วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568

วันอาทิตย์ธรรมดาสัปดาห์ที่ 30 (26 ตุลาคม ค.ศ. 2025)

 


วันอาทิตย์ธรรมดาสัปดาห์ที่ 30 (26 ตุลาคม ค.ศ. 2025)
พระวรสารวันอาทิตย์: ลูกา 18:9–14
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาส (Fr. Clarence Devadass)

พระวรสารวันนี้นำเสนอเรื่องราวที่น่าประหลาดใจและท้าทายความคาดหวังของเรา พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องชายสองคนที่ขึ้นไปยังพระวิหารเพื่ออธิษฐาน คนหนึ่งเป็นฟาริสี ผู้เป็นที่เคารพในศาสนา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ซึ่งถูกดูหมิ่นจากผู้คนและถูกมองว่าเป็นคนทรยศต่อชาติของตน

เมื่อมองเผิน ๆ เราอาจคิดว่าฟาริสีผู้เคร่งศาสนาเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย แต่พระเยซูเจ้ากลับทำให้เราประหลาดใจ โดยตรัสว่าคนที่เป็นที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า คือคนเก็บภาษีต่างหาก

พระวรสารวันนี้จึงเชิญเราให้พยายามมองด้วยสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ใช่แค่ถามว่า “เราภาวนาอย่างไร” แต่ให้ถามลึกลงไปว่า “เรามีหัวใจแบบใดเมื่อมายืนต่อหน้าพระเจ้า”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราภาวนาอย่างต่อเนื่องและไม่ท้อถอย เหมือนหญิงม่ายที่ร้องขอความยุติธรรมอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ในวันนี้ พระองค์ทรงพาเราเข้าไปลึกกว่านั้น โดยแสดงให้เห็นว่า “รากฐานของการภาวนาที่แท้จริงคือความถ่อมตน”

ฟาริสีในเรื่องก็ภาวนาเช่นกัน แต่เมื่อฟังคำพูดของเขา เราจะพบว่าพระวรสารบอกอย่างชัดเจนว่า เขาภาวนากับตนเอง ไม่ใช่กับพระเจ้า คำภาวนาของเขาเต็มไปด้วยการยกย่องตนเองมากกว่าการนมัสการ เขาขอบคุณพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วเขากำลังชมเชยตัวเอง เขาเอ่ยถึงความดีของตน และเปรียบเทียบกับคนอื่นโดยเฉพาะคนเก็บภาษี คำพูดของเขาอาจฟังดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ใจของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง

ส่วนคนเก็บภาษีนั้น ยืนอยู่แต่ไกล ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองพระเจ้า เขาทุบอกเป็นสัญลักษณ์ของความสำนึกผิด และเอ่ยเพียงคำภาวนาอย่างเรียบง่ายว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” ไม่มีคำพูดยาว ไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีการเปรียบเทียบกับใคร มีเพียงหัวใจที่ยอมรับความบาปและวอนขอพระเมตตา — และนี่แหละคือคำภาวนาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ขึ้นไปถึงสวรรค์”

เพราะคำภาวนาที่แตะต้องหัวใจของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสละสลวยหรือการแสดงออกภายนอก แต่คือการเปิดหัวใจอย่างจริงใจ การยอมรับว่าเราต้องพึ่งพาพระเมตตาของพระองค์

อุปมานี้เตือนเราถึงอันตรายอย่างหนึ่งในชีวิตจิต คือการใช้การภาวนาเพื่อยกตนข่มผู้อื่น เพื่อเปรียบเทียบหรือแข่งขันในความดี แต่แท้จริงแล้ว การภาวนาไม่ใช่การแข่งขันเลย หากเป็น “การพบกับพระเจ้า” ผู้ทรงมองเห็นไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก แต่คือความลึกของหัวใจ

และนี่คือ “ความย้อนแย้งที่งดงามของพระวรสาร” — ผู้ที่ยอมรับว่าตนไม่คู่ควร กลับเป็นผู้ที่ได้รับพระเมตตา ผู้ที่ถ่อมตน จะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงยกขึ้นสูง เมื่อเราภาวนา หัวใจของเราอยู่ในท่าทีแบบไหน? เรากำลังพยายามทำให้พระเจ้าประทับใจ หรือเรามาเฝ้าพระองค์ด้วยความถ่อมใจและความจริงใจ เหมือนคนเก็บภาษีที่รู้ว่าตนต้องการพระหรรษทาน?

คำภาวนาที่เปลี่ยนแปลงเรา ไม่จำเป็นต้องยาวหรือสละสลวย แต่อย่างน้อยต้อง “จริง” คำภาวนาที่ทรงพลังที่สุดอาจเรียบง่ายเหมือนในวันนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” ดังที่สดุดีบทที่ 51 กล่าวว่า “หัวใจที่ถ่อมตนและสำนึกผิด พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิเสธ” พระเจ้าไม่ทรงผลักไสความอ่อนแอของเรา แต่กลับเข้ามาใกล้ผู้ที่ยอมรับความบกพร่องของตนด้วยความจริงใจ

เมื่อเรากำลังจะเข้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในสัปดาห์นี้ ขอให้เราวอนขอพระหรรษทานแห่งความถ่อมตน ให้เราเข้ามาเฝ้าพระองค์ไม่ด้วยความหยิ่งผยอง ไม่เปรียบตนกับผู้อื่น แต่เปิดหัวใจของเราต่อพระเมตตา และให้ถ้อยคำของคนเก็บภาษีนี้กลายเป็นคำภาวนาของเราด้วยว่า —
ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น