วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สมโภชนักบุญทั้งหลาย (1 พฤศจิกายน 2025)

 


สมโภชนักบุญทั้งหลาย (1 พฤศจิกายน 2025)
การไตร่ตรองพระวรสาร: มัทธิว 5:1-12
โดย บาทหลวงแคลเรนซ์ เดวาดาส

เมื่อเราพูดถึง “นักบุญ” หลายคนอาจนึกถึงบุคคลพิเศษ—ผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรมอันกล้าหาญ ความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอน และการกระทำที่ยิ่งใหญ่เหนือธรรมดา พระศาสนจักรประกาศแต่งตั้งบุคคลเหล่านี้เป็นนักบุญ เพื่อให้เราได้เห็นว่า “พระหรรษทานของพระเจ้า” สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้เพียงใดเมื่อหยั่งรากในหัวใจมนุษย์

แต่นักบุญไม่ได้รับการยกย่องเพราะเขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่เพราะพวกเขา “รักอย่างลึกซึ้ง ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ และเปิดใจให้พระเจ้าทรงทำงานผ่านพวกเขา” ชีวิตของนักบุญเตือนเราว่า ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม และไม่ได้สงวนไว้เฉพาะสำหรับคนพิเศษบางคน แต่เป็นกระแสเรียกของเราทุกคน ที่ได้รับศีลล้างบาปให้ดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และสะท้อนความรักของพระองค์ผ่านชีวิตประจำวันของเรา

แน่นอนว่ามีนักบุญที่เราคุ้นเคย เช่น นักบุญฟรังซิส นักบุญเทเรซา นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 หรือในยุคปัจจุบันอย่าง คาร์โล อาคูติส และ ยอห์น เฮนรี นิวแมน ซึ่งปัจจุบันพระศาสนจักรประกาศให้เป็นนักปราชญ์แห่งพระศาสนจักร  แต่วันนี้ ในวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย เราระลึกถึงไม่เพียงนักบุญที่มีชื่อเสียงเหล่านี้เท่านั้น แต่รวมถึงนักบุญนับไม่ถ้วนที่ไม่มีใครรู้จัก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น

พวกเขาอาจไม่เคยมีรัศมีรอบศีรษะ หรือทำปาฏิหาริย์ แต่เป็นพ่อแม่ที่ทำงานหนักเพื่อครอบครัว เป็นครูที่เอาใจใส่ศิษย์ เป็นเพื่อนบ้านที่ยื่นมือช่วยเหลือ หรือเป็นเพื่อนที่ภักดีในความรักและคำภาวนา ความศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอยู่ในชีวิตประจำวัน—ในความอดทน ความเมตตา การให้อภัย และการเสียสละอย่างเงียบๆ

นักบุญที่ซ่อนเร้นเหล่านี้สอนเราว่า “ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่การทำสิ่งยิ่งใหญ่ แต่คือการทำสิ่งธรรมดาด้วยความรักอันยิ่งใหญ่” คือการซื่อสัตย์ในที่ที่พระเจ้าทรงวางเราไว้ ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ที่ทำงาน หรือในชุมชน และเปิดโอกาสให้พระหรรษทานของพระองค์หล่อหลอมจิตใจและการกระทำของเรา

พระวรสารวันนี้คือ “มหาบุญลาภ” (Beatitudes) หรือ “พระวาจาแห่งความสุขแท้” ที่พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงคืออะไร พระองค์ไม่ได้ทรงยกย่องคนมีอำนาจหรือประสบความสำเร็จในโลก แต่ทรงเรียกว่ามีบุญผู้ที่ยากจนในจิตใจ ผู้มีเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ผู้สร้างสันติ และผู้กระหายความชอบธรรม พระองค์เตือนเราว่า ความศักดิ์สิทธิ์เติบโตขึ้นจากความถ่อมตน ความเห็นอกเห็นใจ และการอดทนท่ามกลางความทุกข์  การเป็นผู้มีบุญ หมายถึงการเดินไปกับพระเจ้าแม้ในยามลำบาก การวางใจในพระองค์แม้เมื่อหนทางยังไม่ชัดเจน

ดังนั้น ในวันสมโภชนักบุญทั้งหลายนี้ เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับบรรดานักบุญทั้งหลาย—ทั้งผู้ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ และผู้ศักดิ์สิทธิ์เงียบๆ ที่เราเคยพบเจอในชีวิต ให้เราจำไว้ว่าพวกเราทุกคนอยู่ในหนทางเดียวกัน คือหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเรายกย่องนักบุญทั้งหลายในวันนี้ ขอให้แบบอย่างของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราดำเนินชีวิตแห่งความเชื่อด้วยความกล้าหาญและความชื่นชมยินดี  ให้เราฝึกมองเห็นพระเจ้าในช่วงเวลาธรรมดาของชีวิต และอย่าลืมว่าหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ใน “การเลือกที่จะรัก ให้อภัย รับใช้ และวางใจในพระเจ้า” ในแต่ละวัน

หากเราดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ ถ่อมตน และเปิดใจรับพระหรรษทานของพระองค์ วันหนึ่ง—ด้วยพระเมตตา—เราก็จะได้ร่วมเป็นหนึ่งในหมู่มวลนักบุญในสวรรค์  แม้ไม่มีชื่อเสียงหรือวันสมโภชเป็นของตนเอง แต่ด้วยชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์และสงบเงียบ ซึ่งเป็นที่รู้จักโดยพระเจ้าเท่านั้น เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว.



วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ธรรมดาสัปดาห์ที่ 30 (26 ตุลาคม ค.ศ. 2025)

 


วันอาทิตย์ธรรมดาสัปดาห์ที่ 30 (26 ตุลาคม ค.ศ. 2025)
พระวรสารวันอาทิตย์: ลูกา 18:9–14
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาส (Fr. Clarence Devadass)

พระวรสารวันนี้นำเสนอเรื่องราวที่น่าประหลาดใจและท้าทายความคาดหวังของเรา พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องชายสองคนที่ขึ้นไปยังพระวิหารเพื่ออธิษฐาน คนหนึ่งเป็นฟาริสี ผู้เป็นที่เคารพในศาสนา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ซึ่งถูกดูหมิ่นจากผู้คนและถูกมองว่าเป็นคนทรยศต่อชาติของตน

เมื่อมองเผิน ๆ เราอาจคิดว่าฟาริสีผู้เคร่งศาสนาเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย แต่พระเยซูเจ้ากลับทำให้เราประหลาดใจ โดยตรัสว่าคนที่เป็นที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า คือคนเก็บภาษีต่างหาก

พระวรสารวันนี้จึงเชิญเราให้พยายามมองด้วยสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ใช่แค่ถามว่า “เราภาวนาอย่างไร” แต่ให้ถามลึกลงไปว่า “เรามีหัวใจแบบใดเมื่อมายืนต่อหน้าพระเจ้า”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราภาวนาอย่างต่อเนื่องและไม่ท้อถอย เหมือนหญิงม่ายที่ร้องขอความยุติธรรมอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ในวันนี้ พระองค์ทรงพาเราเข้าไปลึกกว่านั้น โดยแสดงให้เห็นว่า “รากฐานของการภาวนาที่แท้จริงคือความถ่อมตน”

ฟาริสีในเรื่องก็ภาวนาเช่นกัน แต่เมื่อฟังคำพูดของเขา เราจะพบว่าพระวรสารบอกอย่างชัดเจนว่า เขาภาวนากับตนเอง ไม่ใช่กับพระเจ้า คำภาวนาของเขาเต็มไปด้วยการยกย่องตนเองมากกว่าการนมัสการ เขาขอบคุณพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วเขากำลังชมเชยตัวเอง เขาเอ่ยถึงความดีของตน และเปรียบเทียบกับคนอื่นโดยเฉพาะคนเก็บภาษี คำพูดของเขาอาจฟังดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ใจของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง

ส่วนคนเก็บภาษีนั้น ยืนอยู่แต่ไกล ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองพระเจ้า เขาทุบอกเป็นสัญลักษณ์ของความสำนึกผิด และเอ่ยเพียงคำภาวนาอย่างเรียบง่ายว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” ไม่มีคำพูดยาว ไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีการเปรียบเทียบกับใคร มีเพียงหัวใจที่ยอมรับความบาปและวอนขอพระเมตตา — และนี่แหละคือคำภาวนาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ขึ้นไปถึงสวรรค์”

เพราะคำภาวนาที่แตะต้องหัวใจของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสละสลวยหรือการแสดงออกภายนอก แต่คือการเปิดหัวใจอย่างจริงใจ การยอมรับว่าเราต้องพึ่งพาพระเมตตาของพระองค์

อุปมานี้เตือนเราถึงอันตรายอย่างหนึ่งในชีวิตจิต คือการใช้การภาวนาเพื่อยกตนข่มผู้อื่น เพื่อเปรียบเทียบหรือแข่งขันในความดี แต่แท้จริงแล้ว การภาวนาไม่ใช่การแข่งขันเลย หากเป็น “การพบกับพระเจ้า” ผู้ทรงมองเห็นไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก แต่คือความลึกของหัวใจ

และนี่คือ “ความย้อนแย้งที่งดงามของพระวรสาร” — ผู้ที่ยอมรับว่าตนไม่คู่ควร กลับเป็นผู้ที่ได้รับพระเมตตา ผู้ที่ถ่อมตน จะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงยกขึ้นสูง เมื่อเราภาวนา หัวใจของเราอยู่ในท่าทีแบบไหน? เรากำลังพยายามทำให้พระเจ้าประทับใจ หรือเรามาเฝ้าพระองค์ด้วยความถ่อมใจและความจริงใจ เหมือนคนเก็บภาษีที่รู้ว่าตนต้องการพระหรรษทาน?

คำภาวนาที่เปลี่ยนแปลงเรา ไม่จำเป็นต้องยาวหรือสละสลวย แต่อย่างน้อยต้อง “จริง” คำภาวนาที่ทรงพลังที่สุดอาจเรียบง่ายเหมือนในวันนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” ดังที่สดุดีบทที่ 51 กล่าวว่า “หัวใจที่ถ่อมตนและสำนึกผิด พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิเสธ” พระเจ้าไม่ทรงผลักไสความอ่อนแอของเรา แต่กลับเข้ามาใกล้ผู้ที่ยอมรับความบกพร่องของตนด้วยความจริงใจ

เมื่อเรากำลังจะเข้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในสัปดาห์นี้ ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานแห่งความถ่อมตน ให้เราเข้ามาเฝ้าพระองค์ไม่ด้วยความหยิ่งผยอง ไม่เปรียบตนกับผู้อื่น แต่เปิดหัวใจของเราต่อพระเมตตา และให้ถ้อยคำของคนเก็บภาษีนี้กลายเป็นคำภาวนาของเราด้วยว่า —
ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”


วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ซาตานกลัวนักบุญยอห์น ปอล ที่ 2

 

อดีตหัวหน้าผู้ทำพิธีไล่ปีศาจแห่งกรุงโรมเคยเห็นแนวโน้มที่น่ากังวล — เยาวชนจำนวนมากตกอยู่ใต้อิทธิพลของความชั่ว แต่เขายืนยันว่า นักบุญยอห์น ปอล ที่ 2 เป็นผู้วิงวอนที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของมนุษย์

ห้องทำงานเล็ก ๆ ที่กลายเป็นสมรภูมิระหว่างความดีและความชั่ว

ในสำนักงานธรรมดาแห่งหนึ่งทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโรม คือสถานที่ที่ คุณพ่อกาเบรียล อามอร์ธ (Father Gabriele Amorth) แห่งคณะนักบวชเซนต์ปอล ได้ทำพิธีไล่ปีศาจ (exorcism) มากถึงกว่า 100,000 ครั้งตลอดชีวิตของท่าน

โลกต้องรู้ว่าซาตานมีอยู่จริง”

คุณพ่ออามอร์ธกล่าวกับสำนักข่าวคาทอลิก (CNA) ในปี 2011 ว่า

โลกต้องรู้ว่าซาตานมีอยู่จริง ปีศาจมีมากมาย และพวกมันมีอำนาจอยู่สองรูปแบบ คืออำนาจปกติ (ordinary) และอำนาจพิเศษ (extraordinary)”

ท่านอธิบายว่า

  • อำนาจปกติ คือการล่อลวงให้มนุษย์ห่างจากพระเจ้าและเดินไปสู่การพินาศ — เป็นสิ่งที่ปีศาจกระทำกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะศาสนาใดหรือชาติใด
  • อำนาจพิเศษ คือการที่ปีศาจมุ่งเป้าโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

ท่านแบ่งการกระทำพิเศษของปีศาจออกเป็น 4 แบบ ได้แก่

1.     การครอบงำ (possession)ปีศาจสิงอยู่ในตัวคน

2.     การรบกวนหรือทำร้าย (vexation)เช่นกรณีของนักบุญปาเดรปีโอ ที่ถูกปีศาจทุบตี

3.     การหมกมุ่น (obsession)ทำให้คนตกอยู่ในความสิ้นหวัง

4.     การสิงในสถานที่ สัตว์ หรือสิ่งของ (infestation)

แม้เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่บ่อยนัก แต่คุณพ่ออามอร์ธกล่าวว่า “ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น” โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่ถูกซาตานเข้าถึงผ่านลัทธิลึกลับ การเข้าร่วมเรียกวิญญาณ และยาเสพติด

แต่ท่านก็ไม่สิ้นหวัง เพราะ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ให้การล่อลวงใดเกินกำลังของเรา”

วิธีต่อสู้กับการล่อลวงของปีศาจ

คุณพ่ออามอร์ธให้คำแนะนำที่เรียบง่ายแต่สำคัญว่า

จงหลีกเลี่ยงโอกาสแห่งบาป เพราะปีศาจจะคอยหาจุดอ่อนที่สุดของเรา และจงสวดภาวนาอยู่เสมอ เราคริสตชนมีข้อได้เปรียบ เพราะเรามีพระวาจาของพระเยซูเจ้า มีศีลศักดิ์สิทธิ์ และมีการภาวนาต่อพระเจ้า”

เพราะเขาทำลายแผนของฉัน…”

เมื่อถูกถามว่าท่านมักเรียกชื่อใดมากที่สุดในการขับไล่ปีศาจ คุณพ่ออามอร์ธตอบว่า

แน่นอนว่าเป็นชื่อของ พระเยซูเจ้าคริสตเจ้า

แต่ท่านก็กล่าวว่ามีบุคคลอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้วิงวอนอันทรงพลังอย่างยิ่ง — คือ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2

ข้าพเจ้าถามปีศาจหลายครั้งว่า ‘เจ้ากลัวสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทำไม?’
ปีศาจตอบสองแบบ ซึ่งน่าสนใจมาก
แบบแรกบอกว่า ‘เพราะพระองค์ทำลายแผนของฉัน’ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าหมายถึงการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียและยุโรปตะวันออก
อีกคำตอบหนึ่งคือ ‘เพราะพระองค์ช่วยดึงเยาวชนจำนวนมากออกจากมือของฉัน’”

คุณพ่ออามอร์ธเสริมว่า

มีเยาวชนมากมายที่กลับใจเพราะสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 บางคนเคยเป็นคริสตชนแต่ไม่ปฏิบัติศาสนา แต่ด้วยพระองค์ พวกเขากลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง”

พระแม่มารี — ผู้วิงวอนที่ทรงพลังที่สุด

แน่นอนว่า พระแม่มารีย์ทรงมีอำนาจมากยิ่งกว่า”
วันหนึ่งข้าพเจ้าถามปีศาจว่า ‘ทำไมเจ้าถึงกลัวเมื่อเราวิงวอนต่อพระแม่มากกว่าพระเยซูเจ้าคริสต์เสียอีก?’
ปีศาจตอบว่า ‘เพราะข้ารู้สึกอัปยศที่ถูกสิ่งสร้างของมนุษย์มีชัยเหนือข้า มากกว่าการพ่ายแพ้ต่อพระองค์ผู้เป็นพระเจ้า’”

คำเตือนสุดท้าย — จงภาวนา

คุณพ่ออามอร์ธย้ำว่า แม้พิธีไล่ปีศาจจะเป็นหน้าที่เฉพาะ แต่การอธิษฐานเพื่อปลดปล่อยจากอำนาจมืดเป็นสิ่งที่คริสตชนทุกคนสามารถทำได้

เขากล่าวว่า

พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า ปีศาจบางประเภทจะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อมี ความเชื่อ การภาวนา และการอดอาหาร

โดยเฉพาะความเชื่อ — ต้องมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้ง เพราะในพระวรสาร พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสว่า ‘เราเป็นผู้รักษาเจ้าให้หาย’ แต่ตรัสว่า ‘เจ้าหายดีแล้วเพราะความเชื่อของเจ้า’
หากไม่มีความเชื่อ เราจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”

สรุปสั้น ๆ
คำสอนของคุณพ่ออามอร์ธเตือนเราว่า การต่อสู้กับความชั่วเป็นจริงและใกล้ตัว แต่ชัยชนะอยู่ที่การดำรงอยู่ในพระคริสต์ ผ่านศีลศักดิ์สิทธิ์ การภาวนา การอดอาหาร และความเชื่อมั่นในพระเจ้า พร้อมการวิงวอนของพระแม่มารีย์และนักบุญทั้งหลาย

 David Kerr (Catholic News Agency. October 21, 2025)



วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา (19 ตุลาคม 2025) การไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 18:1–8

 

สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา (19 ตุลาคม 2025)

การไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 18:1–8

โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดัส (Fr. Clarence Devadass)

เรามักคิดว่าการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าวัดได้จากความรู้ — จากการเข้าใจพระคัมภีร์หรือสามารถอธิบายความเชื่อได้ดีเพียงใด แต่แท้จริงแล้ว ศิษย์แท้ของพระคริสตเจ้าไม่ได้วัดกันที่ความรู้เท่านั้น หากวัดกันที่ “การมีชีวิตตามสิ่งที่เราเชื่อ” คนที่ติดตามพระองค์อย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงผู้ที่พูดเก่งหรืออธิบายได้ดี แต่คือผู้ที่มีหัวใจที่สะท้อนพระวรสารในชีวิตประจำวัน

พระวรสารของวันอาทิตย์ที่แล้วพูดถึง “ชายโรคเรื้อนคนหนึ่ง” ที่กลับมาขอบคุณพระเยซูเจ้าหลังได้รับการรักษา — ภาพของความกตัญญูและความเชื่อ ส่วนพระวรสารวันนี้นำเสนอ “หญิงม่ายคนหนึ่ง” ผู้ไม่ยอมแพ้ เธอร้องขอความยุติธรรมจากผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรม จนในที่สุดเสียงของเธอได้รับการตอบสนอง

ชายโรคเรื้อนและหญิงม่ายต่างเป็นคนที่สังคมมองว่าไม่มีค่า คนแรกถูกขับไล่เพราะโรคภัย คนหลังถูกมองข้ามเพราะสถานะต่ำ แต่ลูกาได้ยกทั้งสองขึ้นเป็นตัวอย่างของศิษย์แท้ เพราะพวกเขามีความเชื่อ ความกตัญญู และความเพียรพยายามในพระเจ้า

ในอุปมาวันนี้ พระเยซูเล่าถึงหญิงม่ายที่ไม่หยุดร้องขอ แม้ผู้พิพากษาไม่กลัวพระเจ้าและไม่สนใจคนอื่น แต่ในที่สุดก็ต้องยอมฟัง เพราะความพากเพียรของเธอ พระเยซูเจ้าจึงสรุปไว้ตั้งแต่ต้นว่า “พระองค์ตรัสอุปมานี้เพื่อสอนให้เราภาวนาอยู่เสมอและไม่ท้อใจ” — แก่นของเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียง “ความดื้อรั้น” แต่คือ “ความเชื่อที่ไม่ย่อท้อ”

เราหลายคนคงเคยภาวนาอย่างสุดหัวใจ — เพื่อการรักษา เพื่อสันติภาพ หรือเพื่อคนที่เรารัก — แต่ต้องรอคอยในความเงียบ และบางครั้งรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ตอบ เราอาจรู้สึกสิ้นหวัง หรือสงสัยว่า “พระเจ้าทรงฟังจริงหรือ?”

และนั่นเองคือช่วงเวลาที่อุปมานี้มีพลังที่สุด พระเยซูเจ้าเตือนเราว่า ความเชื่อไม่ได้วัดจากการได้รับคำตอบทันที แต่จากการวางใจและภาวนาต่อไปแม้ในความเงียบ เราภาวนาไม่ใช่เพราะคิดว่าจะเปลี่ยนใจพระเจ้า แต่เพราะเราต้องการรักษาหัวใจของเราที่เปิดรับพระองค์อยู่เสมอ

ความเชื่อไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่คือ ความสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจ เราเชื่อไม่ใช่เพราะพระเจ้าประทานทุกสิ่งที่เราขอ แต่เพราะเรามั่นใจในพระปรีชาญาณ พระเมตตา และพระเวลาอันเหมาะสมของพระองค์ บางครั้งพระองค์ดูเหมือนเงียบ แต่แท้จริงแล้วกำลังทำงานในแบบที่เราอาจยังไม่เข้าใจ

ความเชื่อที่แท้จริงคือการ “ยอมวางใจในความมืด” — ยอมให้พระเจ้านำทางแม้เราไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า เป็นการยอมให้ความลึกลับของพระองค์กลายเป็นพื้นที่ที่พระหรรษทานได้ทำงาน

ดังนั้นเหมือนหญิงม่าย เราจึงถูกเรียกให้ ภาวนาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นอย่างไม่สิ้นหวัง และหวังอย่างไม่ท้อใจ เพราะการภาวนาอย่างต่อเนื่องไม่ได้ทำให้พระเจ้าต้องยอมเรา แต่ทำให้หัวใจเรายังคงเปิดรับพระองค์อยู่เสมอ

มีชายคนหนึ่งเล่าว่า ทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน แม่ชราของเขาจะนั่งริมหน้าต่างสวดสายประคำ ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก วันหนึ่งเขาถามว่า “แม่ไม่เบื่อเหรอ ที่ต้องพูดคำเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน?” แม่ยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เลยลูก เพราะแม่ไม่ได้พูดคำเดิม ๆ — แม่กำลัง ‘จับมือพระเจ้าไว้’ ต่างหาก”

ขอให้เราภาวนาเช่นเดียวกับหญิงม่าย — ด้วยความเพียร ขอบพระคุณเหมือนชายโรคเรื้อน และวางใจเหมือนพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน เพื่อว่าเมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จกลับมา พระองค์จะได้พบในเราหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ.



วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สรุปเนื้อหาของสมณเตือนใจ Dilexi Te

 

สรุปเนื้อหาของสมณเตือนใจ Dilexi Te

สมณเตือนใจ “เรารักท่านแล้ว (Dilexi Te)”

เสียงเรียกของความรักที่ไม่ทอดทิ้งคนยากจน

สมเด็จพระสันตะปาปา ลีโอ ที่ 14 ทรงประกาศสมณเตือนใจฉบับแรกของพระองค์ชื่อว่า “Dilexi Te” หรือ “เรารักท่านแล้ว” เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2025 วันฉลองนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี เอกสารนี้เป็นคำเชื้อเชิญให้คริสตชนทั้งโลกกลับไปสู่หัวใจของพระวรสาร คือ ความรักของพระคริสต์ที่แสดงออกในความเมตตาต่อคนยากจน และดำเนินชีวิตด้วยความรักที่เปลี่ยนโลกได้จริง

💖 พระหฤทัยแห่งความรักและการเสียสละ

เรารักท่านแล้ว” ย้ำถึงพระวาจาของพระเยซู ผู้ทรงรักเราก่อนและรักจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน สมเด็จพระสันตะปาปาทรงชี้ว่า หัวใจของพระคริสต์คือหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ปิดกั้นใคร แต่เชื้อเชิญทุกคนให้เข้ามาพักพิงในความรักนั้น เพื่อรับการให้อภัยและพลังแห่งชีวิตใหม่
ความศักดิ์สิทธิ์แท้คือการมีหัวใจเหมือนพระเยซู — อ่อนโยน เมตตา และกล้าเสียสละเพื่อผู้อื่น

🤲 ความเชื่อที่แท้จริงต้องสัมผัสได้ในความรักต่อคนยากจน

ใจกลางของเอกสารนี้คือ ศรัทธาที่ไม่แยกจากความรักต่อคนยากจน” พระสันตะปาปาเตือนว่า ความยากจนมิใช่เพียงปัญหาส่วนตัว แต่เป็นผลของโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม คริสตชนจึงถูกเรียกให้มองคนจน ไม่ใช่ในฐานะผู้รอรับ แต่เป็น พี่น้องที่เราต้องเรียนรู้จากเขา

ความเชื่อที่ไม่กลายเป็นความรัก ไม่ใช่ความเชื่อในพระคริสต์เลย”
สมเด็จพระสันตะปาปา ลีโอ ที่ 14

🌍 คริสตจักรของผู้ยากจน เพื่อผู้ยากจน

สมณเตือนใจฉบับนี้ย้อนให้เรามองประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ซึ่งนักบุญและคณะนักบวชมากมายดำเนินชีวิตเพื่อผู้ยากจน เช่น นักบุญฟรังซิส นักบุญวินเซนต์ เดอ ปอล นักบุญโยเซฟ กาเลซันซ์ และนักบุญยอห์น บอสโก ทุกคนเข้าใจว่าการประกาศข่าวดีโดยปราศจากความรักต่อคนจน เป็นเพียงคำพูดลอยลม
พระสันตะปาปาเรียกร้องให้คริสตจักรยุคนี้ เป็น คริสตจักรของคนยากจน เพื่อคนยากจน” ไม่ใช่เพียงช่วยเหลือชั่วคราว แต่สร้างโอกาสและศักดิ์ศรีให้กลับคืน

 

🙏 การกลับใจของหัวใจ

พระสันตะปาปาทรงขอให้คริสตชนเริ่มต้น “การกลับใจของหัวใจเปลี่ยนวิธีมองชีวิตจากความเห็นแก่ตัว สู่การมีหัวใจเปิดกว้าง เรียนรู้ที่จะมองโลกผ่านสายตาแห่งพระเมตตา ภาวนา เงียบ และลงมือทำด้วยรัก ไม่ว่าจะในครอบครัว โรงเรียน หรือที่ทำงาน

เมื่อเรารักผู้ยากไร้ เรามิได้ทำบุญ แต่กำลังสัมผัสบาดแผลของพระคริสต์เอง”

💬 ข้อคิดท้ายบท

  • อย่าปล่อยให้หัวใจของเราชินชา ต่อเสียงร้องของผู้ทุกข์ยาก
  • ความรักแท้ไม่ใช่เพียงความรู้สึก แต่คือการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ด้วยใจใหญ่
  • การภาวนาโดยไม่ลงมือรัก เป็นเพียงเสียงลม แต่การรักคือการภาวนาที่แท้จริง
  • พระเจ้าไม่ได้ถามว่าเรามีมากเพียงใด แต่ถามว่า “เราได้รักมากเพียงใด”

🕊คำภาวนาเล็ก ๆ

พระเยซูเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักเมตตา
โปรดเปิดหัวใจของเราให้กว้างออก
เพื่อจะมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์ในผู้ยากไร้ และผู้ถูกทอดทิ้ง
โปรดสอนให้เรารัก ไม่เพียงด้วยวาจา แต่ด้วยการกระทำ
ให้เราเป็นสะพานแห่งความหวัง และเป็นมือแห่งความเมตตาของพระองค์

ขอให้หัวใจของเรากลายเป็นที่พักของผู้อื่น เหมือนที่พระหฤทัยของพระองค์เป็นที่พักของเรา อาเมน

หมายเหตุ สามารถ Down load PDF file ฉบับภาษาไทยได้ที่นี่  

https://drive.google.com/file/d/1pBhUhqv0WyPrrObB_GWvJOzAWpJflxCv/view?usp=sharing

 

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การไตร่ตรองพระวรสารวันอาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา (12 ตุลาคม 2025)

 

การไตร่ตรองพระวรสารวันอาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา (12 ตุลาคม 2025)
ลูกา 17:11–19
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

พระวรสารเปี่ยมด้วยเรื่องราวอัศจรรย์ที่ไม่เพียงเผยให้เห็นพระอานุภาพของพระเจ้า แต่ยังสะท้อนพระเมตตาอันลึกซึ้งของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดและคนง่อย มิใช่เพียงให้กลับมามีสุขภาพดี แต่เพื่อคืนศักดิ์ศรีและความเป็นสมาชิกในสังคม ทรงปลุกคนตาย เช่น ลาซารัสและบุตรสาวของไยรัส แสดงพระอำนาจเหนือความตาย และทรงขับไล่ปีศาจ ปลดปล่อยผู้คนจากพันธนาการแห่งความกลัวและความมืด เรื่องอัศจรรย์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงภาพตื่นตา แต่เป็น “หมายสำคัญ” ที่ชี้ไปถึงความจริงลึกซึ้งยิ่งกว่า—คือการประทับอยู่ของพระเจ้าในหมู่ประชากรของพระองค์ และพระประสงค์ที่จะทรงเยียวยาให้มนุษย์กลับคืนสู่ความสมบูรณ์

พระวรสารวันนี้บอกเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน—ดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ปกติในพันธกิจของพระองค์ แต่พลังแท้จริงของตอนนี้อยู่ที่คำถามของพระเยซูเจ้า:
มิใช่มีสิบคนที่ได้รับการชำระให้สะอาดหรอกหรือ? แล้วอีกเก้าคนอยู่ที่ไหน?”

ในยุคพระคัมภีร์ โรคเรื้อนไม่ใช่เพียงโรคร่างกาย แต่คือคำพิพากษาให้ตายทั้งเป็น  ผู้ป่วยถูกขับออกจากสังคม แยกจากครอบครัว ชุมชน และการนมัสการ การที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนทั้งสิบ จึงไม่ใช่เพียงการชำระโรค แต่คือการ “คืนความเป็นมนุษย์” และการได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พระองค์ทรงคืนชีวิตให้พวกเขา

แต่มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่กลับมาขอบพระคุณ—ชายชาวสะมาเรียผู้ต่างศาสนา เขาก้มกราบแทบพระบาทพระเยซูเจ้าด้วยหัวใจเปี่ยมด้วยความกตัญญู พระเยซูเจ้าทรงสรรเสริญเขา ไม่เพียงเพราะเขากล่าวคำ “ขอบพระคุณ” แต่เพราะความเชื่อนั้นมีรากอยู่ในความสำนึกบุญคุณแท้จริง พระองค์ทรงเผยความจริงลึกซึ้งว่า ความกตัญญูไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นการตอบสนองด้วยหัวใจที่ถ่อมตนต่อพระหรรษทาน”

คำว่า “ขอบพระคุณ” ในภาษากรีกคือ eucharistein ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า “ศีลมหาสนิท” (Eucharist) การร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณจึงไม่ใช่เพียงการระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้า แต่คือการขอบพระคุณอย่างมีชีวิต  พิธีบูชาขอบพระคุณ (มิสซา) คือหัวใจของชีวิตคริสตชน ที่ซึ่งคำขอบพระคุณกลายเป็นการมีส่วนร่วมในความรักของพระเจ้า—ที่สวรรค์สัมผัสโลก และเรานำทั้งความสุขและความทุกข์มาวางไว้บนพระแท่นบูชาเพื่อถวายแด่พระองค์

ดังนั้น ความกตัญญู” จึงไม่ใช่แค่ความสุภาพ แต่เป็นรากฐานของชีวิตแห่งความเชื่อ เพราะมันเปลี่ยนใจเราจากการมองตัวเอง เป็นการมองไปที่พระเจ้า เปิดตาให้เห็นพระหรรษทานแม้ในท่ามกลางความทุกข์ และช่วยให้เราตระหนักว่า พระพรของพระเจ้ามีอยู่เสมอ—ในมิตรภาพ การอดทน และความหวังแบบเงียบๆ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ศีลมหาสนิททำให้เรามองเห็นทุกสิ่งด้วยสายตาแห่งความเชื่อ และตอบสนองด้วยหัวใจที่ขอบพระคุณ

เมื่อเราละเลยศีลมหาสนิท โดยเฉพาะในวันอาทิตย์—วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า—เราก็สูญเสียมากกว่าการละเลยหน้าที่ทางศาสนา เราพลาดการพบพระเจ้า พลาดพระหรรษทานที่เกื้อหนุน พลาดชุมชนที่เสริมแรงใจ และพลาดช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะพูดกับพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์...”
คำถามของพระเยซูเจ้า “อีกเก้าคนอยู่ที่ไหน?” ยังคงดังก้องมาถึงวันนี้—และอาจถามเราด้วยว่า “แล้วเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?”

นี่ไม่ใช่คำถามเพื่อกล่าวโทษ แต่เป็นคำเชิญอย่างอ่อนโยนให้เรากลับมา—กลับมาสู่การพบพระเจ้า กลับมามีส่วนในพระหรรษทาน กลับมาขอบพระคุณพระองค์อย่างสุดหัวใจ ให้เราเป็นคนที่กลับมา ไม่ใช่เพียงเพื่อรับ แต่เพื่อถวายคำขอบพระคุณ

การขอบพระคุณจะหมดความหมายหากกลายเป็นเพียงหน้าที่หรือพิธีกรรมที่ทำตามความเคยชิน เพราะ ความกตัญญูที่แท้จริงไม่ใช่ธุรกรรม แต่คือความสัมพันธ์” มันไหลออกมาจากใจที่ถ่อมตน ยอมรับว่าทุกสิ่งดีงามที่เรามีคือของขวัญ ไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรได้รับ

ในทำนองเดียวกัน การร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระ แต่เป็นคำเชิญแห่งความยินดีให้เข้ามามีส่วนในพระหรรษทานของพระเจ้า ศีลมหาสนิทไม่ใช่เพียงพิธีกรรมที่ต้องทำให้เสร็จ แต่เป็นการนมัสการสูงสุดของพระศาสนจักร และเป็นการพบพระคริสต์อย่างใกล้ชิดที่สุดในชีวิตเรา

เมื่อเรามาร่วมศีลมหาสนิทด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความขอบพระคุณ เราจะเปิดใจรับพระหรรษทานแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต เราจะตระหนักว่าเราไม่สมควรได้รับพระเมตตาใด ๆ แต่พระเจ้าทรงประทานให้ฟรี ๆ และในความถ่อมตนนั้นเอง การขอบพระคุณของเราจึงกลายเป็นของจริง เป็นการนมัสการที่แท้ และเป็นการอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง.



Eros และ Agape: การสำรวจรูปแบบความรักในมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา พระศาสนจักร และจิตวิทยา

 

Eros และ Agape: การสำรวจรูปแบบความรักในมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา พระศาสนจักร และจิตวิทยา

บทนำ

แนวคิดเรื่องความรักมีความหลากหลายในเชิงปรัชญาและศาสนา คำว่า eros และ agape เป็นคำภาษากรีกโบราณที่มักใช้อธิบายรูปแบบความรักสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Eros หมายถึงความรักแบบเสน่หา ความรักแบบโรแมนติกหรือความรักเชิงราคะที่มีแรงดึงดูดทางกายและอารมณ์ต่อคนรัก ส่วน Agape หมายถึงความรักแบบเสียสละ ความรักที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มุ่งความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ในบทความนี้ เราจะสำรวจแนวคิดของความรักทั้งสองรูปแบบนี้ในมิติที่ครอบคลุม ตั้งแต่หลักฐานในพระคัมภีร์ แนวคิดทางเทววิทยาของนักคิดคนสำคัญๆ คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ไปจนถึงมุมมองทางจิตวิทยาทั้งแบบคลาสสิกและจิตวิทยาคริสต์ เพื่อทำความเข้าใจว่า eros และ agape มีบทบาทและความหมายอย่างไร และความสัมพันธ์ระหว่างความรักทั้งสองรูปแบบนี้เป็นอย่างไร

ความหมายของ Eros และ Agape

คำว่า Eros (ἔρως) ในความคิดกรีกคลาสสิกหมายถึงความรักหรือความใคร่ที่มีลักษณะปรารถนาและหลงใหลต่อสิ่งสวยงาม โดยเฉพาะความรักระหว่างชายหญิงซึ่งมักเกิดจากแรงดึงดูดทางกายใจ Eros จึงสื่อถึงความรักที่มนุษย์ “ปรารถนา” จะได้รับหรือครอบครองสิ่งที่รัก สำหรับ Agape (ἀγάπη) นั้นหมายถึงความรักที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาและเสียสละ เป็นความรักที่ให้ออกไปโดยไม่หวังผลตอบแทน Agape มักถูกใช้ในบริบทศาสนาคริสต์เพื่ออธิบายความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ความแตกต่างพื้นฐานคือ eros เป็นความรักที่เริ่มต้นจากความต้องการหรือความพึงพอใจของตนเอง ส่วน agape เป็นความรักที่มุ่งประโยชน์และความดีของผู้อื่นเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี นักปราชญ์และนักเทววิทยาหลายท่านได้ตั้งคำถามว่าความรักทั้งสองรูปแบบนี้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงหรือสามารถเกื้อกูลกันได้ ซึ่งเราจะพิจารณาในส่วนต่อๆ ไป

Eros และ Agape ในมุมมองพระคัมภีร์

พันธสัญญาเดิม: ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม คำภาษาฮีบรูที่ใช้สื่อความหมาย “ความรัก” มีหลายคำ หนึ่งในนั้นคือ ahavah (אהבה) ซึ่งครอบคลุมทั้งความรักแบบเสน่หาและความรักเมตตากรุณา คัมภีร์เพลงซาโลมอน (Song of Songs) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความรักแบบเสน่หาเชิงชู้สาวที่ได้รับการยกย่องอย่างงดงามในพระคัมภีร์ แสดงถึง eros ในบริบทการสมรสระหว่างชายหญิง อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ยังใช้ภาพลักษณ์ความรักฉันสามีภรรยานี้เป็นอุปมาแทนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ด้วย ทำให้ eros ในเชิงพันธสัญญาเดิมสามารถสื่อถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่ออิสราเอลผ่านภาพเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ขณะเดียวกัน พันธสัญญาเดิมเผยให้เห็นมิติของความรักแบบเมตตากรุณาและซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์ คำว่าความรักเมตตา (hesed, חֶסֶד) ในภาษาฮีบรูหมายถึงความรักมั่นคงที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและพระกรุณา ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของ agape ที่มุ่งความภักดีและหวังดีต่อผู้อื่นโดยไม่เปลี่ยนแปลง

พันธสัญญาใหม่: ในคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ภาษาเดิมที่ใช้เขียนคือภาษากรีก ซึ่งมีคำหลายคำสำหรับ “ความรัก” แต่ผู้เขียนพระวรสารและจดหมายอัครสาวกเลือกใช้คำว่า agape มากที่สุด ในขณะที่คำว่า eros นั้นไม่ได้ปรากฏในข้อความภาษากรีกของพันธสัญญาใหม่เลย (มีการใช้ในฉบับแปลเซปตัวจินต์ของพันธสัญญาเดิมเพียง 2 ครั้งเท่านั้น)vatican.vavatican.va การหลีกเลี่ยงคำว่า eros พร้อมกับการเน้นคำว่า agape ในพันธสัญญาใหม่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของความเข้าใจเรื่องความรักในคริสตศาสนาvatican.vavatican.va ตัวอย่างเช่น พระวรสารยอห์นและจดหมายของยอห์นใช้คำว่า agape เพื่ออธิบายว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยน 4:8) และความรักที่คริสตชนพึงมีต่อกัน (“จงรักกันและกันเหมือนที่เรารักท่าน” ยน 13:34) เป็นความรักแบบเสียสละตนเอง พระเยซูเจ้าทรงสอนให้รักศัตรู (มธ 5:44) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เหนือความรักตามธรรมชาติปกติ—นี่คือการเรียกร้องให้แสดงความรักแบบ agape ที่ไม่มีเงื่อนไขต่อผู้อื่น ในขณะเดียวกัน พันธสัญญาใหม่ไม่ได้ปฏิเสธหรือมองข้ามมิติของ eros อย่างสิ้นเชิง คำว่า philia (ความรักฉันมิตรสหาย) ถูกใช้บ้าง เช่น พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกว่าเป็นมิตรสหายของพระองค์ (ยน 15:15) และตอนที่พระเยซูตรัสถามเปโตรว่า “ท่านรักเราไหม” ก็มีการเล่นคำระหว่าง agapao และ phileo (ยน 21:15-17) แม้การตีความจะต่างกัน แต่แสดงถึงมิติหลากหลายของความรักที่คริสตชนเข้าใจ

นอกจากนี้ นักบุญเปาโลยังได้นิยามความรักไว้อย่างงดงามใน 1 โครินธ์ 13 ซึ่งคำว่าความรักที่ใช้นั้นคือ agape ทั้งหมด เปาโลกล่าวว่าความรักเป็นการ “อดทนนาน ใจดี ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งผยอง...ไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว...และไม่สิ้นสุด” (1คร 13:4-8) ลักษณะเหล่านี้สะท้อนชัดเจนถึงความรักแบบเสียสละตามความหมายของ agape มากกว่า eros ทั้งยังย้ำว่าความรัก (agape) เป็นคุณธรรมสูงสุดที่คงอยู่ตลอดไป (1คร 13:13) ขณะเดียวกัน พันธสัญญาใหม่ก็ยกย่องความรักในชีวิตสมรสว่าเป็นสิ่งประเสริฐ (ดูอฟ. 5:25-33 ที่เปาโลเปรียบความรักของสามีภรรยาเหมือนความรักของพระคริสต์ที่มีต่อพระศาสนจักร) ซึ่งตรงนี้คือการดึงเอามิติของ eros ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความเสียสละแบบ agape มาผสมผสานกันอย่างลงตัว

โดยสรุป พระคัมภีร์ไบเบิลชี้ให้เห็นว่าความรักมีมิติที่ลึกซึ้งหลายระดับ ความรักแบบเสน่หา (eros) ไม่ได้ถูกปฏิเสธ หากแต่ต้องได้รับการชำระและมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีงามกว่า ส่วนความรักแบบเมตตาเสียสละ (agape) ได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นหัวใจของบทบัญญัติและธรรมชาติของพระเจ้าเอง “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1ยน 4:8) — Deus caritas estและคริสตชนได้รับเชิญให้ดำเนินชีวิตในความรักเช่นนั้น

มุมมองทางเทววิทยาเกี่ยวกับ Eros และ Agape

ตลอดประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร นักเทววิทยาได้ใคร่ครวญถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรักแบบ eros และ agape อย่างลึกซึ้ง บ้างก็เน้นความแตกต่างที่ตรงข้ามกัน ในขณะที่บางท่านพยายามประสานให้เห็นว่าความรักทั้งสองแบบนี้สามารถหลอมรวมกันในบริบทคริสตชนได้อย่างไร

นักบุญออกุสติน (St. Augustine): ออกุสตินถือเป็นนักเทววิทยาคนสำคัญช่วงปลายยุคโบราณ ท่านได้ไตร่ตรองถึงธรรมชาติของความรักไว้ในงานเขียนหลายชิ้น ออกุสตินแยกแยะระหว่างความรักที่มุ่งสู่วัตถุหรือความสุขส่วนตน (ซึ่งบางครั้งเรียกว่า cupiditas หรือความใคร่แบบติดยึด) กับความรักที่มุ่งสู่องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้อื่นอย่างถูกระเบียบ (เรียกว่า caritas หรือความรักเมตตา) กล่าวคือ caritas เป็นความรักที่ถูกจัดระเบียบอย่างถูกต้อง (ordo amoris) โดยให้พระเจ้าเป็นจุดสูงสุด และรักทุกสิ่งในฐานะที่สัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเหมาะสม ขณะที่ cupiditas คือความรักใฝ่ต่ำที่เบี่ยงเบนไปติดในสิ่งสร้างมากกว่าจะมุ่งสู่พระผู้สร้าง แนวคิดนี้สะท้อนความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่างความรักที่เสียสละตนเพื่อพระเจ้า (คล้าย agape) กับความรักเชิงปรารถนาตนเอง (ที่อาจเทียบกับ eros ในด้านลบ) แต่ออกุสตินไม่ได้ปฏิเสธ eros โดยสิ้นเชิง ท่านพยายามสังเคราะห์ความรักฝ่ายมนุษย์เข้ากับความรักฝ่ายพระเจ้า ท่านกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้าสำหรับพระองค์ และดวงใจของข้าพเจ้าจะไม่พบความสงบจนกว่าจะพักพิงในพระองค์” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความปรารถนาอย่างลึกซึ้ง (eros) ของมนุษย์จะหาความสมบูรณ์ได้ก็เมื่อพักพิงในความรักของพระเจ้า (agape) เท่านั้น กล่าวได้ว่าความใคร่ปรารถนาในชีวิตมนุษย์ หากถูกชี้นำอย่างถูกต้อง ย่อมพามนุษย์ไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายสูงสุดของความรัก

นักบุญโธมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas): ในยุคกลาง อไควนัสได้วิเคราะห์ธรรมชาติของความรักไว้อย่างเป็นระบบ ท่านให้นิยามว่า “การรักคือการประสงค์ความดีแก่ใครสักคน” ซึ่งชี้ว่าหัวใจของความรักคือเจตจำนงที่หวังดีต่อผู้อื่น อไควนัสจำแนกความรักออกเป็นสองลักษณะ คือ amor amicitiae (ความรักฉันมิตรภาพ หรือ “รักแบบมิตร”) และ amor concupiscentiae (ความรักแบบใคร่หรือ “รักเพราะอยากได้”)    รักฉันมิตรภาพ คือความรักที่รักอีกฝ่าย “เพราะตัวเขาเอง” และปรารถนาให้เขาได้รับความดี (สอดคล้องกับความรักแบบ agape ที่มุ่งประโยชน์ของผู้ถูกรัก) ส่วน รักแบบใคร่ คือความรักที่รักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “ไม่ใช่เพราะตัวมันเอง แต่เพราะสิ่งนั้นตอบสนองความต้องการหรือความพึงพอใจของผู้รัก” เช่น เราอาจพูดว่า “ฉันรักไวน์” ซึ่งหมายถึงเราปรารถนาไวน์นั้นเพื่อตนเอง (รักแบบ concupiscentiae) ไม่ได้รักไวน์เพื่อความดีของไวน์เอง แนวแบ่งนี้ทำให้อไควนัสชี้ว่าเมื่อเราพูดถึง “รักเพื่อนมนุษย์” อย่างแท้จริง เราต้องรักเขาแบบมิตรภาพ คือรักเขาเพื่อความดีของเขา (รักแบบ benevolentiae) ไม่ใช่เพียงเพราะเขาให้ประโยชน์หรือความสุขแก่เราเท่านั้น นอกจากนี้ อไควนัสยังอธิบายว่าความรักที่สมบูรณ์ที่สุดคือคุณธรรมแห่งความรักหรือ เมตตาธรรม (Caritas) ซึ่งเป็นความรักเหนือธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์สามารถรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และรักเพื่อนมนุษย์เพื่อเห็นแก่พระเจ้า เมตตาธรรมนี้ก็คือความรักแบบ agape ในมิติคริสตชน ซึ่งยกระดับความรักธรรมดาของมนุษย์ให้เข้าร่วมในความรักของพระเจ้า

อันเดอร์ส นายเกร็น (Anders Nygren) และการถกเถียงยุคใหม่: ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักเทววิทยาชาวสวีเดนชื่ออันเดอร์ส นายเกร็น ได้เขียนหนังสือชื่อ Agape and Eros (1930) ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก โดยเสนอว่าความรักแบบ agape และ eros เป็น “ขั้วตรงข้าม” กันโดยสิ้นเชิง นายเกร็นให้เหตุผลว่า eros เป็นความรักแบบยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (self-centered love) เป็นความรักเชิงปรารถนาและแสวงหาการครอบครองเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ส่วน agape เป็นความรักที่ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบ (self-giving love) เป็นความรักที่พระเจ้าประทานและเป็นแบบอย่างของคริสต์ศาสนาโดยแท้จริง นายเกร็นกล่าวว่าในประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ มีความพยายามจะประสาน eros เข้ากับ agape โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคออกุสตินที่ใช้คำว่า caritas ซึ่งเขาเห็นว่าเป็น “การปนเปื้อน” ทำให้แนวคิด agape บริสุทธิ์ด้อยลงไป นายเกร็นยืนยันว่าคริสต์ศาสนาที่แท้นั้นคือศาสนาแห่ง agape เพียงอย่างเดียว และควรปฏิเสธมิติ eros เสีย เพราะ eros นั้นทำให้เราหันเหจากพระเจ้าและมุ่งหาประโยชน์เพื่อตนเอง อย่างไรก็ดี มุมมองของนายเกร็นได้รับการโต้แย้งจากนักคิดหลายคน เช่น นักเทววิทยาอย่าง Henri de Lubac และ Karl Barth ที่เห็นว่าแนวแบ่งขาดเช่นนั้นรุนแรงเกินไป และธรรมชาติมนุษย์ไม่อาจตัดขาดความใฝ่หา (eros) ได้ สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับมัน มิใช่ทำลายหรือปฏิเสธ

สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16: พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงเสนอแนวคิดเรื่องความรักไว้อย่างลุ่มลึกในสมณสาสน์ Deus Caritas Est (“พระเจ้าทรงเป็นความรัก”, ค.ศ. 2005) พระองค์ทรงชี้ว่าแม้ eros และ agape จะมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งสองอย่าง “ไม่อาจแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง” หากแต่เป็นสองมิติของความรักอันสมบูรณ์หนึ่งเดียวที่มนุษย์พึงมี เบเนดิกต์ที่ 16 ทรงยืนยันว่าคริสตศาสนาไม่ได้ทำลายหรือวางยาพิษ eros ดังที่ไนเชอหรือผู้วิจารณ์ยุคตรัสว่า “คริสตจักรวางยาพิษความรักเสน่หา” แต่กลับเยียวยาและยกระดับ eros ให้กลับคืนสู่ศักดิ์ศรีที่แท้จริงvatican.vavatican.va พระองค์ทรงอธิบายว่าในวัฒนธรรมกรีกโบราณ eros มักถูกเทิดทูนดั่ง “ความบ้าคลั่งศักดิ์สิทธิ์” ที่ครอบงำมนุษย์ (ดังคำกล่าว omnia vincit amor หรือ “ความรักชนะทุกสิ่ง” ของกวีโรมัน) แต่คริสตศาสนามิได้ปฏิเสธ eros ในฐานะพลังดึงดูด หากปฏิเสธการบูชา eros แบบผิดทิศทาง (เช่น ลัทธิบูชาทางเพศในวิหารที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสตัณหา)vatican.vavatican.va พระคัมภีร์ยืนยันว่า eros ที่ปราศจากการควบคุมตามใจใคร่อย่างบ้าคลั่งจะไม่นำมนุษย์ให้ก้าวขึ้นสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากจะฉุดมนุษย์ให้ตกต่ำ (เป็น “การเสื่อม” แทนที่จะเป็น “การขึ้นสูง” สู่พระเจ้า) ดังนั้น eros ต้องการการฝึกฝนวินัยและการชำระให้บริสุทธิ์ (disciplined and purified) เพื่อที่มันจะไม่ใช่เพียงความรื่นรมย์ชั่วคราว แต่กลายเป็น “การลิ้มรสล่วงหน้าแห่งความสุขสูงสุดของการดำรงอยู่อย่างเต็มบริบูรณ์”vatican.va พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า eros โดยตัวมันเองคือแรงขับที่พามนุษย์ออกนอกตนเอง (“extasis” อันเป็นคุณลักษณะของ eros) มุ่งไปหาสิ่งดีงามและพระเจ้า แต่ eros จะบรรลุถึงศักดิ์ศรีสูงสุดได้ก็ต้องดำเนินไปบน “หนทางขึ้นสู่ที่สูง อาศัยการสละตน การชำระและการเยียวยา” (path of ascent, renunciation, purification, and healing) กล่าวคือ eros ต้องหลอมรวมกับ agape คือได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความรักเมตตาแห่งพระเจ้า เมื่อรักเสน่หาได้รับการกล่อมเกลาภายในความรักเสียสละเช่นนี้ มนุษย์จึงจะรักได้อย่างสมดุลทั้งกายและวิญญาณ และความรักของมนุษย์ก็จะสะท้อนความรักของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ในทัศนะของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ eros และ agape จึงมิใช่ความรักคนละประเภทที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หากแต่เป็นสองด้านของความรักหนึ่งเดียวที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์รู้จัก ซึ่งทั้งด้านการดึงดูดแสวงหา (eros: รักแบบมนุษย์ที่โหยหาพระเจ้าและผู้อื่น) และด้านการให้โดยเปล่าประโยชน์ (agape: รักแบบพระเจ้าที่มอบแก่ผู้อื่น) ล้วนจำเป็นต่อกันและกัน ความรักแท้ต้องประกอบด้วยทั้งการได้รับและการให้ ดังที่เบเนดิกต์ที่ 16 ทรงสรุปว่า “eros และ agapeความรักซึ่งขึ้นสูงและความรักซึ่งลงต่ำ — ไม่เคยถูกแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์” แต่ทั้งสองหลอมรวมเป็นความรักที่ครบถ้วนในแผนการณ์ความรักของพระเจ้า

คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับความรัก

พระศาสนจักรคาทอลิกได้สืบทอดความเข้าใจเรื่องความรักทั้งสองมิติผ่านทางคำสอนและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนและยืนยันถึงคุณค่าของ agape ในขณะเดียวกันก็มิได้ละทิ้งมิติของ eros แต่เน้นการยกระดับให้ถูกต้อง

คำสอนในหนังสือคำสอนฯ (Catechism of the Catholic Church): หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกได้กล่าวถึงคุณธรรมแห่งความรัก (เมตตาธรรม) ว่าเป็นคุณธรรมทางเทวศาสตร์สูงสุด และยังได้ให้นิยามความรักตามแนวคิดของนักบุญโธมัส อไควนัสว่า “การรักคือการประสงค์ดีต่อผู้อื่น” (to love is to will the good of the other)ctrummer.blogspot.com ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความรักในทรรศนะคาทอลิกไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ แต่เป็นการตัดสินใจของเจตจำนงที่จะทำความดีแก่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว คำสอนข้อที่ 1766 ของหนังสือคำสอนฯ กล่าวไว้ชัดเจนถึงคำนิยามนี้ และย้ำว่าความรักมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ต่อเมื่อมีรากฐานอยู่ในความรักของพระเจ้าที่ปราศจากเงื่อนไข นอกจากนี้ หนังสือคำสอนฯ ภาคที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตสมรสและความรักในครอบครัวยังสอนว่า “พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยความรัก ทรงเรียกมนุษย์ให้รัก ซึ่งเป็นกระแสเรียกพื้นฐานดั้งเดิมของมนุษย์... เพราะมนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก” (เทียบ คำสอนฯ ข้อ 1604) นี่สะท้อนว่าความรักแบบ eros (เช่น ความรักฉันสามีภรรยา) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างของพระเจ้า แต่ต้องดำเนินในแนวทางที่สอดคล้องกับความรักแบบ agape คือรักกันด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และเปิดรับใหม่ (ในการให้กำเนิดบุตร) ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์

Youcat (Youth Catechism): Youcat ซึ่งเป็นหนังสือคำสอนฉบับเยาวชนของพระศาสนจักร ได้อธิบายเรื่องความรักไว้อย่างเข้าใจง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ ในหัวข้อ “ความรักคืออะไร” Youcat สรุปว่าความรักคือ “การมอบหัวใจตนเองให้ผู้อื่นอย่างเสรี” และกล่าวว่า “รูปแบบความรักที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้คือความรักระหว่างชายหญิงที่ทั้งสองคนมอบตัวเองให้แก่กันและกันตลอดไป ความรักของมนุษย์ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนหนึ่งของความรักพระเจ้า... ยิ่งมนุษย์รักมากเท่าใด เขาก็ยิ่งเหมือนพระเจ้ามากเท่านั้น” ข้อความนี้เน้นย้ำว่าแม้ eros (ความรักระหว่างชายหญิง) จะเป็นรูปแบบความรักที่งดงามบนพื้นโลก แต่สุดท้ายแล้วความรักทั้งมวลย่อมสะท้อนถึง agape คือความรักของพระเจ้าที่ไม่สิ้นสุด การที่คนสองคนสัญญาจะรักกันตลอดไป (เช่น ในศีลสมรส) เป็นภาพแทนของความรักนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงมีและทรงเชิญชวนเราเข้าร่วม ยิ่งไปกว่านั้น Youcat ยังสอนด้วยว่าความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวือหวาชั่วคราว แต่เป็นการตัดสินใจและคำมั่นที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนที่เรารัก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดความรักแบบ agape ที่เน้นการให้ด้วยเจตจำนงและความซื่อสัตย์

เอกสารคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปา: นอกจาก Deus Caritas Est ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่กล่าวถึงแล้ว พระสันตะปาปาพระองค์อื่นๆ ก็ได้ให้คำสอนเรื่องความรักที่สอดคล้องกับแนวคิด eros และ agape เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ในสมณสาสน์ Humanae Vitae (ค.ศ. 1968) ได้กล่าวถึง “ความรักคู่สมรส” ว่าต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของความรักฝ่ายกาย (eros) ที่อยู่ภายใต้คุณค่าทางจริยธรรมและการเปิดรับชีวิต ซึ่งทำให้ความรักนั้นเป็นความรักที่ครบถ้วนและซื่อสัตย์ (สะท้อน agape) สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงสอนเรื่อง “ความรักและความรับผิดชอบ” (Love and Responsibility) และอธิบายในการเทศนา Theology of the Body ว่าความรักแบบเพศสัมพันธ์ (eros) ไม่ใช่สิ่งไม่ดี หากแต่เป็นของประทานที่พระเจ้าประทานมาเพื่อให้ชายหญิงมอบตนเองแก่กัน ฉะนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีอีกฝ่ายและการอุทิศตนเอง (self-donation) ซึ่งทำให้ eros นั้นกลายเป็นการแสดงออกของ agape ในชีวิตสมรส เอกสารเหล่านี้ตอกย้ำจุดยืนของพระศาสนจักรที่ว่า ความรักของมนุษย์จะงดงามที่สุดเมื่อความรักแบบ eros ของเราถูกหลอมรวมอยู่ในความรักแบบ agape กล่าวคือ มีทั้งความหลงใหลและความเสียสละ ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

มุมมองทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ Eros และ Agape

แนวคิดจิตวิทยาคลาสสิก: วงการจิตวิทยาเองก็ได้พยายามจำแนกประเภทของความรักที่มนุษย์มีต่อกัน นักจิตวิทยาสังคมบางคนได้หยิบยืมคำกรีกโบราณมาใช้อธิบายรูปแบบความรัก เช่น John Lee (1973) เสนอทฤษฎี “รูปแบบความรัก 6 แบบ” (Love Styles) ซึ่งสองในหกรูปแบบนั้นคือ eros และ agape โดยนิยามว่า ความรักแบบเสน่หา (Eros) คือความรักที่เกิดแรงดึงดูดใจอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ต่อคนรัก มีความหลงใหลโรแมนติกและผูกพันลึกซึ้งรวดเร็ว  ผู้ที่มีสไตล์รักแบบนี้มักเปิดเผยความรู้สึกตรงไปตรงมาและพร้อมจะทุ่มเทให้ความสัมพันธ์อย่างเต็มที่ ขณะที่ ความรักแบบเสียสละ (Agape) เป็นความรักที่ผู้รักมุ่งจะ “ให้” มากกว่า “รับ” คำนึงถึงความสุขและประโยชน์ของคนที่ตนรักเป็นสำคัญ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่เรียกร้องและพร้อมให้อภัย ถือว่า “การให้” คือหัวใจสำคัญของความรักประเภทนี้ มุมมองนี้สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไปในทางจิตวิทยาว่า eros คือรักใคร่แบบหลงใหล (passionate love) ส่วน agape คือรักเมตตาแบบเอื้ออาทร (altruistic love) ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น นักจิตวิทยาพบว่าผู้ที่มีทัศนคติความรักแบบ agape สูง มักแสดงออกถึงความเมตตา กรุณา และความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่า ส่วนผู้ที่ยึดความรักแบบ eros อย่างเดียวอาจมีความเสี่ยงที่จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางหรือคาดหวังความพึงพอใจส่วนตนมากกว่า อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าความรักในความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาวะนั้นควรผสมผสานทั้งสองด้าน คือมีทั้งความหลงใหลและความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เช่น ทฤษฎีความรักสามเส้าของ Sternberg (1986) ระบุว่าความรักสมบูรณ์ประกอบด้วย “ความเสน่หา” (passion - ใกล้เคียง eros), “ความสนิทสนม” (intimacy - ใกล้เคียง philia) และ “ความผูกพันยั่งยืน” (commitment - ซึ่งต้องอาศัย agape ในการให้คำมั่นแม้ยามทุกข์ยาก) การมีทั้งสามองค์ประกอบนี้ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงและเติมเต็ม

มุมมองจิตวิทยาเชิงบวกและการวิจัย: จิตวิทยายุคใหม่ให้ความสนใจกับแนวคิด “ความรักกรุณา” (compassionate love หรือ altruistic love) ซึ่งใกล้เคียงกับ agape โดยหมายถึงความรักที่ประกอบด้วยความห่วงใยลึกซึ้งต่อผู้อื่น ไม่จำกัดเฉพาะคนรักหรือครอบครัว แต่รวมถึงความเมตตาต่อมนุษยชาติทั่วไป นักวิจัยพบว่าความรักลักษณะนี้ส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตและความสุขของปัจเจกบุคคล เพราะการให้และเห็นผู้อื่นมีความสุขก่อให้เกิดความพึงพอใจทางใจรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้ งานศึกษาด้านความผูกพัน (attachment theory) ยังชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างรูปแบบความรักกับประสบการณ์ชีวิตตอนต้น เช่น การมีรูปแบบความผูกพันที่มั่นคง (secure attachment) มักสัมพันธ์กับการที่บุคคลสามารถรักผู้อื่นอย่างมั่นคงและเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น (other-focused love) ในระดับสูง มากกว่า ในทางตรงข้าม ผู้ที่มีความผูกพันไม่มั่นคง (เช่น หลีกเลี่ยงหรือวิตกกังวล) มักมีแนวโน้มจะแสวงหาความรักเพื่อตอบสนองตนเองหรือมีความต้องการครอบครองสูงกว่า งานวิจัยโดย Scrofani (2012) พบว่าคนที่ผูกพันมั่นคงแสดงพฤติกรรมในความสัมพันธ์แบบ “มุ่งผู้อื่น” สูง กล่าวคือใส่ใจความต้องการและประโยชน์ของคู่ตน ส่วนคนที่ผูกพันไม่มั่นคงจะแสดงพฤติกรรม “มุ่งตนเอง” มากกว่าและมีแนวโน้มใช้อารมณ์ด้านลบหรือการควบคุมในความสัมพันธ์มากกว่า  สิ่งนี้สอดคล้องกับมุมมองทางคริสต์ศาสนาที่ว่า การได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่วัยเยาว์ (เช่น ความรักจากพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาแบบ agape) จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่รักผู้อื่นเป็น และไม่จมอยู่กับการแสวงหาการเติมเต็มความรักเพื่อตนเองฝ่ายเดียว

จิตวิทยาในบริบทคริสต์: นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาทางคริสตศาสนาหลายคนได้บูรณาการแนวคิดเรื่องความรักแบบ agape เข้ากับการบำบัดและการอภิบาลจิตใจ แนวคิดเรื่อง “ความรักไร้เงื่อนไข” (unconditional love) ถือเป็นแกนสำคัญในการบำบัดแนวของ Carl Rogers ที่เรียกว่า Unconditional Positive Regard ซึ่งหมายถึงท่าทีรับฟังและยอมรับผู้รับการปรึกษาอย่างไม่มีเงื่อนไข นักวิชาการคริสต์มองว่าท่าทีนี้เป็นภาพสะท้อนของความรักแบบ agape ของพระเจ้าที่ทรงรักมนุษย์โดยไม่ขึ้นกับความดีความชอบ พระสงฆ์หรือนักบำบัดคริสเตียนบางท่านพบว่าการที่ผู้เข้ารับการบำบัด “รู้สึกว่าตนเป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์จากผู้มีอำนาจสูงสุดที่ตนศรัทธา” (เช่น ประสบการณ์การรับรู้ความรักของพระเจ้า) สามารถส่งผลเยียวยาบาดแผลในจิตใจได้อย่างลึกซึ้ง  การวิจัยของ Sparrow (2008) ระบุว่าผู้ที่รายงานว่าตนมีประสบการณ์ฝ่ายจิตที่รู้สึกถึงการพบพระเจ้าหรือพลังเหนือธรรมชาติที่เมตตาตน มักบรรยายว่าพระผู้เป็นเจ้าทรง “รู้จักฉันอย่างลึกซึ้งและรักฉันโดยปราศจากเงื่อนไข” สิ่งนี้สร้างผลทางจิตใจคือทำให้บุคคลเกิดความมั่นคงและความหวัง เห็นคุณค่าในตนเองผ่านสายพระเนตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเขา  ในมุมนี้ จิตวิทยาคริสต์ชี้ว่าการเปิดตนเองรับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าที่เป็น agape สมบูรณ์ จะช่วยมนุษย์ให้สามารถรักผู้อื่นได้ดีขึ้น เพราะเมื่อมนุษย์รู้ว่าตนเป็นที่รัก เขาย่อมพร้อมจะเผื่อแผ่ความรักนั้นต่อไปยังผู้อื่น ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงรักกันและกันเหมือนที่เรารักท่าน” ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ต้องรับความรักจากพระองค์ก่อน จึงจะรักผู้อื่นในมาตรฐานเดียวกันได้

บทสรุป

จากการสำรวจทั้งมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา คำสอนพระศาสนจักร และจิตวิทยา จะเห็นได้ว่า eros และ agape เป็นแนวคิดเรื่องความรักที่มีความหมายต่างกันแต่เกื้อกูลกันในชีวิตมนุษย์ Eros แทนความรักแบบมนุษย์ที่มีแรงปรารถนาและความหลงใหล ซึ่งเป็นพลังขับดันให้เราก้าวออกจากตัวเองไปสู่อีกคนหนึ่งหรือสู่อุดมคติที่สูงกว่า ขณะที่ Agape เป็นความรักที่เป็นแบบอย่างของพระเจ้า คือการรักที่พร้อมจะให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและมุ่งความดีของผู้อื่นเป็นสำคัญ พระคัมภีร์เน้นความใหม่ของข่าวดีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” และทรงเรียกร้องให้เรารักแบบ agape แต่ก็มิได้ละทิ้งมิติของ eros หากแต่เชื้อเชิญให้เรานำ eros นั้นมาสู่ความครบครันผ่านการชำระและการหลอมรวมเข้ากับ agape ในทำนองเดียวกัน นักบุญออกุสตินและอไควนัสได้ชี้ให้เห็นว่าความใฝ่หารักแท้ของมนุษย์จะพบความสงบได้เมื่อมุ่งไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายของความรัก และการรักผู้อื่นอย่างถูกต้องย่อมหมายถึงการหวังดีต่อเขาด้วยใจบริสุทธิ์ (caritas) ไม่ใช่รักเพื่อประโยชน์ตนเองฝ่ายเดียว ข้อสรุปนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ทรงสอนว่าความรักที่แท้จริงต้องประกอบด้วยทั้ง eros และ agape ที่หลอมรวมกันอย่างกลมกลืน มนุษย์ต้องการทั้งความรักเชิงหลงใหลและความรักเชิงเมตตาเพื่อให้หัวใจได้รับการเติมเต็มและยกระดับขึ้นสู่ความรักในระดับที่ใกล้เคียงกับพระเจ้ามากขึ้น

ในภาคปฏิบัติของชีวิต ความรักแบบ eros เช่นในความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาหรือคู่รัก ย่อมต้องการคุณค่าของ agape มาประคับประคองให้ความรักนั้นยืนยาวและเปี่ยมความหมาย คือมีการให้ การเสียสละ การให้อภัย และความซื่อสัตย์ ขณะเดียวกัน ความรักแบบ agape ในสังคมก็ต้องอาศัยแรงขับของ eros ในความหมายกว้าง คือแรงปรารถนาที่จะเห็นสิ่งดีงามเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น แรงดลใจที่จะทำกิจการรักเพื่อนมนุษย์อย่างกระตือรือร้น มิใช่ความรักที่แห้งแล้งแต่เป็นความรักที่มีชีวิตชีวา จะเห็นได้ว่าทั้ง eros และ agape ล้วนมีส่วนในการทำให้ความรักของมนุษย์สมบูรณ์และสะท้อนถึงธรรมชาติของพระเจ้า

ดังนั้น ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจึงเป็นความรักที่รวมเอาหัวใจของ eros และจิตวิญญาณของ agape เข้าไว้ด้วยกัน คือความรักที่ทั้งปรารถนาอย่างลึกซึ้งและพร้อมให้อย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่มนุษย์สัมผัสได้ทั้งในมิติของชีวิตคู่ การครองเรือน มิตรภาพ ตลอดจนการรักเพื่อนมนุษย์ทั่วไป และท้ายที่สุดความรักนั้นเองจะนำเรากลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักนิรันดร

เชิงอรรถและบรรณานุกรมเบื้องต้น

1.     พระคัมภีร์ไบเบิล (ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่), ฉบับอมตธรรมและฉบับคาทอลิกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง.

2.     Augustine, Confessions (อ้างถึงคำกล่าวในเล่ม 1 ที่ว่า “Our hearts are restless until they rest in You.”)newadvent.org

3.     Thomas Aquinas, Summa Theologiae I-II, Q.26 (อภิปรายเรื่องความรักแบ่งเป็นรักฉันมิตรภาพและรักแบบใคร่)newadvent.orgnewadvent.org

4.     Anders Nygren, Agape and Eros (1930, แปลอังกฤษ 1953) – แนวคิดเปรียบเทียบความรักสองรูปแบบในคริสตศาสนาen.wikipedia.orgen.wikipedia.org

5.     สมณสาสน์ Deus Caritas Est ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 (ค.ศ. 2005) – ว่าด้วยความรักคริสตชน โดยเฉพาะย่อหน้าที่ 3-5 กล่าวถึง eros และ agapevatican.vathefreelibrary.com

6.     Catechism of the Catholic Church (1992) – ดูข้อ 1766 (คำนิยามความรักตามอไควนัส) และส่วนที่ว่าด้วยศีลสมรสctrummer.blogspot.com

7.     Youcat: Youth Catechism of the Catholic Church (2011) – หัวข้อ “What is love?” (ข้อ 402) อธิบายความรักในภาษาที่เข้าถึงเยาวชนslideserve.com

8.     บทความ “Eros and Agape” โดย Dr. Alice von Hildebrand, ใน Catholic Culture Librarythefreelibrary.comthefreelibrary.com (อภิปรายความรักคู่สมรส vs ความรักเพื่อนมนุษย์ และคำศัพท์ละตินที่เกี่ยวข้อง)

9.     บทความ “The 5 Love Categories: Do You Really Know What Love Is?” โดย Dr. Robert Enright, Psychology Today (2021)psychologytoday.compsychologytoday.comกล่าวถึงประเภทความรักตามแนวคิดกรีกและเพิ่ม “compassionate love”.

10.  บทความ “Agape Love: How to Love Unconditionally” โดย Kendra Cherry, Verywell Mind (2023)verywellmind.comverywellmind.comอธิบายลักษณะความรักแบบ agape ในมุมมองจิตวิทยาสมัยใหม่.

11.  บทความ “รูปแบบความรัก – Love Styles” (2025) โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยpsy.chula.ac.thpsy.chula.ac.thอธิบายความรัก 6 รูปแบบ (เสน่หา, เล่นเกม, มิตรภาพ, ปฏิบัติ, ลุ่มหลง, เสียสละ) ในเชิงจิตวิทยาสังคมร่วมสมัย.

12.  Sparrow, G. (2008) – งานวิจัยด้านจิตบำบัดเรื่องประสบการณ์ทางศาสนากับการเยียวยาจิตใจ (อ้างในบทความ The Art of Love: A Roman Catholic Psychology of Love)thefreelibrary.com

13.  Scrofani, J. (2012) – งานวิจัยด้านความผูกพันและพฤติกรรมรักแบบมุ่งผู้อื่น (อ้างในบทความ The Art of Love: A Roman Catholic Psychology of Love)thefreelibrary.com

 

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

 

สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา (5 ตุลาคม 2025)

การไตร่ตรองพระวรสาร: ลูกา 17:5–10

โดย บาทหลวงแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พระวรสารได้เชิญชวนเราให้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งถึงการรักษาสมดุลระหว่าง “การแสวงหาความมั่นคงทางวัตถุ” กับ “การยึดมั่นในคุณค่าของพระอาณาจักรของพระเจ้า” ความตึงเครียดระหว่างสองสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่เป็นการต่อสู้ภายในที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและแยบยล ซึ่งต้องอาศัยความระมัดระวัง การไตร่ตรอง และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ความเชื่อ

บรรดาศิษย์ที่ได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสเตือนอยู่บ่อยครั้งถึงอันตรายของความมั่งคั่งและชื่อเสียงในโลกนี้ เข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่หนทางง่ายเลย การติดตามพระคริสต์หมายถึงการต่อต้านแรงดึงดูดของลัทธิวัตถุนิยม และเลือกดำเนินชีวิตที่หยั่งรากอยู่ในความซื่อสัตย์ทางจิตวิญญาณและความไว้วางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า

เมื่อรู้เช่นนี้ ศิษย์จึงทูลขอด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า “ขอพระองค์โปรดเพิ่มพูนความเชื่อให้แก่ข้าพระองค์เถิด” พวกเขารู้ว่าการเป็นศิษย์ที่แท้ไม่สามารถอาศัยเพียงความตั้งใจหรือกำลังใจของมนุษย์ แต่ต้องการความเชื่อที่ลึกซึ้ง มั่นคง และไม่หวั่นไหว เป็นความเชื่อที่ยึดเหนี่ยวเราไว้ได้เมื่อค่านิยมของโลกขัดแย้งกับเสียงเรียกของพระวรสาร

แท้จริงแล้ว ความเชื่อมิใช่อารมณ์ชั่วคราว แต่เป็นพลังฝ่ายจิตที่ช่วยให้เรามั่นคงเมื่อถูกทดสอบด้วยความหยิ่งยโส ความโลภ หรือความกลัว การขอความเชื่อจึงไม่ใช่การแสวงหาความสะดวกสบาย แต่เป็นการวอนขอพระหรรษทานเพื่อให้เรายืนหยัดในความจริงและความรักได้อย่างมั่นคง

ในคำภาวนาของเราเอง หลายครั้งเราขอให้พระเจ้าประทานสุขภาพ ความสำเร็จ ความสะดวก และสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นความปรารถนาที่ดีและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่เราขอ “ความเชื่อ” บ่อยเพียงใด? เพราะหากไม่มีความเชื่อ แม้จะมีทุกสิ่งพร้อม เราก็ยังรู้สึกว่างเปล่าและกังวล แต่เมื่อมีความเชื่อ แม้ในยามขัดสนหรือทุกข์ยาก เราก็จะพบทั้งพลัง ความสงบ และทิศทางของชีวิต

พระเยซูเจ้าทรงเปรียบความเชื่อกับเมล็ดมัสตาร์ด เพื่อสอนเราว่า แม้ความเชื่อเพียงเล็กน้อย หากแท้จริง ก็มีพลังมหาศาล เหมือนเมล็ดเล็ก ๆ ที่สามารถเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ การวางใจแม้เพียงเล็กน้อยในพระเจ้า ก็สามารถก่อให้เกิดผลแห่งพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่ ความเชื่ออาจเริ่มต้นอย่างถ่อมตน แต่เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยง มันสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งหัวใจ มนุษย์ และโลกได้

สารนี้สำคัญอย่างยิ่งในยุคของเรา — ยุคที่ให้ค่ากับเหตุผล วิทยาศาสตร์ และการพึ่งพาตนเอง จนบางครั้งความเชื่อถูกมองว่าไร้เหตุผลหรือไม่จำเป็น หลายคนยากที่จะเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือพิสูจน์ไม่ได้ ทว่าความเชื่อเองนี่แหละที่เปิดทางให้เราเข้าสู่ “ความลึกลับของพระเจ้า”  มันเชิญเราให้มีความหวังแม้ในยามสิ้นหวัง ให้รักแม้เมื่อรักต้องแลกด้วยความเจ็บปวด และให้ไว้วางใจในพระเจ้าผู้ล้ำเกินความเข้าใจของมนุษย์

แบบอย่างอันลึกซึ้งของความเชื่อเช่นนี้ปรากฏในชีวิตของ นักบุญแม็กซิมิเลียน โกลเบ ซึ่งในค่ายกักกัน เขายอมพลีชีพแทนชายคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักเลย การกระทำนั้นไม่ได้เกิดจากความต้องการชื่อเสียงหรือรางวัลใด ๆ แต่เกิดจากความเชื่อและความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อพระเจ้า การเสียสละของท่านเผยให้เห็นว่า แม้ในที่มืดที่สุด แสงแห่งความเชื่อก็ยังสามารถส่องประกายได้

ความเชื่อไม่ใช่ของโบราณที่หมดคุณค่า หากแต่เป็นพลังชีวิตที่ยังคงทำให้เรากล้าดำเนินชีวิตเพื่อพระคริสต์ในทุกยุคทุกสมัย ท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบัน เราจึงต้องภาวนาซ้ำ ๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดเพิ่มพูนความเชื่อให้แก่ข้าพระองค์เถิด”  ไม่ใช่เพื่อหลีกหนีปัญหา แต่เพื่อเผชิญมันด้วยความกล้าหาญฝ่ายจิต ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ แต่เพื่อเดินผ่านมันด้วยความหวัง และไม่ใช่เพื่อยึดติดในความสบาย แต่เพื่อกอดรับไม้กางเขนด้วยใจแห่งความรัก

และสุดท้าย เมื่อผ่านทุกสิ่งแล้ว เราจะสามารถพูดได้อย่างถ่อมตนว่า

“เราก็เป็นเพียงผู้รับใช้ไร้ค่า เราได้ทำเพียงสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”