วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2568

 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา (28 กันยายน ค.ศ. 2025)

การไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 16:19-31

โดย คุณพ่อ Clarence Devadass

พระวรสารวันนี้ยังคงต่อเนื่องในหัวข้อที่เราได้ฟังตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ความท้าทายของความมั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ และผลกระทบที่สิ่งเหล่านี้มีต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาชายมั่งมีและลาซารัสผู้ยากจน

ภาพที่ปรากฏชัดเจนคือ ชายมั่งมีนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อละเอียด กินเลี้ยงหรูหราทุกวัน ขณะที่หน้าประตูบ้านของเขา มีชายยากจนชื่อ ลาซารัส นอนป่วยเต็มไปด้วยแผลพุพอง เขาหวังจะได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะ แต่กลับถูกทอดทิ้ง จนกระทั่งสุนัขยังแสดงความเมตตาต่อเขามากกว่ามนุษย์เสียอีก

เมื่อความตายมาถึง ทุกสิ่งกลับตาลปัตร ลาซารัสได้รับการอุ้มชูเข้าสู่อ้อมอกของอับราฮัม ส่วนชายมั่งมีต้องทนทุกข์ทรมาน พระวรสารนี้ไม่เพียงพูดถึงรางวัลและการลงโทษ แต่พูดถึง “การมองเห็นและการมืดบอด” บาปของชายมั่งมีไม่ใช่ความร่ำรวยของเขา แต่เป็นเพราะเขาไม่เห็น ไม่ใส่ใจ และไม่สนใจเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าประตูบ้านตน

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่อุปมาโบราณ แต่เป็นเรื่องของเราในวันนี้ เป็นความจริงที่เห็นได้ทุกถนนหนทางและละแวกบ้าน คนที่นอนตามทางเท้า ใต้สะพาน หรือคนที่ยื่นมือขอความช่วยเหลือ คนที่ขายกระดาษทิชชู่ ถุงเท้า หรือปากกาตามร้านอาหารและคาเฟ่ นี่คือลาซารัสในยุคปัจจุบัน คำถามสำคัญไม่ใช่ว่าพวกเขามีอยู่หรือไม่ แต่คือ เรามองเห็นพวกเขาหรือไม่? เราปล่อยให้การปรากฏตัวของเขากระทบใจเราบ้างหรือไม่?

พระวรสารไม่ได้เรียกร้องให้เราจัดการแก้ไขปัญหาความยากจนทั้งโลกในทันที ไม่ได้บอกให้เราแบกรับทุกความทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งต้องหยิบยื่นเงินทุกครั้งที่มีคนขอ สิ่งที่พระวรสารเรียกร้องคือ การเปลี่ยนแปลงหัวใจ การมีจิตสำนึก การตระหนักรู้ ความผิดของชายมั่งมีคือหัวใจที่ด้านชา เขาสามารถกินเลี้ยงหรูหราได้ โดยไม่เหลียวแลผู้ทุกข์ยากตรงประตูบ้านเลย

“ลาซารัส” ของเรามิใช่เพียงผู้ไร้บ้านเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร แคชเชียร์ที่จัดของใส่ถุงให้เรา คนงานเก็บขยะทุกเช้า หรือแรงงานต่างด้าวที่ทำงานหนักเพื่อยังชีพ — พวกเขาล้วนคือพี่น้องที่พระเจ้าทรงรัก คำถามคือ เรามองเห็นคุณค่าของพวกเขาหรือไม่? หรือเห็นแค่ในฐานะผู้ให้บริการ?

ความเมตตาไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการให้เงินเสมอไป แต่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ได้ เช่น รอยยิ้ม คำทักทายด้วยความเคารพ การพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สิ่งเหล่านี้คือการยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างสายสัมพันธ์ และเตือนเราว่าทุกคนมีพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่ภายใน

อุปมานี้เชิญชวนเราให้ใคร่ครวญท่าทีในชีวิตประจำวันของเรา การตระหนักรู้คือก้าวแรก หากเราหยุดชั่วขณะ เห็น และยอมให้หัวใจของเราถูกปลุกให้สะเทือน พระจิตเจ้าจะนำเราไปไกลกว่านั้น ไปสู่ความใจกว้าง ความเป็นหนึ่งเดียว และการกระทำที่ยุติธรรม

ท้ายที่สุด เรื่องของลาซารัสไม่ใช่เพียงเรื่องของชายสองคน แต่เป็นเรื่องของสองแนวทางในการดำเนินชีวิต แนวทางหนึ่งคือการปิดตาปิดใจ สร้างกำแพงแห่งความสะดวกสบาย และพลาดโอกาสที่จะรัก อีกแนวทางคือการเปิดตา เปิดใจ แม้จะเผชิญกับความทุกข์ และได้รับความสุขนิรันดร

ดังนั้น วันนี้ขอให้เราอธิษฐานขอพระหรรษทานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้เรามีดวงตาที่เปิดกว้าง และมีหัวใจที่อ่อนโยน อย่าปล่อยให้เราต้องมานึกได้เมื่อสายเกินไปเหมือนชายมั่งมี แต่ให้เรามองเห็นลาซารัสในผู้ยากจน ผู้โดดเดี่ยว และผู้ถูกลืมเลือนรอบตัวเรา และให้เราตอบสนองด้วยความเมตตาที่แท้จริง ซึ่งสะท้อนหัวใจของพระคริสตเจ้า



วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568

 

สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา (21 กันยายน 2025)
พระวรสาร: ลูกา 16:1–13
การไตร่ตรองพระวรสาร – โดยคุณพ่อ Clarence Devadass

ในโลกปัจจุบัน การแสวงหาความมั่งคั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาและเกือบจะเป็นสากล ตั้งแต่ยังเล็ก เรามักถูกปลูกฝังให้ “อยากได้มากขึ้น” — มากกว่าที่มีอยู่ ทั้งเงินทอง ทรัพย์สิน และชื่อเสียง สังคมมักนิยามสิ่งนี้ว่าเป็น “ความสำเร็จ” และ “ความก้าวหน้า” แต่ในความจริง การวิ่งไล่ตามโดยไม่หยุดหย่อน อาจทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจำเป็น” กับ “ความโลภ” เลือนรางไป

แท้จริงแล้ว ความต้องการความอุดมสมบูรณ์ไม่ใช่สิ่งผิด มันอาจเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เกิดนวัตกรรม ความมุ่งมั่น และการพัฒนามนุษย์ แต่เมื่อ “ความมากขึ้น” กลายเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของชีวิต เราอาจสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดไป คือความหมาย ความสัมพันธ์ และเป้าหมายที่แท้จริง

พระเยซูเจ้าตรัสว่า ท่านจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” พระวาจานี้สะท้อนถึงความตึงเครียดของหัวใจมนุษย์ หากใจเราถูกผูกพันกับวัตถุ ความจงรักภักดีต่อพระเจ้าก็ไม่อาจเป็นจริงได้เต็มที่ เงินทอง แม้จำเป็น แต่ก็ง่ายที่จะกลายเป็นเจ้านายอีกองค์ที่คอยดึงดูดเราด้วยสัญญาลวงเรื่องความมั่นคง เกียรติยศ และอำนาจ ตรงกันข้าม พระเยซูเจ้าทรงเชิญเราให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมากกว่าความกลัว เชื่อมั่นในการจัดเตรียมของพระเจ้า และมุ่งแสวงหาพระอาณาจักรก่อนสิ่งใด

พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงประณามความมั่งคั่ง แต่พระองค์เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันมีอำนาจบิดเบือนลำดับความสำคัญในชีวิตได้มากเพียงใด

💡 ตัวอย่างในครอบครัวสมัยใหม่

พ่อแม่จำนวนมากทำงานหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้บุตร ทั้งการศึกษาและโอกาสดี ๆ มากมาย แต่สิ่งที่ต้องแลกไปคือ เวลา การอยู่ร่วมกัน และความใกล้ชิดทางใจ ลูกอาจเติบโตขึ้นมาอย่างสบายในวัตถุ แต่กลับขาดความอบอุ่นทางอารมณ์ สิ่งที่พ่อแม่พยายาม “ให้ทุกอย่าง” อาจกลายเป็นการละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความรัก การเอาใจใส่ และการอบรมทางจิตใจ

เด็กสมัยนี้เต็มไปด้วยกิจกรรมเสริม — กีฬา ดนตรี วิชาการ และสังคม แต่กิจกรรมในวัดหรือการเสริมสร้างความเชื่อกลับถูกลดความสำคัญลง บางครอบครัวละเลยแม้แต่การร่วมมิสซาในวันอาทิตย์เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ สิ่งนี้ค่อย ๆ สื่อสารโดยไม่รู้ตัวว่า “ศรัทธาไม่สำคัญ” หรือ “ศรัทธาเป็นเรื่องรอง”

ความซื่อสัตย์และคุณธรรม

ในการแสวงหาความสำเร็จ เราอาจเผลอยอมประนีประนอมกับความซื่อสัตย์ เช่น การพูดเกินจริง การบิดเบือนความจริง หรือการโกหกเล็ก ๆ ที่คิดว่าไม่เป็นไร แต่การไม่ซื่อสัตย์แม้เพียงเล็กน้อยก็ค่อย ๆ บ่อนทำลายจิตใจและทำลายความไว้วางใจ สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้สามารถหล่อหลอมให้เราเปลี่ยนแปลงค่านิยมโดยไม่รู้ตัว

🙏 พระวรสารวันนี้สอนอะไรเรา

พระเยซูเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้ปฏิเสธทรัพย์สมบัติ แต่ทรงเตือนให้เราแสวงหาความสมดุล และจำว่า “ความมากมาย” ไม่ใช่พระพรแท้จริง พระพรแท้จริงคือความรัก ความเชื่อ และการมีอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย

นี่คือสิ่งที่พระองค์หมายถึงเมื่อกล่าวว่า ท่านจะรับใช้สองนายพร้อมกันไม่ได้” การติดตามพระเยซูเจ้าคือการเลือกหัวใจที่ไม่แบ่งแยก เป็นหัวใจที่ยอมเลือกความเชื่อเหนือความกลัว ความซื่อสัตย์เหนือการประนีประนอม และเป้าหมายที่แท้จริงเหนือวัตถุ

แม้การเป็นศิษย์พระคริสต์อาจไม่รับประกันความมั่งคั่งในโลกนี้ แต่มันนำมาซึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ มรดกนิรันดร

ทรัพย์สมบัติแห่งสวรรค์ไม่ใช่ทองคำหรือทรัพย์สิน แต่คือสันติสุข ความรัก ความยินดี และการอยู่ร่วมกับพระเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงเชิญเราให้เชื่อว่า สิ่งที่เราสละในโลกนี้ไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ในสวรรค์ ความมั่งคั่งที่แท้จริงจึงอยู่ในการดำเนินชีวิตที่หยั่งรากในความเชื่อ และในพระคริสตเจ้า

👉 เลือกสร้างความมั่งคั่งฝ่ายจิตมากกว่าทรัพย์ฝ่ายวัตถุ
เพราะความสมบูรณ์แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การครอบครอง แต่อยู่ที่ความสงบภายใน ความเมตตา และชีวิตที่มีเป้าหมายอันลึกซึ้ง



วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2568

 

วันฉลองเทิดทูนไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (14 กันยายน 2025) จากบทเทศน์ของ Fr Clarence Devadass

หลายปีก่อน มีชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านห่างไกล เขาสวมไม้กางเขนเล็ก ๆ ทำจากไม้ไว้ที่คอ ขณะเดินผ่านเมืองใกล้ ๆ มีคนล้อเลียนเขาว่า
ทำไมต้องสวมเครื่องหมายแห่งความตาย? ไม้กางเขนก็เป็นเพียงเครื่องประหารอาชญากรไม่ใช่หรือ?”

ชายหนุ่มตอบอย่างอ่อนโยนว่า
ใช่ ผมรู้ แต่ไม้กางเขนนี้เตือนให้ผมระลึกว่ามีผู้หนึ่งสิ้นพระชนม์เพื่อผม ไม่ใช่เพื่อจะพิพากษาผม แต่เพื่อช่วยผมให้รอด ไม้กางเขนนี้จึงไม่ใช่สัญลักษณ์ของความตายอีกต่อไป แต่เป็นพยานแห่งความรัก การเสียสละ และการไถ่กู้ นี่คือเหตุผลที่ผมมีชีวิตอยู่”

วันนี้เมื่อเราฉลองวันเทิดทูนไม้กางเขน เราได้รับการย้ำถึงความจริงเดียวกันนั้น แต่เดิมไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอับอาย ความทุกข์ทรมาน และความตาย—เป็นเครื่องมือประหารสำหรับคนที่เลวร้ายที่สุด ทว่าเพราะพระเยซูคริสต์สละพระชนม์ ไม้กางเขนจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่เคยหมายถึงความพ่ายแพ้ บัดนี้กลายเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะ สิ่งที่เคยสร้างความหวาดกลัว บัดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของความรักและการไถ่กู้จากพระเจ้า เป็นแก่นแท้แห่งความเชื่อคริสตชนของเรา

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พระเยซูทรงเตือนเราว่า หากต้องการติดตามพระองค์ เราจำเป็นต้อง “แบกกางเขนของตนเอง” การเป็นศิษย์ไม่ใช่การแสวงหาความสะดวกสบาย แต่คือความซื่อสัตย์ การยอมรับกางเขนคือการยอมรับรอยประทับของพระคริสตเจ้าบนชีวิตของเรา ดังที่พระวรสารวันนี้ย้ำว่า
เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อว่าโลกจะรอดพ้นโดยทางพระบุตร” (ยน 3:17)

ดังนั้น ไม้กางเขนจึงไม่ใช่เครื่องหมายแห่งการพิพากษา แต่คือสะพานแห่งความรอด

เมื่อเรามองไม้กางเขนในการภาวนา เราไม่ได้มองเพียงสิ่งของในประวัติศาสตร์ แต่เรามองไปยังหัวใจที่ยังมีชีวิตของความเชื่อ ทุกครั้งที่เราทำเครื่องหมายสำคัญกางเขนบนตัวเอง เรากำลังประกาศอย่างลึกซึ้งว่า “ข้าพเจ้าสังกัดพระคริสตเจ้า” นี่ไม่ใช่พิธีกรรมที่ว่างเปล่า แต่เป็นตราประทับที่มีพลัง ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่เราได้รับศีลล้างบาป

ในพิธีล้างบาป ท่าทีแรกคือการทำสำคัญมหากางเขนบนหน้าผาก นับตั้งแต่นั้น ชีวิตของคริสตชนก็เป็นของพระคริสตเจ้าอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นการประกาศศักดิ์สิทธิ์ว่าเราถูกโอบกอดภายใต้พระหรรษทาน การคุ้มครอง และพันธกิจของพระผู้ไถ่

ไม้กางเขนจึงไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งเสรีภาพและชัยชนะ แต่ยังเป็นการประกาศตัวตนว่าเราเป็นใคร และเป็นของใคร หากเราเป็นของพระคริสตเจ้า ชีวิตเราก็ต้องเป็นพยานถึงพระองค์ คำพูดที่เราเอ่ย การกระทำแห่งความรัก การมอบความเมตตา ล้วนเป็นการประกาศพระคริสตเจ้าผ่านกางเขน

  • เมื่อเราให้อภัยแทนที่จะโกรธแค้น นั่นคือการแบกกางเขน
  • เมื่อเราเลือกความซื่อสัตย์แทนความสำเร็จง่าย ๆ เรากำลังประกาศพระคริสต์
  • เมื่อเราให้เกียรติแทนที่จะนินทาหรือทำร้ายผู้อื่น เรากำลังทำให้กางเขนปรากฏในกลุ่มเพื่อน
  • เมื่อเราเอาใจใส่คนยากจน เยี่ยมผู้ป่วย หรือปลอบโยนผู้เดียวดาย เรากำลังยื่นแขนแห่งความรักของพระคริสตเจ้าออกไปสู่โลก

ในทางเลือกเล็ก ๆ เหล่านี้ ไม้กางเขนไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ที่เราสวม แต่กลายเป็นวิถีชีวิตที่เราดำเนินจริง เป็นคำประกาศเงียบ ๆ ว่าเราสังกัดพระคริสต์

สิ่งที่เราฉลองวันนี้จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่คือการประกาศวิถีชีวิตที่เรายอมรับด้วยความสมัครใจ ไม้กางเขนไม่ใช่ภาระที่ควรหวาดกลัว แต่คือความชื่นชมยินดีที่ควรโอบกอด เพราะภายในนั้นมีพันธสัญญาแห่งความรอดพ้นของเราอยู่แน่นอน

ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณทำสำคัญมหากางเขน อย่าทำเพียงด้วยความเคยชิน แต่ทำด้วยหัวใจที่ชื่นชมยินดี เพื่อประกาศแก่ตนเองและต่อโลกว่า
ข้าพเจ้าเป็นของพระเยซูเจ้า”



วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2568

 

สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา (7 กันยายน 2025)
การภาวนาพระวรสารวันอาทิตย์: ลูกา 14:25–33
Fr. Clarence Devadass

เมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก หลายคนคงเหมือนกันที่เคยหัดปั่นจักรยาน ช่วงแรกก็ล้มบ้าง หัวเข่าแตกบ้าง เจ็บปวดจนร้องไห้ แต่ก็ยังลุกขึ้นมาลองใหม่เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สามารถปั่นได้อย่างมั่นใจ รู้สึกอิสระและมีความสุขเต็มเปี่ยม สิ่งที่น่าจดจำไม่ใช่แค่ความสุขตอนปั่นจักรยานได้ แต่คือ "ราคาที่ต้องจ่าย" — ความเจ็บปวด ความไม่สะดวกสบาย และความภูมิใจที่ต้องวางลง เพื่อจะได้พบกับอิสระที่แท้จริง

พระวรสารวันนี้ก็สื่อถึงความจริงเดียวกัน พระเยซูเจ้าเจ้าหันมาบอกกับผู้คนว่า ถ้าใครรักพ่อแม่ ภรรยา ลูก พี่น้อง หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเองมากกว่ารักเรา ผู้นั้นก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้” ฟังดูเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นรุนแรง แต่แท้จริงแล้วพระองค์ไม่ได้หมายถึงให้เราดูหมิ่นคนใกล้ชิด หากแต่กำลังชี้ว่า การติดตามพระองค์ต้องวาง "พระคริสตเจ้า" เป็นความรักสูงสุดเหนือสิ่งใดทั้งหมด

พระเยซูเจ้าทรงบอกชัดเจนว่า การเป็นศิษย์ของพระองค์มี "ราคา" ต้องแลกเปลี่ยน ต้องยอมสละ พระองค์เปรียบเหมือนการสร้างหอคอยหรือการเตรียมออกรบ ที่ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายและความพร้อมก่อนฉันใด การติดตามพระองค์ก็ฉันนั้น หากไม่ยอมแบกกางเขนของตน เราก็ไม่อาจเป็นศิษย์แท้ได้

แล้วในชีวิตประจำวันสิ่งนี้หมายถึงอะไร? สำหรับคนส่วนใหญ่ไม่ใช่การละทิ้งทุกอย่างเหมือนอัครสาวกยุคแรก แต่คือการเลือกพระเจ้ามาก่อนสิ่งอื่น ๆ — เลือกเวลาอธิษฐานมาก่อนความสะดวกสบาย แม้ในวันที่ตารางชีวิตแน่นเต็ม เลือกพูดความจริงแม้จะยากกว่าโกหก เลือกเสียสละสิ่งฟุ่มเฟือยเพื่อแบ่งปันแก่คนยากจน เลือกความซื่อสัตย์เหนือความสำเร็จที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง การเลือกเหล่านี้อาจเจ็บปวดและต้องสละ แต่ก็หล่อหลอมเราให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระคริสตเจ้า

พระวรสารยังชี้ให้เราเห็นความย้อนแย้งด้วยว่า การสละไม่ใช่การสูญเสีย แต่เป็นหนทางสู่อิสรภาพ เมื่อเรายึดติดกับสิ่งของ ความภาคภูมิ หรือความหลงใหลส่วนตัว เรากลับกลายเป็นทาสของมัน แต่เมื่อเรากล้าวางสิ่งเหล่านี้เพื่อพระคริสตเจ้า เรากลับได้พบอิสรภาพแท้จริง ได้รักอย่างลึกซึ้ง และได้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น

พระเยซูเจ้าจึงถามเราทุกคนว่า เจ้าพร้อมจะสละสิ่งใดเพื่อเดินตามเรา?” บางครั้งอาจเป็นการปล่อยวางความผูกพันที่ไม่ดี บาปที่เรายังยึดถือ ความโกรธที่คั่งค้าง หรือแม้แต่เวลาเพียงเล็กน้อยที่เราหวงไว้กับตนเอง หากเรากล้ามอบสิ่งเหล่านี้ให้พระองค์ เราไม่ได้สูญเสีย แต่กลับได้รับ — ได้ชีวิตใหม่ ความสุขแท้ และความหวังในชีวิตนิรันดร

เหมือนการหัดปั่นจักรยาน การติดตามพระคริสต์อาจมีการล้มลุกคลุกคลาน แต่ทุกครั้งที่เราลุกขึ้นใหม่ ก็เป็นอีกก้าวที่พาเราเข้าใกล้ความสุขแท้ในพระหรรษทานของพระองค์มากขึ้น



วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2568

 

วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา (31 สิงหาคม 2025)

การรำพึงพระวรสารวันอาทิตย์: ลูกา 14:1, 7–14
โดย คุณพ่อ Clarence Devadass

พระวรสารวันนี้จากลูกาบทที่ 14 พาเราเข้าสู่บรรยากาศของงานเลี้ยง และไม่ใช่เพียงงานเลี้ยงธรรมดา แต่เป็นงานเลี้ยงที่เปิดเผย หัวใจของพระเจ้า และท่าทีที่พระองค์ทรงปรารถนาให้ประชากรของพระองค์มีต่อกันและกัน

เมื่อพระเยซูเจ้าประทับร่วมโต๊ะกับฟาริสีคนสำคัญ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแขกผู้มาร่วมงานต่างแย่งชิงเก้าอี้ที่ดีที่สุด พระองค์จึงเล่าอุปมาให้ฟังว่า:

เมื่อท่านถูกเชิญไปงานเลี้ยง จงไปนั่งในที่ต่ำสุด … เพราะผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ส่วนผู้ที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”

นี่มิใช่เพียงคำแนะนำเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร แต่เป็น ความจริงทางจิตวิญญาณ ที่กระทบถึงแก่นแท้ของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และระหว่างเรากับเพื่อนมนุษย์

ความถ่อมตน ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นพลังที่อยู่ในกรอบของวินัย ไม่ใช่การดูถูกตนเอง แต่เป็นความซื่อตรงในการมองเห็นตัวเองตามความเป็นจริง และไม่ใช่ความเฉื่อยชา แต่คือการเลือกที่จะยกผู้อื่นขึ้น โดยไว้วางใจว่าพระเจ้าทรงเห็นและทรงให้เกียรติผู้ต่ำต้อย

ในโลกปัจจุบัน ความถ่อมตนมักถูกเข้าใจผิด เรามีวัฒนธรรมที่ยกย่องความโดดเด่น ความสำเร็จ และการโฆษณาตัวเอง สื่อสังคมออนไลน์เชื้อเชิญเราให้สร้างภาพลักษณ์เพื่อเรียกเสียงชื่นชม ความสำเร็จถูกวัดจากการไต่เต้าขึ้นสูง มีผู้ติดตามมากมาย หรือทำเสียงของเราดังกว่าคนอื่น

แต่พระเยซูเจ้ากลับพลิกตรรกะนี้กลับด้าน พระองค์บอกเราว่า “ทางขึ้นแท้จริงคือการก้าวลงต่ำ” เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่คือการรับใช้ เกียรติแท้จริงไม่ได้มาจากการยกตน แต่จาก ความถ่อมตน

ความถ่อมตนไม่ใช่เพียงการมองตนเอง แต่คือการ มองเห็นคุณค่าของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่โลกมักมองข้าม เป็นการก้าวถอยลงเพื่อให้คนอื่นก้าวขึ้น เป็นการฟังมากกว่าพูด เป็นการให้มากกว่ารับ เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน

พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ พระองค์แม้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ไม่ทรงยึดติดกับศักดิ์ศรีความเป็นพระ แต่ทรงรับสภาพเป็นผู้รับใช้: ทรงล้างเท้า, เสวยร่วมกับคนชายขอบ, และถึงกับสละพระชนม์บนไม้กางเขน การกลับคืนพระชนมชีพคือถ้อยแถลงของพระเจ้าว่า ความถ่อมตนไม่สูญเปล่า ผู้ที่ถ่อมตนจะได้รับการยกย่อง”

แล้วสิ่งนี้หมายความอย่างไรสำหรับเรา?

  • มันเชิญชวนเราให้กลับมามองลึกในใจตนเองว่า

เรากำลังมุ่งหาการยอมรับ หรือมุ่งให้การรับใช้?
เรากำลังสร้างเวทีเพื่อยกตน หรือสร้างคนรอบข้างให้เติบโต?
เราเลือกคบเพียงผู้ที่มีประโยชน์กับเรา หรือเรายื่นมือไปหาผู้ที่ต้องการเรา?

และยังเรียกร้องให้เรา ดำเนินชีวิตแห่งความถ่อมตนในทุก ๆ วัน ทั้งในบ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน และวัดของเรา คือให้การรับฟังต้องมาก่อน และการพูดมาทีหลัง เลือกนั่งที่ต่ำ ไม่ใช่เพราะเราดูถูกตัวเอง แต่เพราะเราวางใจให้พระเจ้าเป็นผู้ยกเราขึ้นในเวลาของพระองค์

พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า การเป็นศิษย์มิใช่เรื่องของความภาคภูมิใจ แต่คือความถ่อมตน มิใช่เรื่องของฐานะ แต่คือการรับใช้ มิใช่การยกตนขึ้น แต่คือการมอบความรักอย่างเสียสละ

นี่คือ งานเลี้ยงที่พระองค์เชิญเราเข้าร่วม งานเลี้ยงที่ผู้ถ่อมตนจะได้รับเกียรติ ผู้ถูกมองข้ามจะได้รับการต้อนรับ และพระเจ้าเองคือเจ้าภาพ