Eros และ Agape:
การสำรวจรูปแบบความรักในมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา พระศาสนจักร
และจิตวิทยา
บทนำ
แนวคิดเรื่องความรักมีความหลากหลายในเชิงปรัชญาและศาสนา
คำว่า eros และ agape
เป็นคำภาษากรีกโบราณที่มักใช้อธิบายรูปแบบความรักสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
Eros หมายถึงความรักแบบเสน่หา
ความรักแบบโรแมนติกหรือความรักเชิงราคะที่มีแรงดึงดูดทางกายและอารมณ์ต่อคนรัก ส่วน
Agape หมายถึงความรักแบบเสียสละ
ความรักที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มุ่งความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข
ในบทความนี้ เราจะสำรวจแนวคิดของความรักทั้งสองรูปแบบนี้ในมิติที่ครอบคลุม
ตั้งแต่หลักฐานในพระคัมภีร์ แนวคิดทางเทววิทยาของนักคิดคนสำคัญๆ
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ไปจนถึงมุมมองทางจิตวิทยาทั้งแบบคลาสสิกและจิตวิทยาคริสต์
เพื่อทำความเข้าใจว่า eros และ agape มีบทบาทและความหมายอย่างไร
และความสัมพันธ์ระหว่างความรักทั้งสองรูปแบบนี้เป็นอย่างไร
ความหมายของ Eros และ Agape
คำว่า
Eros (ἔρως) ในความคิดกรีกคลาสสิกหมายถึงความรักหรือความใคร่ที่มีลักษณะปรารถนาและหลงใหลต่อสิ่งสวยงาม
โดยเฉพาะความรักระหว่างชายหญิงซึ่งมักเกิดจากแรงดึงดูดทางกายใจ Eros จึงสื่อถึงความรักที่มนุษย์ “ปรารถนา” จะได้รับหรือครอบครองสิ่งที่รัก
สำหรับ Agape (ἀγάπη) นั้นหมายถึงความรักที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาและเสียสละ
เป็นความรักที่ให้ออกไปโดยไม่หวังผลตอบแทน Agape มักถูกใช้ในบริบทศาสนาคริสต์เพื่ออธิบายความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์
และความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ความแตกต่างพื้นฐานคือ eros
เป็นความรักที่เริ่มต้นจากความต้องการหรือความพึงพอใจของตนเอง ส่วน agape
เป็นความรักที่มุ่งประโยชน์และความดีของผู้อื่นเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี
นักปราชญ์และนักเทววิทยาหลายท่านได้ตั้งคำถามว่าความรักทั้งสองรูปแบบนี้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงหรือสามารถเกื้อกูลกันได้
ซึ่งเราจะพิจารณาในส่วนต่อๆ ไป
Eros และ Agape ในมุมมองพระคัมภีร์
พันธสัญญาเดิม: ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
คำภาษาฮีบรูที่ใช้สื่อความหมาย “ความรัก” มีหลายคำ หนึ่งในนั้นคือ ahavah (אהבה) ซึ่งครอบคลุมทั้งความรักแบบเสน่หาและความรักเมตตากรุณา
คัมภีร์เพลงซาโลมอน (Song of Songs) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความรักแบบเสน่หาเชิงชู้สาวที่ได้รับการยกย่องอย่างงดงามในพระคัมภีร์
แสดงถึง eros ในบริบทการสมรสระหว่างชายหญิง
อย่างไรก็ตาม
พระคัมภีร์ยังใช้ภาพลักษณ์ความรักฉันสามีภรรยานี้เป็นอุปมาแทนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ด้วย
ทำให้ eros ในเชิงพันธสัญญาเดิมสามารถสื่อถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่ออิสราเอลผ่านภาพเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
ขณะเดียวกัน
พันธสัญญาเดิมเผยให้เห็นมิติของความรักแบบเมตตากรุณาและซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์
คำว่าความรักเมตตา (hesed, חֶסֶד) ในภาษาฮีบรูหมายถึงความรักมั่นคงที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและพระกรุณา
ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของ agape ที่มุ่งความภักดีและหวังดีต่อผู้อื่นโดยไม่เปลี่ยนแปลง
พันธสัญญาใหม่: ในคัมภีร์พันธสัญญาใหม่
ภาษาเดิมที่ใช้เขียนคือภาษากรีก ซึ่งมีคำหลายคำสำหรับ “ความรัก”
แต่ผู้เขียนพระวรสารและจดหมายอัครสาวกเลือกใช้คำว่า agape มากที่สุด
ในขณะที่คำว่า eros นั้นไม่ได้ปรากฏในข้อความภาษากรีกของพันธสัญญาใหม่เลย
(มีการใช้ในฉบับแปลเซปตัวจินต์ของพันธสัญญาเดิมเพียง 2 ครั้งเท่านั้น)vatican.vavatican.va
การหลีกเลี่ยงคำว่า eros พร้อมกับการเน้นคำว่า
agape ในพันธสัญญาใหม่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของความเข้าใจเรื่องความรักในคริสตศาสนาvatican.vavatican.va
ตัวอย่างเช่น พระวรสารยอห์นและจดหมายของยอห์นใช้คำว่า agape
เพื่ออธิบายว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยน 4:8)
และความรักที่คริสตชนพึงมีต่อกัน (“จงรักกันและกันเหมือนที่เรารักท่าน”
ยน 13:34) เป็นความรักแบบเสียสละตนเอง
พระเยซูเจ้าทรงสอนให้รักศัตรู (มธ 5:44) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เหนือความรักตามธรรมชาติปกติ—นี่คือการเรียกร้องให้แสดงความรักแบบ
agape ที่ไม่มีเงื่อนไขต่อผู้อื่น ในขณะเดียวกัน
พันธสัญญาใหม่ไม่ได้ปฏิเสธหรือมองข้ามมิติของ eros อย่างสิ้นเชิง
คำว่า philia (ความรักฉันมิตรสหาย) ถูกใช้บ้าง เช่น
พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกว่าเป็นมิตรสหายของพระองค์ (ยน 15:15) และตอนที่พระเยซูตรัสถามเปโตรว่า “ท่านรักเราไหม” ก็มีการเล่นคำระหว่าง agapao
และ phileo (ยน 21:15-17) แม้การตีความจะต่างกัน แต่แสดงถึงมิติหลากหลายของความรักที่คริสตชนเข้าใจ
นอกจากนี้
นักบุญเปาโลยังได้นิยามความรักไว้อย่างงดงามใน 1 โครินธ์ 13 ซึ่งคำว่าความรักที่ใช้นั้นคือ
agape ทั้งหมด เปาโลกล่าวว่าความรักเป็นการ “อดทนนาน
ใจดี ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งผยอง...ไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว...และไม่สิ้นสุด”
(1คร
13:4-8) ลักษณะเหล่านี้สะท้อนชัดเจนถึงความรักแบบเสียสละตามความหมายของ
agape มากกว่า eros ทั้งยังย้ำว่าความรัก
(agape) เป็นคุณธรรมสูงสุดที่คงอยู่ตลอดไป (1คร 13:13) ขณะเดียวกัน
พันธสัญญาใหม่ก็ยกย่องความรักในชีวิตสมรสว่าเป็นสิ่งประเสริฐ (ดูอฟ. 5:25-33
ที่เปาโลเปรียบความรักของสามีภรรยาเหมือนความรักของพระคริสต์ที่มีต่อพระศาสนจักร)
ซึ่งตรงนี้คือการดึงเอามิติของ eros ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความเสียสละแบบ
agape มาผสมผสานกันอย่างลงตัว
โดยสรุป
พระคัมภีร์ไบเบิลชี้ให้เห็นว่าความรักมีมิติที่ลึกซึ้งหลายระดับ ความรักแบบเสน่หา
(eros) ไม่ได้ถูกปฏิเสธ หากแต่ต้องได้รับการชำระและมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีงามกว่า
ส่วนความรักแบบเมตตาเสียสละ (agape) ได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นหัวใจของบทบัญญัติและธรรมชาติของพระเจ้าเอง
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1ยน 4:8) — Deus caritas
est — และคริสตชนได้รับเชิญให้ดำเนินชีวิตในความรักเช่นนั้น
มุมมองทางเทววิทยาเกี่ยวกับ Eros และ Agape
ตลอดประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร
นักเทววิทยาได้ใคร่ครวญถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรักแบบ eros และ agape
อย่างลึกซึ้ง บ้างก็เน้นความแตกต่างที่ตรงข้ามกัน
ในขณะที่บางท่านพยายามประสานให้เห็นว่าความรักทั้งสองแบบนี้สามารถหลอมรวมกันในบริบทคริสตชนได้อย่างไร
นักบุญออกุสติน
(St.
Augustine): ออกุสตินถือเป็นนักเทววิทยาคนสำคัญช่วงปลายยุคโบราณ
ท่านได้ไตร่ตรองถึงธรรมชาติของความรักไว้ในงานเขียนหลายชิ้น
ออกุสตินแยกแยะระหว่างความรักที่มุ่งสู่วัตถุหรือความสุขส่วนตน
(ซึ่งบางครั้งเรียกว่า cupiditas หรือความใคร่แบบติดยึด)
กับความรักที่มุ่งสู่องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้อื่นอย่างถูกระเบียบ (เรียกว่า caritas
หรือความรักเมตตา) กล่าวคือ caritas เป็นความรักที่ถูกจัดระเบียบอย่างถูกต้อง
(ordo amoris) โดยให้พระเจ้าเป็นจุดสูงสุด
และรักทุกสิ่งในฐานะที่สัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเหมาะสม ขณะที่ cupiditas
คือความรักใฝ่ต่ำที่เบี่ยงเบนไปติดในสิ่งสร้างมากกว่าจะมุ่งสู่พระผู้สร้าง
แนวคิดนี้สะท้อนความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่างความรักที่เสียสละตนเพื่อพระเจ้า
(คล้าย agape) กับความรักเชิงปรารถนาตนเอง (ที่อาจเทียบกับ eros
ในด้านลบ) แต่ออกุสตินไม่ได้ปฏิเสธ eros โดยสิ้นเชิง ท่านพยายามสังเคราะห์ความรักฝ่ายมนุษย์เข้ากับความรักฝ่ายพระเจ้า
ท่านกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้าสำหรับพระองค์ และดวงใจของข้าพเจ้าจะไม่พบความสงบจนกว่าจะพักพิงในพระองค์”
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความปรารถนาอย่างลึกซึ้ง (eros) ของมนุษย์จะหาความสมบูรณ์ได้ก็เมื่อพักพิงในความรักของพระเจ้า
(agape) เท่านั้น
กล่าวได้ว่าความใคร่ปรารถนาในชีวิตมนุษย์ หากถูกชี้นำอย่างถูกต้อง
ย่อมพามนุษย์ไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายสูงสุดของความรัก
นักบุญโธมัส
อไควนัส (St.
Thomas Aquinas):
ในยุคกลาง อไควนัสได้วิเคราะห์ธรรมชาติของความรักไว้อย่างเป็นระบบ
ท่านให้นิยามว่า “การรักคือการประสงค์ความดีแก่ใครสักคน” ซึ่งชี้ว่าหัวใจของความรักคือเจตจำนงที่หวังดีต่อผู้อื่น
อไควนัสจำแนกความรักออกเป็นสองลักษณะ คือ amor amicitiae (ความรักฉันมิตรภาพ หรือ “รักแบบมิตร”) และ amor concupiscentiae
(ความรักแบบใคร่หรือ “รักเพราะอยากได้”) รักฉันมิตรภาพ
คือความรักที่รักอีกฝ่าย “เพราะตัวเขาเอง” และปรารถนาให้เขาได้รับความดี
(สอดคล้องกับความรักแบบ agape ที่มุ่งประโยชน์ของผู้ถูกรัก)
ส่วน รักแบบใคร่ คือความรักที่รักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “ไม่ใช่เพราะตัวมันเอง
แต่เพราะสิ่งนั้นตอบสนองความต้องการหรือความพึงพอใจของผู้รัก” เช่น เราอาจพูดว่า
“ฉันรักไวน์” ซึ่งหมายถึงเราปรารถนาไวน์นั้นเพื่อตนเอง (รักแบบ concupiscentiae)
ไม่ได้รักไวน์เพื่อความดีของไวน์เอง แนวแบ่งนี้ทำให้อไควนัสชี้ว่าเมื่อเราพูดถึง
“รักเพื่อนมนุษย์” อย่างแท้จริง เราต้องรักเขาแบบมิตรภาพ
คือรักเขาเพื่อความดีของเขา (รักแบบ benevolentiae) ไม่ใช่เพียงเพราะเขาให้ประโยชน์หรือความสุขแก่เราเท่านั้น
นอกจากนี้ อไควนัสยังอธิบายว่าความรักที่สมบูรณ์ที่สุดคือคุณธรรมแห่งความรักหรือ เมตตาธรรม
(Caritas) ซึ่งเป็นความรักเหนือธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์สามารถรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด
และรักเพื่อนมนุษย์เพื่อเห็นแก่พระเจ้า เมตตาธรรมนี้ก็คือความรักแบบ agape
ในมิติคริสตชน
ซึ่งยกระดับความรักธรรมดาของมนุษย์ให้เข้าร่วมในความรักของพระเจ้า
อันเดอร์ส
นายเกร็น (Anders
Nygren) และการถกเถียงยุคใหม่: ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักเทววิทยาชาวสวีเดนชื่ออันเดอร์ส
นายเกร็น ได้เขียนหนังสือชื่อ Agape and Eros (1930) ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก
โดยเสนอว่าความรักแบบ agape และ eros เป็น “ขั้วตรงข้าม” กันโดยสิ้นเชิง นายเกร็นให้เหตุผลว่า eros
เป็นความรักแบบยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (self-centered love)
เป็นความรักเชิงปรารถนาและแสวงหาการครอบครองเพื่อสนองความต้องการของตนเอง
ส่วน agape เป็นความรักที่ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบ (self-giving
love) เป็นความรักที่พระเจ้าประทานและเป็นแบบอย่างของคริสต์ศาสนาโดยแท้จริง
นายเกร็นกล่าวว่าในประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ มีความพยายามจะประสาน eros
เข้ากับ agape โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคออกุสตินที่ใช้คำว่า
caritas ซึ่งเขาเห็นว่าเป็น “การปนเปื้อน”
ทำให้แนวคิด agape บริสุทธิ์ด้อยลงไป นายเกร็นยืนยันว่าคริสต์ศาสนาที่แท้นั้นคือศาสนาแห่ง
agape เพียงอย่างเดียว และควรปฏิเสธมิติ eros
เสีย เพราะ eros นั้นทำให้เราหันเหจากพระเจ้าและมุ่งหาประโยชน์เพื่อตนเอง
อย่างไรก็ดี มุมมองของนายเกร็นได้รับการโต้แย้งจากนักคิดหลายคน เช่น
นักเทววิทยาอย่าง Henri de Lubac และ Karl Barth ที่เห็นว่าแนวแบ่งขาดเช่นนั้นรุนแรงเกินไป และธรรมชาติมนุษย์ไม่อาจตัดขาดความใฝ่หา
(eros) ได้ สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับมัน
มิใช่ทำลายหรือปฏิเสธ
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์
ที่ 16: พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงเสนอแนวคิดเรื่องความรักไว้อย่างลุ่มลึกในสมณสาสน์
Deus Caritas Est (“พระเจ้าทรงเป็นความรัก”, ค.ศ. 2005) พระองค์ทรงชี้ว่าแม้ eros และ agape จะมีความแตกต่างกัน
แต่ทั้งสองอย่าง “ไม่อาจแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง”
หากแต่เป็นสองมิติของความรักอันสมบูรณ์หนึ่งเดียวที่มนุษย์พึงมี เบเนดิกต์ที่ 16
ทรงยืนยันว่าคริสตศาสนาไม่ได้ทำลายหรือวางยาพิษ eros ดังที่ไนเชอหรือผู้วิจารณ์ยุคตรัสว่า “คริสตจักรวางยาพิษความรักเสน่หา”
แต่กลับเยียวยาและยกระดับ eros ให้กลับคืนสู่ศักดิ์ศรีที่แท้จริงvatican.vavatican.va
พระองค์ทรงอธิบายว่าในวัฒนธรรมกรีกโบราณ eros มักถูกเทิดทูนดั่ง “ความบ้าคลั่งศักดิ์สิทธิ์” ที่ครอบงำมนุษย์
(ดังคำกล่าว omnia vincit amor หรือ
“ความรักชนะทุกสิ่ง” ของกวีโรมัน) แต่คริสตศาสนามิได้ปฏิเสธ eros ในฐานะพลังดึงดูด หากปฏิเสธการบูชา eros แบบผิดทิศทาง
(เช่น ลัทธิบูชาทางเพศในวิหารที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสตัณหา)vatican.vavatican.va
พระคัมภีร์ยืนยันว่า eros ที่ปราศจากการควบคุมตามใจใคร่อย่างบ้าคลั่งจะไม่นำมนุษย์ให้ก้าวขึ้นสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หากจะฉุดมนุษย์ให้ตกต่ำ (เป็น “การเสื่อม” แทนที่จะเป็น “การขึ้นสูง” สู่พระเจ้า)
ดังนั้น eros ต้องการการฝึกฝนวินัยและการชำระให้บริสุทธิ์
(disciplined and purified) เพื่อที่มันจะไม่ใช่เพียงความรื่นรมย์ชั่วคราว
แต่กลายเป็น “การลิ้มรสล่วงหน้าแห่งความสุขสูงสุดของการดำรงอยู่อย่างเต็มบริบูรณ์”vatican.va
พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า eros โดยตัวมันเองคือแรงขับที่พามนุษย์ออกนอกตนเอง
(“extasis” อันเป็นคุณลักษณะของ eros) มุ่งไปหาสิ่งดีงามและพระเจ้า
แต่ eros จะบรรลุถึงศักดิ์ศรีสูงสุดได้ก็ต้องดำเนินไปบน
“หนทางขึ้นสู่ที่สูง อาศัยการสละตน การชำระและการเยียวยา” (path of ascent,
renunciation, purification, and healing) กล่าวคือ eros
ต้องหลอมรวมกับ agape คือได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความรักเมตตาแห่งพระเจ้า
เมื่อรักเสน่หาได้รับการกล่อมเกลาภายในความรักเสียสละเช่นนี้
มนุษย์จึงจะรักได้อย่างสมดุลทั้งกายและวิญญาณ
และความรักของมนุษย์ก็จะสะท้อนความรักของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์
ในทัศนะของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ eros และ agape
จึงมิใช่ความรักคนละประเภทที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
หากแต่เป็นสองด้านของความรักหนึ่งเดียวที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์รู้จัก
ซึ่งทั้งด้านการดึงดูดแสวงหา (eros: รักแบบมนุษย์ที่โหยหาพระเจ้าและผู้อื่น)
และด้านการให้โดยเปล่าประโยชน์ (agape: รักแบบพระเจ้าที่มอบแก่ผู้อื่น)
ล้วนจำเป็นต่อกันและกัน ความรักแท้ต้องประกอบด้วยทั้งการได้รับและการให้
ดังที่เบเนดิกต์ที่ 16 ทรงสรุปว่า “eros และ agape — ความรักซึ่งขึ้นสูงและความรักซึ่งลงต่ำ
— ไม่เคยถูกแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์” แต่ทั้งสองหลอมรวมเป็นความรักที่ครบถ้วนในแผนการณ์ความรักของพระเจ้า
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับความรัก
พระศาสนจักรคาทอลิกได้สืบทอดความเข้าใจเรื่องความรักทั้งสองมิติผ่านทางคำสอนและเอกสารสำคัญต่าง
ๆ ซึ่งสะท้อนและยืนยันถึงคุณค่าของ agape
ในขณะเดียวกันก็มิได้ละทิ้งมิติของ eros แต่เน้นการยกระดับให้ถูกต้อง
คำสอนในหนังสือคำสอนฯ
(Catechism
of the Catholic Church):
หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกได้กล่าวถึงคุณธรรมแห่งความรัก
(เมตตาธรรม) ว่าเป็นคุณธรรมทางเทวศาสตร์สูงสุด
และยังได้ให้นิยามความรักตามแนวคิดของนักบุญโธมัส อไควนัสว่า
“การรักคือการประสงค์ดีต่อผู้อื่น” (to love is to will the good of the
other)ctrummer.blogspot.com ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความรักในทรรศนะคาทอลิกไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรืออารมณ์
แต่เป็นการตัดสินใจของเจตจำนงที่จะทำความดีแก่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว คำสอนข้อที่
1766 ของหนังสือคำสอนฯ กล่าวไว้ชัดเจนถึงคำนิยามนี้
และย้ำว่าความรักมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ต่อเมื่อมีรากฐานอยู่ในความรักของพระเจ้าที่ปราศจากเงื่อนไข
นอกจากนี้ หนังสือคำสอนฯ
ภาคที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตสมรสและความรักในครอบครัวยังสอนว่า
“พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยความรัก ทรงเรียกมนุษย์ให้รัก ซึ่งเป็นกระแสเรียกพื้นฐานดั้งเดิมของมนุษย์...
เพราะมนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก” (เทียบ คำสอนฯ ข้อ 1604)
นี่สะท้อนว่าความรักแบบ eros (เช่น
ความรักฉันสามีภรรยา) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างของพระเจ้า
แต่ต้องดำเนินในแนวทางที่สอดคล้องกับความรักแบบ agape คือรักกันด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และเปิดรับใหม่ (ในการให้กำเนิดบุตร)
ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์
Youcat
(Youth Catechism):
Youcat ซึ่งเป็นหนังสือคำสอนฉบับเยาวชนของพระศาสนจักร
ได้อธิบายเรื่องความรักไว้อย่างเข้าใจง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ ในหัวข้อ
“ความรักคืออะไร” Youcat สรุปว่าความรักคือ
“การมอบหัวใจตนเองให้ผู้อื่นอย่างเสรี” และกล่าวว่า
“รูปแบบความรักที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้คือความรักระหว่างชายหญิงที่ทั้งสองคนมอบตัวเองให้แก่กันและกันตลอดไป
ความรักของมนุษย์ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนหนึ่งของความรักพระเจ้า... ยิ่งมนุษย์รักมากเท่าใด
เขาก็ยิ่งเหมือนพระเจ้ามากเท่านั้น” ข้อความนี้เน้นย้ำว่าแม้ eros (ความรักระหว่างชายหญิง) จะเป็นรูปแบบความรักที่งดงามบนพื้นโลก
แต่สุดท้ายแล้วความรักทั้งมวลย่อมสะท้อนถึง agape คือความรักของพระเจ้าที่ไม่สิ้นสุด
การที่คนสองคนสัญญาจะรักกันตลอดไป (เช่น ในศีลสมรส)
เป็นภาพแทนของความรักนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงมีและทรงเชิญชวนเราเข้าร่วม
ยิ่งไปกว่านั้น Youcat ยังสอนด้วยว่าความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวือหวาชั่วคราว
แต่เป็นการตัดสินใจและคำมั่นที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนที่เรารัก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดความรักแบบ
agape ที่เน้นการให้ด้วยเจตจำนงและความซื่อสัตย์
เอกสารคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปา: นอกจาก Deus Caritas Est ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่
16 ที่กล่าวถึงแล้ว พระสันตะปาปาพระองค์อื่นๆ
ก็ได้ให้คำสอนเรื่องความรักที่สอดคล้องกับแนวคิด eros และ agape เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6
ในสมณสาสน์ Humanae Vitae (ค.ศ. 1968)
ได้กล่าวถึง “ความรักคู่สมรส”
ว่าต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของความรักฝ่ายกาย (eros) ที่อยู่ภายใต้คุณค่าทางจริยธรรมและการเปิดรับชีวิต
ซึ่งทำให้ความรักนั้นเป็นความรักที่ครบถ้วนและซื่อสัตย์ (สะท้อน agape)
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงสอนเรื่อง
“ความรักและความรับผิดชอบ” (Love and Responsibility) และอธิบายในการเทศนา
Theology of the Body ว่าความรักแบบเพศสัมพันธ์ (eros)
ไม่ใช่สิ่งไม่ดี
หากแต่เป็นของประทานที่พระเจ้าประทานมาเพื่อให้ชายหญิงมอบตนเองแก่กัน
ฉะนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีอีกฝ่ายและการอุทิศตนเอง (self-donation)
ซึ่งทำให้ eros นั้นกลายเป็นการแสดงออกของ
agape ในชีวิตสมรส
เอกสารเหล่านี้ตอกย้ำจุดยืนของพระศาสนจักรที่ว่า
ความรักของมนุษย์จะงดงามที่สุดเมื่อความรักแบบ eros ของเราถูกหลอมรวมอยู่ในความรักแบบ
agape กล่าวคือ มีทั้งความหลงใหลและความเสียสละ
ควบคู่กันไปอย่างสมดุล
มุมมองทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ Eros และ Agape
แนวคิดจิตวิทยาคลาสสิก: วงการจิตวิทยาเองก็ได้พยายามจำแนกประเภทของความรักที่มนุษย์มีต่อกัน
นักจิตวิทยาสังคมบางคนได้หยิบยืมคำกรีกโบราณมาใช้อธิบายรูปแบบความรัก เช่น John Lee (1973) เสนอทฤษฎี “รูปแบบความรัก 6 แบบ” (Love
Styles) ซึ่งสองในหกรูปแบบนั้นคือ eros และ agape โดยนิยามว่า ความรักแบบเสน่หา (Eros)
คือความรักที่เกิดแรงดึงดูดใจอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ต่อคนรัก
มีความหลงใหลโรแมนติกและผูกพันลึกซึ้งรวดเร็ว ผู้ที่มีสไตล์รักแบบนี้มักเปิดเผยความรู้สึกตรงไปตรงมาและพร้อมจะทุ่มเทให้ความสัมพันธ์อย่างเต็มที่
ขณะที่ ความรักแบบเสียสละ (Agape) เป็นความรักที่ผู้รักมุ่งจะ
“ให้” มากกว่า “รับ” คำนึงถึงความสุขและประโยชน์ของคนที่ตนรักเป็นสำคัญ
โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่เรียกร้องและพร้อมให้อภัย ถือว่า “การให้”
คือหัวใจสำคัญของความรักประเภทนี้ มุมมองนี้สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไปในทางจิตวิทยาว่า
eros คือรักใคร่แบบหลงใหล (passionate love) ส่วน agape คือรักเมตตาแบบเอื้ออาทร (altruistic
love) ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น
นักจิตวิทยาพบว่าผู้ที่มีทัศนคติความรักแบบ agape สูง
มักแสดงออกถึงความเมตตา กรุณา และความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่า
ส่วนผู้ที่ยึดความรักแบบ eros อย่างเดียวอาจมีความเสี่ยงที่จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางหรือคาดหวังความพึงพอใจส่วนตนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าความรักในความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาวะนั้นควรผสมผสานทั้งสองด้าน
คือมีทั้งความหลงใหลและความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เช่น ทฤษฎีความรักสามเส้าของ
Sternberg (1986) ระบุว่าความรักสมบูรณ์ประกอบด้วย
“ความเสน่หา” (passion - ใกล้เคียง eros), “ความสนิทสนม” (intimacy - ใกล้เคียง philia)
และ “ความผูกพันยั่งยืน” (commitment - ซึ่งต้องอาศัย
agape ในการให้คำมั่นแม้ยามทุกข์ยาก)
การมีทั้งสามองค์ประกอบนี้ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงและเติมเต็ม
มุมมองจิตวิทยาเชิงบวกและการวิจัย: จิตวิทยายุคใหม่ให้ความสนใจกับแนวคิด
“ความรักกรุณา” (compassionate
love หรือ altruistic love) ซึ่งใกล้เคียงกับ agape
โดยหมายถึงความรักที่ประกอบด้วยความห่วงใยลึกซึ้งต่อผู้อื่น
ไม่จำกัดเฉพาะคนรักหรือครอบครัว แต่รวมถึงความเมตตาต่อมนุษยชาติทั่วไป
นักวิจัยพบว่าความรักลักษณะนี้ส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตและความสุขของปัจเจกบุคคล
เพราะการให้และเห็นผู้อื่นมีความสุขก่อให้เกิดความพึงพอใจทางใจรูปแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ งานศึกษาด้านความผูกพัน (attachment theory) ยังชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างรูปแบบความรักกับประสบการณ์ชีวิตตอนต้น
เช่น การมีรูปแบบความผูกพันที่มั่นคง (secure attachment) มักสัมพันธ์กับการที่บุคคลสามารถรักผู้อื่นอย่างมั่นคงและเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น
(other-focused love) ในระดับสูง มากกว่า
ในทางตรงข้าม ผู้ที่มีความผูกพันไม่มั่นคง (เช่น
หลีกเลี่ยงหรือวิตกกังวล)
มักมีแนวโน้มจะแสวงหาความรักเพื่อตอบสนองตนเองหรือมีความต้องการครอบครองสูงกว่า งานวิจัยโดย
Scrofani (2012) พบว่าคนที่ผูกพันมั่นคงแสดงพฤติกรรมในความสัมพันธ์แบบ
“มุ่งผู้อื่น” สูง กล่าวคือใส่ใจความต้องการและประโยชน์ของคู่ตน
ส่วนคนที่ผูกพันไม่มั่นคงจะแสดงพฤติกรรม “มุ่งตนเอง”
มากกว่าและมีแนวโน้มใช้อารมณ์ด้านลบหรือการควบคุมในความสัมพันธ์มากกว่า สิ่งนี้สอดคล้องกับมุมมองทางคริสต์ศาสนาที่ว่า
การได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่วัยเยาว์ (เช่น
ความรักจากพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาแบบ agape) จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่รักผู้อื่นเป็น
และไม่จมอยู่กับการแสวงหาการเติมเต็มความรักเพื่อตนเองฝ่ายเดียว
จิตวิทยาในบริบทคริสต์: นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาทางคริสตศาสนาหลายคนได้บูรณาการแนวคิดเรื่องความรักแบบ
agape เข้ากับการบำบัดและการอภิบาลจิตใจ
แนวคิดเรื่อง “ความรักไร้เงื่อนไข” (unconditional love) ถือเป็นแกนสำคัญในการบำบัดแนวของ
Carl Rogers ที่เรียกว่า Unconditional Positive Regard
ซึ่งหมายถึงท่าทีรับฟังและยอมรับผู้รับการปรึกษาอย่างไม่มีเงื่อนไข
นักวิชาการคริสต์มองว่าท่าทีนี้เป็นภาพสะท้อนของความรักแบบ agape ของพระเจ้าที่ทรงรักมนุษย์โดยไม่ขึ้นกับความดีความชอบ
พระสงฆ์หรือนักบำบัดคริสเตียนบางท่านพบว่าการที่ผู้เข้ารับการบำบัด “รู้สึกว่าตนเป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์จากผู้มีอำนาจสูงสุดที่ตนศรัทธา”
(เช่น ประสบการณ์การรับรู้ความรักของพระเจ้า)
สามารถส่งผลเยียวยาบาดแผลในจิตใจได้อย่างลึกซึ้ง การวิจัยของ Sparrow (2008) ระบุว่าผู้ที่รายงานว่าตนมีประสบการณ์ฝ่ายจิตที่รู้สึกถึงการพบพระเจ้าหรือพลังเหนือธรรมชาติที่เมตตาตน
มักบรรยายว่าพระผู้เป็นเจ้าทรง “รู้จักฉันอย่างลึกซึ้งและรักฉันโดยปราศจากเงื่อนไข”
สิ่งนี้สร้างผลทางจิตใจคือทำให้บุคคลเกิดความมั่นคงและความหวัง
เห็นคุณค่าในตนเองผ่านสายพระเนตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเขา ในมุมนี้
จิตวิทยาคริสต์ชี้ว่าการเปิดตนเองรับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าที่เป็น agape
สมบูรณ์ จะช่วยมนุษย์ให้สามารถรักผู้อื่นได้ดีขึ้น
เพราะเมื่อมนุษย์รู้ว่าตนเป็นที่รัก
เขาย่อมพร้อมจะเผื่อแผ่ความรักนั้นต่อไปยังผู้อื่น ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“จงรักกันและกันเหมือนที่เรารักท่าน”
ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ต้องรับความรักจากพระองค์ก่อน จึงจะรักผู้อื่นในมาตรฐานเดียวกันได้
บทสรุป
จากการสำรวจทั้งมิติพระคัมภีร์
เทววิทยา คำสอนพระศาสนจักร และจิตวิทยา จะเห็นได้ว่า eros และ agape
เป็นแนวคิดเรื่องความรักที่มีความหมายต่างกันแต่เกื้อกูลกันในชีวิตมนุษย์
Eros แทนความรักแบบมนุษย์ที่มีแรงปรารถนาและความหลงใหล
ซึ่งเป็นพลังขับดันให้เราก้าวออกจากตัวเองไปสู่อีกคนหนึ่งหรือสู่อุดมคติที่สูงกว่า
ขณะที่ Agape เป็นความรักที่เป็นแบบอย่างของพระเจ้า
คือการรักที่พร้อมจะให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและมุ่งความดีของผู้อื่นเป็นสำคัญ
พระคัมภีร์เน้นความใหม่ของข่าวดีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก”
และทรงเรียกร้องให้เรารักแบบ agape แต่ก็มิได้ละทิ้งมิติของ
eros หากแต่เชื้อเชิญให้เรานำ eros นั้นมาสู่ความครบครันผ่านการชำระและการหลอมรวมเข้ากับ agape
ในทำนองเดียวกัน นักบุญออกุสตินและอไควนัสได้ชี้ให้เห็นว่าความใฝ่หารักแท้ของมนุษย์จะพบความสงบได้เมื่อมุ่งไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายของความรัก
และการรักผู้อื่นอย่างถูกต้องย่อมหมายถึงการหวังดีต่อเขาด้วยใจบริสุทธิ์ (caritas)
ไม่ใช่รักเพื่อประโยชน์ตนเองฝ่ายเดียว ข้อสรุปนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่
16 ที่ทรงสอนว่าความรักที่แท้จริงต้องประกอบด้วยทั้ง eros
และ agape ที่หลอมรวมกันอย่างกลมกลืน
มนุษย์ต้องการทั้งความรักเชิงหลงใหลและความรักเชิงเมตตาเพื่อให้หัวใจได้รับการเติมเต็มและยกระดับขึ้นสู่ความรักในระดับที่ใกล้เคียงกับพระเจ้ามากขึ้น
ในภาคปฏิบัติของชีวิต
ความรักแบบ eros เช่นในความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาหรือคู่รัก
ย่อมต้องการคุณค่าของ agape มาประคับประคองให้ความรักนั้นยืนยาวและเปี่ยมความหมาย
คือมีการให้ การเสียสละ การให้อภัย และความซื่อสัตย์ ขณะเดียวกัน ความรักแบบ agape
ในสังคมก็ต้องอาศัยแรงขับของ eros ในความหมายกว้าง
คือแรงปรารถนาที่จะเห็นสิ่งดีงามเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น
แรงดลใจที่จะทำกิจการรักเพื่อนมนุษย์อย่างกระตือรือร้น
มิใช่ความรักที่แห้งแล้งแต่เป็นความรักที่มีชีวิตชีวา จะเห็นได้ว่าทั้ง eros
และ agape ล้วนมีส่วนในการทำให้ความรักของมนุษย์สมบูรณ์และสะท้อนถึงธรรมชาติของพระเจ้า
ดังนั้น
ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจึงเป็นความรักที่รวมเอาหัวใจของ eros และจิตวิญญาณของ
agape เข้าไว้ด้วยกัน คือความรักที่ทั้งปรารถนาอย่างลึกซึ้งและพร้อมให้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เป็นความรักที่มนุษย์สัมผัสได้ทั้งในมิติของชีวิตคู่ การครองเรือน มิตรภาพ
ตลอดจนการรักเพื่อนมนุษย์ทั่วไป
และท้ายที่สุดความรักนั้นเองจะนำเรากลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักนิรันดร
เชิงอรรถและบรรณานุกรมเบื้องต้น
1.
พระคัมภีร์ไบเบิล (ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่), ฉบับอมตธรรมและฉบับคาทอลิกต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง.
2.
Augustine,
Confessions (อ้างถึงคำกล่าวในเล่ม 1 ที่ว่า
“Our hearts are restless until they rest in You.”)newadvent.org
3.
Thomas
Aquinas, Summa Theologiae I-II, Q.26 (อภิปรายเรื่องความรักแบ่งเป็นรักฉันมิตรภาพและรักแบบใคร่)newadvent.orgnewadvent.org
4.
Anders
Nygren, Agape and Eros (1930, แปลอังกฤษ 1953) – แนวคิดเปรียบเทียบความรักสองรูปแบบในคริสตศาสนาen.wikipedia.orgen.wikipedia.org
5.
สมณสาสน์ Deus Caritas Est ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16
(ค.ศ. 2005) – ว่าด้วยความรักคริสตชน
โดยเฉพาะย่อหน้าที่ 3-5 กล่าวถึง eros และ
agapevatican.vathefreelibrary.com
6.
Catechism
of the Catholic Church (1992) – ดูข้อ 1766 (คำนิยามความรักตามอไควนัส)
และส่วนที่ว่าด้วยศีลสมรสctrummer.blogspot.com
7.
Youcat:
Youth Catechism of the Catholic Church (2011) – หัวข้อ “What
is love?” (ข้อ 402) อธิบายความรักในภาษาที่เข้าถึงเยาวชนslideserve.com
8.
บทความ “Eros
and Agape” โดย Dr. Alice von Hildebrand, ใน Catholic
Culture Librarythefreelibrary.comthefreelibrary.com (อภิปรายความรักคู่สมรส vs ความรักเพื่อนมนุษย์ และคำศัพท์ละตินที่เกี่ยวข้อง)
9.
บทความ “The
5 Love Categories: Do You Really Know What Love Is?” โดย Dr.
Robert Enright, Psychology Today (2021)psychologytoday.compsychologytoday.com – กล่าวถึงประเภทความรักตามแนวคิดกรีกและเพิ่ม
“compassionate love”.
10.
บทความ “Agape
Love: How to Love Unconditionally” โดย Kendra Cherry, Verywell
Mind (2023)verywellmind.comverywellmind.com – อธิบายลักษณะความรักแบบ agape ในมุมมองจิตวิทยาสมัยใหม่.
11.
บทความ “รูปแบบความรัก – Love Styles” (2025) โดยคณะจิตวิทยา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยpsy.chula.ac.thpsy.chula.ac.th – อธิบายความรัก 6 รูปแบบ
(เสน่หา, เล่นเกม, มิตรภาพ, ปฏิบัติ, ลุ่มหลง, เสียสละ)
ในเชิงจิตวิทยาสังคมร่วมสมัย.
12.
Sparrow,
G. (2008) – งานวิจัยด้านจิตบำบัดเรื่องประสบการณ์ทางศาสนากับการเยียวยาจิตใจ
(อ้างในบทความ The Art of Love: A Roman Catholic Psychology of Love)thefreelibrary.com
13.
Scrofani,
J. (2012) – งานวิจัยด้านความผูกพันและพฤติกรรมรักแบบมุ่งผู้อื่น
(อ้างในบทความ The Art of Love: A Roman Catholic Psychology of Love)thefreelibrary.com