จึงเชิญเราให้หยุดทบทวนตนเองอย่างจริงใจ พระเยซูเจ้าตรัสถามเราว่า เรายังมี “สัมภาระส่วนเกิน” อยู่หรือไม่—ทัศนคติ นิสัย หรือความยึดติด ที่กดทับเราและขวางกั้นไม่ให้เราเข้าสู่ประตูแคบแห่งชีวิตนิรันดร? การเป็นศิษย์แท้ต้องการหัวใจที่เบา และเป้าหมายที่ชัดเจน

เมื่อเราปล่อยสิ่งที่ถ่วงเรา เราจะเปิดพื้นที่ให้กับพระหรรษทาน ความถ่อมตน และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระคริสตเจ้า ประตูแคบไม่ได้หมายถึงการกีดกัน แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลง และความกล้าที่จะเดินไปพร้อมกับสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

ถ้าอ้างคำพูดอันโด่งดังของเอลซ่าในเรื่อง Frozen เราได้รับการเตือนถึงความจริงทางจิตวิญญาณว่า เราต้อง “ปล่อยวาง” ทุกสิ่งที่ฉุดรั้งเราไว้ ไม่ให้โอบกอดเส้นทางของการเป็นศิษย์อย่างเต็มที่ การปล่อยวางไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือ ความกล้าที่จะวางใจพระเจ้า ให้พระองค์เปลี่ยนแปลงเรา และก้าวเข้าสู่ชีวิตที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้

สุดท้ายแล้ว “ประตูแคบ” ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อข่มขู่ แต่เพื่อกระตุ้นและเชื้อเชิญเราเข้าสู่หนทางแห่งชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น หนทางที่สะท้อนแบบอย่างของพระคริสตเจ้า คือ ความรัก การเสียสละ และความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว

ราคาของการเป็นศิษย์เป็นเรื่องจริง แต่เช่นเดียวกัน ความยินดี ความสงบ และคำสัญญาแห่งชีวิตนิรันดรก็เป็นจริงสำหรับผู้ที่เลือกติดตามพระองค์ด้วยใจทั้งหมด—ด้วยการปล่อยวางทั้งหัวใจที่คับแคบ และความคิดที่ตีบตัน

ดังนั้น วันนี้เราควรถามตนเองว่า: พระเยซูกำลังเรียกให้ฉัน “ปล่อยวาง” อะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ติดตามพระองค์อย่างเสรีและซื่อสัตย์มากขึ้น?




วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568

 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา (17 สิงหาคม 2025)
ข้อคิดพระวรสาร: ลูกา 12:49–53
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาส

ในทุกปีในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (Advent) เรามักได้ยินถ้อยคำปลุกเร้าของประกาศกอิสยาห์ที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ว่า
พระนามของพระองค์จะถูกเรียกว่า... เจ้านายแห่งสันติ” (อสย 9:6)

พระนามนี้มาพร้อมกับพระสัญญาที่ดังก้องผ่านกาลเวลา เจ้านายแห่งสันติ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ปลอบโยนอ่อนโยน แต่ทรงเป็นตัวแทนแห่งความรักของพระเจ้าที่เยียวยาและคืนดีให้เป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความไม่สงบ ความขัดแย้ง และการแตกแยก นิมิตของอิสยาห์ประกาศถึงความหวัง นั่นคือ สันติที่ฟื้นฟู สันติที่คืนดี และสันติที่เปลี่ยนแปลงชีวิต

แต่พระวรสารวันนี้กลับดูเหมือนขัดแย้งกับคำพยากรณ์นั้น พระเยซูเจ้าตรัสเองว่า
ท่านทั้งหลายคิดหรือว่า เรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่แผ่นดิน? ไม่ใช่เลย เราบอกท่านว่า แต่เป็นการแตกแยกต่างหาก”

ในเบื้องต้น ถ้อยคำนี้เหมือนจะขัดแย้งกับพระสัญญาของอิสยาห์ แต่แท้จริงแล้วพระเยซูเจ้ากำลังเผยความจริงที่ลึกกว่า สันติที่พระองค์ประทานมิใช่ความสงบเงียบฉาบฉวยหรือกลมกลืนอย่างตื้นเขิน แต่เป็นสันติที่เผชิญหน้ากับบาป เปิดโปงความเท็จ และเรียกร้องให้กลับใจ

สันติของพระคริสต์มิใช่การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่คือการยอมรับความจริง แม้บางครั้งจะก่อให้เกิดการแบ่งแยก พระวรสารของพระองค์เจาะลึกความลวง แยกความสว่างออกจากความมืด ความยุติธรรมออกจากความอยุติธรรม ความจริงออกจากความเท็จ สันติในลักษณะนี้ไม่ได้ได้มาโดยง่าย แต่มันต้องการความกล้าหาญ ความมั่นคงในความเชื่อ และบางครั้งก็ต้องยอมรับการแตกแยก เพื่อเห็นแก่เอกภาพอันแท้จริงในพระเจ้า

สำหรับยุคของเรา ข้อความนี้ยิ่งมีความเร่งด่วน เรามีชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมที่มักถูกครอบงำโดยวัตถุนิยม ปัจเจกนิยม และสัมพัทธนิยม สิ่งเหล่านี้กัดกร่อนความเมตตา ความถ่อมตน และความซื่อสัตย์ การแสวงหาความมั่งคั่ง เกียรติยศ และอำนาจ มักปิดเสียงความจริงและบิดเบือนความชัดเจนทางศีลธรรม ความโลภทำให้เรามองไม่เห็น จนยอมรับการหลอกลวงเป็นเรื่องธรรมดา และมองว่าความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อความจริงถูกบิดเบือน จิตสำนึกก็ถูกทำให้หม่นหมอง และสันติก็เป็นไปไม่ได้

การจะกลับคืนสู่สันติที่พระคริสต์ประทาน เราต้องกลับมาหาความจริงเสียก่อน นั่นหมายถึงการตรวจสอบเจตนาของตนเองด้วยความถ่อมใจ การละทิ้งรูปเคารพแห่งความครอบครองและความทะเยอทะยาน และการค้นพบอีกครั้งว่าความสมบูรณ์แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่การดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ ความสุจริต ความซื่อสัตย์ และการรับใช้ คือรากฐานของสันติในพระคริสต์

การติดตามพระเยซูในวันนี้ไม่ใช่เรื่องสะดวกสบายเสมอไป บ่อยครั้งมันหมายถึงการว่ายทวนกระแส ต่อต้านหนทางง่ายๆ แห่งการตามคนส่วนใหญ่ และเลือกเส้นทางแคบของความจริง ความรัก และการเสียสละ แต่ในทางเลือกนั้นเอง เราจะพบเสรีภาพลึกสุดและสันติแท้จริง

เจ้านายแห่งสันติทรงเรียกเรามากกว่าความสบาย พระองค์ทรงเรียกเราให้เปลี่ยนแปลง สันติของพระองค์ไม่ใช่การไม่มีความขัดแย้ง แต่คือการมีแสงสว่างของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนั้น และเมื่อเราเลือกพระองค์ เราจะพบชีวิตที่ไม่ถูกสร้างบนความสะดวกสบายชั่วคราว แต่ตั้งอยู่บนความหมายอันนิรันดร

ศรัทธาที่แท้จริงในพระเยซูไม่ได้เกิดจากความสะดวกสบาย แต่พิสูจน์ได้ด้วยความมุ่งมั่นมั่นคง



วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568

 สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา (10 สิงหาคม 2025)

บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 12:32–48
Fr Clarence Devadass

หลายปีก่อน มีคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งได้รับข่าวว่าป้าสูงวัยผู้เป็นที่รัก ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานานหลายสิบปี กำลังจะกลับมาเยี่ยม ข่าวนี้เป็นเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจ แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ — ป้าไม่ได้บอกวันเวลาที่แน่นอน เพียงพูดว่า “เร็ว ๆ นี้”

ด้วยความตื่นเต้น ทั้งคู่จึงเริ่มเตรียมบ้านอย่างดี ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม จัดห้องรับรองให้เรียบร้อย และตุนอาหารที่ป้าชื่นชอบไว้เต็มตู้ วันกลายเป็นสัปดาห์ เพื่อน ๆ พากันแซวว่า “บางทีเธออาจจะไม่มาก็ได้ เสียเวลาเปล่า ๆ” แต่ทั้งคู่ก็ยังคงเตรียมบ้านให้พร้อม และเก็บความคาดหวังไว้ในใจ

จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะที่พระอาทิตย์กำลังลับฟ้า รถแท็กซี่คันหนึ่งมาหยุดที่หน้าประตูบ้าน ป้าก้าวลงมาพร้อมรอยยิ้มและกระเป๋าเดินทาง เธอมาถึงแล้ว และเพราะว่าพวกเขาพร้อมอยู่เสมอ เธอจึงได้รับการต้อนรับด้วยความยินดี อบอุ่น และเต็มไปด้วยความรัก

ภาพนี้คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสื่อในพระวรสารวันนี้ — จงเตรียมพร้อม ไม่ใช่ด้วยความกลัวหรือความกังวล แต่ด้วยความคาดหวังอย่างยินดี การเสด็จมาของพระองค์ไม่ใช่เรื่อง “อาจจะ” แต่เป็นความแน่นอน คำถามที่แท้จริงคือ เมื่อพระองค์เสด็จมา เราพร้อมที่จะต้อนรับหรือไม่?

พระวรสารนี้ไม่ได้เรียกร้องให้เราหวาดระแวง แต่เชิญชวนให้เรามีวิถีชีวิตที่ตื่นเฝ้า ซื่อสัตย์ และเปี่ยมด้วยความหวัง และหัวใจของการเตรียมพร้อมก็คือ “ความเชื่อ” ดังที่บทอ่านที่สองจากจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกเราว่า ความเชื่อคือ “ความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และเป็นหลักฐานของสิ่งที่เรามองไม่เห็น” อับราฮัมและซาราห์เชื่อแม้ท่ามกลางสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ และความไว้วางใจของพวกเขาก็ได้รับรางวัลตอบแทน

ความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่นิ่งเฉย แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต เคลื่อนไหว อดทน และเปลี่ยนแปลงเรา มันไม่ใช่เพียงความคิดที่เราเห็นด้วย หรือความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจ แต่เป็นพลังที่ผลักดันให้เราลงมือทำ เปลี่ยนวิธีเลือกของเรา กำหนดความสัมพันธ์ของเรา และปรับทิศทางความสำคัญของชีวิต ความเชื่อทำให้เรายืนหยัดในความหวังและเป้าหมาย แม้ในยามไม่แน่นอน

ดังนั้น วันนี้เราควรถามตัวเองว่า — ความเชื่อของเรามีอิทธิพลต่อวิธีที่เราพูดและปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือไม่? คำพูดของเราสร้างกำลังใจด้วยความเมตตา อดทน และความจริง หรือทำร้ายและสร้างความแตกแยก? การตัดสินใจในแต่ละวันของเรามาจากความรัก ความถ่อมตน และความไว้วางใจในพระเจ้า หรือมาจากความกลัว ความเย่อหยิ่ง หรือความสะดวกสบาย? ความเชื่อที่แท้จริงคือต้องดำเนินชีวิต ไม่ใช่เพียงเอ่ยปากประกาศ!

มีเรื่องเล่าของหญิงม่ายในหมู่บ้านเล็ก ๆ คนหนึ่ง เธออยู่เพียงลำพังในกระท่อมหลังเล็ก ทุกเย็นเธอจะจุดเทียนและวางไว้ที่หน้าต่าง เมื่อมีคนถามว่าทำไม เธอตอบว่า “เพื่อผู้เดินทางที่อาจหลงทางหรือเหนื่อยล้า จะได้รู้ว่ามีใครอยู่ตรงนี้ มีคนที่ห่วงใย”

หลายปีผ่านไป คืนหนึ่งที่ฝนลมกระหน่ำ ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามาในหมู่บ้าน ทั้งเปียกปอน หนาวเหน็บ และอ่อนแรง เขาเห็นแสงเทียนนั้น เคาะประตู และได้รับการต้อนรับ หญิงม่ายให้เขาอาหาร ความอบอุ่น และที่นอนคืนนั้น ต่อมาชายหนุ่มผู้นั้นได้บวชเป็นพระสงฆ์ และมักเล่าเรื่องของหญิงม่ายผู้มีความเชื่อมั่นคง ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

ความเชื่อของเราก็ควรเป็นเหมือนแสงเทียนนั้น — สว่าง มั่นคง อบอุ่น และต้อนรับ ให้มันส่องประกายในถ้อยคำของเรา ชี้นำการตัดสินใจของเรา และเป็นแสงนำทางให้ผู้อื่น อย่าเพียงพูดถึงความเชื่อ แต่จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ การตื่นเฝ้า และความรัก

ขอให้หัวใจของเราตื่นเฝ้า มือของเราเปี่ยมด้วยการให้ และความเชื่อของเรามั่นคง เพื่อว่าเมื่อใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามา พระองค์จะทรงพบว่าเราพร้อม รอคอย และเต็มไปด้วยความยินดี



วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา (3 สิงหาคม 2025)

 


อาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา (3 สิงหาคม 2025)
บทไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 12:13-21
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาส

เราอาศัยอยู่ในโลกที่มักจะวัดความสำเร็จจากความมั่งคั่ง ฐานะ และสิ่งของที่ครอบครอง ตั้งแต่วัยเยาว์ เราถูกหล่อหลอมให้ไล่ตามสิ่งที่ "มากขึ้น" — เงินทองที่มากขึ้น บ้านที่ใหญ่ขึ้น รถที่หรูหราขึ้น และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สังคมสร้างภาพลวงตาว่าความสุขและความมั่นคงอยู่ที่การสะสมสิ่งของให้ได้มากที่สุด

โฆษณาและโซเชียลมีเดียยิ่งกระตุ้นความต้องการนี้ให้รุนแรงขึ้น แทรกซึมลงในความคิดจนเราเริ่มเชื่อว่า “เรายังไม่พอ” เว้นแต่จะมีมากกว่าที่เป็นอยู่ และหากเราซื่อตรงต่อใจตนเอง เราจะพบว่าการไล่ตามสิ่งเหล่านี้มักทำให้เรารู้สึกว่างเปล่า วิตก และไม่สงบใจ

พระวรสารในวันนี้นำเสนออุปมาอุปไมยที่ปลุกเราให้ตื่นจากความหลงผิดทางจิตวิญญาณ ชายคนหนึ่งเข้าหาพระเยซูเพื่อขอให้พระองค์ตัดสินปัญหามรดกในครอบครัว แต่พระเยซูไม่ตอบด้วยการไกล่เกลี่ยแบบกฎหมาย กลับใช้โอกาสนี้เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ลึกกว่านั้น นั่นคือ ความมั่นใจผิดๆ ที่มนุษย์มอบให้กับทรัพย์สมบัติ

พระองค์เล่าเรื่องชายผู้มั่งคั่งที่หลังจากได้ผลผลิตมากมาย ก็วางแผนรื้อยุ้งฉางเก่าเพื่อสร้างที่ใหญ่กว่าไว้เก็บสิ่งของไว้ใช้ในอนาคต พร้อมกับบอกตัวเองว่า “จงพักผ่อน กิน ดื่ม และสนุกสนานเถิด”

แต่อุปมานี้สะท้อนให้เห็นถึงความลุ่มหลงในวัตถุที่ทำให้เราหลงลืมสิ่งสำคัญในชีวิต คือความสัมพันธ์กับพระเจ้า และการห่วงใยเพื่อนมนุษย์ พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า “ชีวิตของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติที่เขามีมากเพียงใด” แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรามั่งคั่งในพระเจ้าเพียงใด

เราต้องเข้าใจให้ชัดว่า พระเยซูไม่ได้ประณามคนร่ำรวย แต่ทรงเตือนด้วยความรักว่า ความมั่งคั่งมีอันตรายต่อจิตวิญญาณได้หากเราไม่ระวัง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สิน แต่อยู่ที่ “ใจ” ที่ปล่อยให้ความโลภฝังรากลึก

เมื่อทรัพย์สินกลายเป็นเจ้านายที่ควบคุมเรา มันจะทำให้เราห่างไกลจากสิ่งที่สำคัญ คือ ความรักต่อพระเจ้า ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และการดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมตน ศรัทธา และความใจกว้าง

ชายมั่งคั่งในอุปมาคิดว่าเขามีเวลามากมายที่จะเสวยสุข แต่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าคนโง่เอ๋ย คืนนี้แหละ ชีวิตของเจ้าจะถูกเรียกร้องคืน” ความผิดพลาดของเขาไม่ใช่ความมั่งคั่ง แต่คือความหลงตัวเอง เขาขยายยุ้งฉาง แต่ไม่ขยายหัวใจ เขาเก็บข้าวไว้เต็มฉาง แต่ไม่ได้เปิดใจกว้างรับพระหรรษทาน เขาลืมไปว่า “จิตวิญญาณ” ไม่สามารถอิ่มเอมจากสิ่งของทางโลกได้

ในความเป็นจริง หลายคนหวังอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อครอบครัว แต่กลับติดอยู่ในวังวนของการแสวงหาความสำเร็จ จนไม่รู้ตัวว่าเสียอะไรไปบ้าง เราทำงานหนักขึ้น ใช้เวลาน้อยลงกับคนที่รัก และทุ่มเทให้กับเป้าหมายภายนอกจนลืมชื่นชมความสุขเรียบง่ายรอบตัว ชีวิตเราอาจดูยุ่งตลอดเวลา แต่ใจกลับรู้สึกว่างเปล่า

หากไม่ระวัง ความโลภจะคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ ทำลายทั้งชีวิตและความสัมพันธ์ เราไล่ตาม “มากขึ้น” โดยคิดว่าจะเติมเต็มใจได้ แต่กลับมองข้ามของขวัญล้ำค่าที่มีอยู่แล้ว สุดท้ายเราต้องถามตัวเองว่า “เราได้อะไรกันแน่?”

พระวรสารวันนี้จึงเป็นการเตือนอย่างอ่อนโยนแต่ชัดเจนว่า ความพึงพอใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากความมั่งคั่ง แต่จากชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ความเชื่อ และจุดหมายที่มีคุณค่า ทรัพย์สินอาจให้ความสบายชั่วคราว แต่ไม่มีวันตอบสนองความกระหายในจิตวิญญาณได้ ความสงบ ความยินดี และความอิ่มเอมแท้จริงมีได้เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยใจที่มุ่งสู่พระเจ้าและผู้อื่นอย่างแท้จริง.