วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การไตร่ตรองพระวรสารวันอาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา (12 ตุลาคม 2025)

 

การไตร่ตรองพระวรสารวันอาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา (12 ตุลาคม 2025)
ลูกา 17:11–19
โดย คุณพ่อแคลเรนซ์ เดวาดาสส์

พระวรสารเปี่ยมด้วยเรื่องราวอัศจรรย์ที่ไม่เพียงเผยให้เห็นพระอานุภาพของพระเจ้า แต่ยังสะท้อนพระเมตตาอันลึกซึ้งของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดและคนง่อย มิใช่เพียงให้กลับมามีสุขภาพดี แต่เพื่อคืนศักดิ์ศรีและความเป็นสมาชิกในสังคม ทรงปลุกคนตาย เช่น ลาซารัสและบุตรสาวของไยรัส แสดงพระอำนาจเหนือความตาย และทรงขับไล่ปีศาจ ปลดปล่อยผู้คนจากพันธนาการแห่งความกลัวและความมืด เรื่องอัศจรรย์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงภาพตื่นตา แต่เป็น “หมายสำคัญ” ที่ชี้ไปถึงความจริงลึกซึ้งยิ่งกว่า—คือการประทับอยู่ของพระเจ้าในหมู่ประชากรของพระองค์ และพระประสงค์ที่จะทรงเยียวยาให้มนุษย์กลับคืนสู่ความสมบูรณ์

พระวรสารวันนี้บอกเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน—ดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ปกติในพันธกิจของพระองค์ แต่พลังแท้จริงของตอนนี้อยู่ที่คำถามของพระเยซูเจ้า:
มิใช่มีสิบคนที่ได้รับการชำระให้สะอาดหรอกหรือ? แล้วอีกเก้าคนอยู่ที่ไหน?”

ในยุคพระคัมภีร์ โรคเรื้อนไม่ใช่เพียงโรคร่างกาย แต่คือคำพิพากษาให้ตายทั้งเป็น  ผู้ป่วยถูกขับออกจากสังคม แยกจากครอบครัว ชุมชน และการนมัสการ การที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนทั้งสิบ จึงไม่ใช่เพียงการชำระโรค แต่คือการ “คืนความเป็นมนุษย์” และการได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พระองค์ทรงคืนชีวิตให้พวกเขา

แต่มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่กลับมาขอบพระคุณ—ชายชาวสะมาเรียผู้ต่างศาสนา เขาก้มกราบแทบพระบาทพระเยซูเจ้าด้วยหัวใจเปี่ยมด้วยความกตัญญู พระเยซูเจ้าทรงสรรเสริญเขา ไม่เพียงเพราะเขากล่าวคำ “ขอบพระคุณ” แต่เพราะความเชื่อนั้นมีรากอยู่ในความสำนึกบุญคุณแท้จริง พระองค์ทรงเผยความจริงลึกซึ้งว่า ความกตัญญูไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นการตอบสนองด้วยหัวใจที่ถ่อมตนต่อพระหรรษทาน”

คำว่า “ขอบพระคุณ” ในภาษากรีกคือ eucharistein ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า “ศีลมหาสนิท” (Eucharist) การร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณจึงไม่ใช่เพียงการระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้า แต่คือการขอบพระคุณอย่างมีชีวิต  พิธีบูชาขอบพระคุณ (มิสซา) คือหัวใจของชีวิตคริสตชน ที่ซึ่งคำขอบพระคุณกลายเป็นการมีส่วนร่วมในความรักของพระเจ้า—ที่สวรรค์สัมผัสโลก และเรานำทั้งความสุขและความทุกข์มาวางไว้บนพระแท่นบูชาเพื่อถวายแด่พระองค์

ดังนั้น ความกตัญญู” จึงไม่ใช่แค่ความสุภาพ แต่เป็นรากฐานของชีวิตแห่งความเชื่อ เพราะมันเปลี่ยนใจเราจากการมองตัวเอง เป็นการมองไปที่พระเจ้า เปิดตาให้เห็นพระหรรษทานแม้ในท่ามกลางความทุกข์ และช่วยให้เราตระหนักว่า พระพรของพระเจ้ามีอยู่เสมอ—ในมิตรภาพ การอดทน และความหวังแบบเงียบๆ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ศีลมหาสนิททำให้เรามองเห็นทุกสิ่งด้วยสายตาแห่งความเชื่อ และตอบสนองด้วยหัวใจที่ขอบพระคุณ

เมื่อเราละเลยศีลมหาสนิท โดยเฉพาะในวันอาทิตย์—วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า—เราก็สูญเสียมากกว่าการละเลยหน้าที่ทางศาสนา เราพลาดการพบพระเจ้า พลาดพระหรรษทานที่เกื้อหนุน พลาดชุมชนที่เสริมแรงใจ และพลาดช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะพูดกับพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์...”
คำถามของพระเยซูเจ้า “อีกเก้าคนอยู่ที่ไหน?” ยังคงดังก้องมาถึงวันนี้—และอาจถามเราด้วยว่า “แล้วเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?”

นี่ไม่ใช่คำถามเพื่อกล่าวโทษ แต่เป็นคำเชิญอย่างอ่อนโยนให้เรากลับมา—กลับมาสู่การพบพระเจ้า กลับมามีส่วนในพระหรรษทาน กลับมาขอบพระคุณพระองค์อย่างสุดหัวใจ ให้เราเป็นคนที่กลับมา ไม่ใช่เพียงเพื่อรับ แต่เพื่อถวายคำขอบพระคุณ

การขอบพระคุณจะหมดความหมายหากกลายเป็นเพียงหน้าที่หรือพิธีกรรมที่ทำตามความเคยชิน เพราะ ความกตัญญูที่แท้จริงไม่ใช่ธุรกรรม แต่คือความสัมพันธ์” มันไหลออกมาจากใจที่ถ่อมตน ยอมรับว่าทุกสิ่งดีงามที่เรามีคือของขวัญ ไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรได้รับ

ในทำนองเดียวกัน การร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระ แต่เป็นคำเชิญแห่งความยินดีให้เข้ามามีส่วนในพระหรรษทานของพระเจ้า ศีลมหาสนิทไม่ใช่เพียงพิธีกรรมที่ต้องทำให้เสร็จ แต่เป็นการนมัสการสูงสุดของพระศาสนจักร และเป็นการพบพระคริสต์อย่างใกล้ชิดที่สุดในชีวิตเรา

เมื่อเรามาร่วมศีลมหาสนิทด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความขอบพระคุณ เราจะเปิดใจรับพระหรรษทานแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต เราจะตระหนักว่าเราไม่สมควรได้รับพระเมตตาใด ๆ แต่พระเจ้าทรงประทานให้ฟรี ๆ และในความถ่อมตนนั้นเอง การขอบพระคุณของเราจึงกลายเป็นของจริง เป็นการนมัสการที่แท้ และเป็นการอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น