วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Eros และ Agape: การสำรวจรูปแบบความรักในมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา พระศาสนจักร และจิตวิทยา

 

Eros และ Agape: การสำรวจรูปแบบความรักในมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา พระศาสนจักร และจิตวิทยา

บทนำ

แนวคิดเรื่องความรักมีความหลากหลายในเชิงปรัชญาและศาสนา คำว่า eros และ agape เป็นคำภาษากรีกโบราณที่มักใช้อธิบายรูปแบบความรักสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Eros หมายถึงความรักแบบเสน่หา ความรักแบบโรแมนติกหรือความรักเชิงราคะที่มีแรงดึงดูดทางกายและอารมณ์ต่อคนรัก ส่วน Agape หมายถึงความรักแบบเสียสละ ความรักที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มุ่งความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ในบทความนี้ เราจะสำรวจแนวคิดของความรักทั้งสองรูปแบบนี้ในมิติที่ครอบคลุม ตั้งแต่หลักฐานในพระคัมภีร์ แนวคิดทางเทววิทยาของนักคิดคนสำคัญๆ คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ไปจนถึงมุมมองทางจิตวิทยาทั้งแบบคลาสสิกและจิตวิทยาคริสต์ เพื่อทำความเข้าใจว่า eros และ agape มีบทบาทและความหมายอย่างไร และความสัมพันธ์ระหว่างความรักทั้งสองรูปแบบนี้เป็นอย่างไร

ความหมายของ Eros และ Agape

คำว่า Eros (ἔρως) ในความคิดกรีกคลาสสิกหมายถึงความรักหรือความใคร่ที่มีลักษณะปรารถนาและหลงใหลต่อสิ่งสวยงาม โดยเฉพาะความรักระหว่างชายหญิงซึ่งมักเกิดจากแรงดึงดูดทางกายใจ Eros จึงสื่อถึงความรักที่มนุษย์ “ปรารถนา” จะได้รับหรือครอบครองสิ่งที่รัก สำหรับ Agape (ἀγάπη) นั้นหมายถึงความรักที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาและเสียสละ เป็นความรักที่ให้ออกไปโดยไม่หวังผลตอบแทน Agape มักถูกใช้ในบริบทศาสนาคริสต์เพื่ออธิบายความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และความรักที่มนุษย์พึงมีต่อกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ความแตกต่างพื้นฐานคือ eros เป็นความรักที่เริ่มต้นจากความต้องการหรือความพึงพอใจของตนเอง ส่วน agape เป็นความรักที่มุ่งประโยชน์และความดีของผู้อื่นเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี นักปราชญ์และนักเทววิทยาหลายท่านได้ตั้งคำถามว่าความรักทั้งสองรูปแบบนี้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงหรือสามารถเกื้อกูลกันได้ ซึ่งเราจะพิจารณาในส่วนต่อๆ ไป

Eros และ Agape ในมุมมองพระคัมภีร์

พันธสัญญาเดิม: ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม คำภาษาฮีบรูที่ใช้สื่อความหมาย “ความรัก” มีหลายคำ หนึ่งในนั้นคือ ahavah (אהבה) ซึ่งครอบคลุมทั้งความรักแบบเสน่หาและความรักเมตตากรุณา คัมภีร์เพลงซาโลมอน (Song of Songs) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความรักแบบเสน่หาเชิงชู้สาวที่ได้รับการยกย่องอย่างงดงามในพระคัมภีร์ แสดงถึง eros ในบริบทการสมรสระหว่างชายหญิง อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ยังใช้ภาพลักษณ์ความรักฉันสามีภรรยานี้เป็นอุปมาแทนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ด้วย ทำให้ eros ในเชิงพันธสัญญาเดิมสามารถสื่อถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่ออิสราเอลผ่านภาพเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ขณะเดียวกัน พันธสัญญาเดิมเผยให้เห็นมิติของความรักแบบเมตตากรุณาและซื่อสัตย์ที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์ คำว่าความรักเมตตา (hesed, חֶסֶד) ในภาษาฮีบรูหมายถึงความรักมั่นคงที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและพระกรุณา ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของ agape ที่มุ่งความภักดีและหวังดีต่อผู้อื่นโดยไม่เปลี่ยนแปลง

พันธสัญญาใหม่: ในคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ภาษาเดิมที่ใช้เขียนคือภาษากรีก ซึ่งมีคำหลายคำสำหรับ “ความรัก” แต่ผู้เขียนพระวรสารและจดหมายอัครสาวกเลือกใช้คำว่า agape มากที่สุด ในขณะที่คำว่า eros นั้นไม่ได้ปรากฏในข้อความภาษากรีกของพันธสัญญาใหม่เลย (มีการใช้ในฉบับแปลเซปตัวจินต์ของพันธสัญญาเดิมเพียง 2 ครั้งเท่านั้น)vatican.vavatican.va การหลีกเลี่ยงคำว่า eros พร้อมกับการเน้นคำว่า agape ในพันธสัญญาใหม่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของความเข้าใจเรื่องความรักในคริสตศาสนาvatican.vavatican.va ตัวอย่างเช่น พระวรสารยอห์นและจดหมายของยอห์นใช้คำว่า agape เพื่ออธิบายว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1ยน 4:8) และความรักที่คริสตชนพึงมีต่อกัน (“จงรักกันและกันเหมือนที่เรารักท่าน” ยน 13:34) เป็นความรักแบบเสียสละตนเอง พระเยซูเจ้าทรงสอนให้รักศัตรู (มธ 5:44) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เหนือความรักตามธรรมชาติปกติ—นี่คือการเรียกร้องให้แสดงความรักแบบ agape ที่ไม่มีเงื่อนไขต่อผู้อื่น ในขณะเดียวกัน พันธสัญญาใหม่ไม่ได้ปฏิเสธหรือมองข้ามมิติของ eros อย่างสิ้นเชิง คำว่า philia (ความรักฉันมิตรสหาย) ถูกใช้บ้าง เช่น พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกว่าเป็นมิตรสหายของพระองค์ (ยน 15:15) และตอนที่พระเยซูตรัสถามเปโตรว่า “ท่านรักเราไหม” ก็มีการเล่นคำระหว่าง agapao และ phileo (ยน 21:15-17) แม้การตีความจะต่างกัน แต่แสดงถึงมิติหลากหลายของความรักที่คริสตชนเข้าใจ

นอกจากนี้ นักบุญเปาโลยังได้นิยามความรักไว้อย่างงดงามใน 1 โครินธ์ 13 ซึ่งคำว่าความรักที่ใช้นั้นคือ agape ทั้งหมด เปาโลกล่าวว่าความรักเป็นการ “อดทนนาน ใจดี ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งผยอง...ไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว...และไม่สิ้นสุด” (1คร 13:4-8) ลักษณะเหล่านี้สะท้อนชัดเจนถึงความรักแบบเสียสละตามความหมายของ agape มากกว่า eros ทั้งยังย้ำว่าความรัก (agape) เป็นคุณธรรมสูงสุดที่คงอยู่ตลอดไป (1คร 13:13) ขณะเดียวกัน พันธสัญญาใหม่ก็ยกย่องความรักในชีวิตสมรสว่าเป็นสิ่งประเสริฐ (ดูอฟ. 5:25-33 ที่เปาโลเปรียบความรักของสามีภรรยาเหมือนความรักของพระคริสต์ที่มีต่อพระศาสนจักร) ซึ่งตรงนี้คือการดึงเอามิติของ eros ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความเสียสละแบบ agape มาผสมผสานกันอย่างลงตัว

โดยสรุป พระคัมภีร์ไบเบิลชี้ให้เห็นว่าความรักมีมิติที่ลึกซึ้งหลายระดับ ความรักแบบเสน่หา (eros) ไม่ได้ถูกปฏิเสธ หากแต่ต้องได้รับการชำระและมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีงามกว่า ส่วนความรักแบบเมตตาเสียสละ (agape) ได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นหัวใจของบทบัญญัติและธรรมชาติของพระเจ้าเอง “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1ยน 4:8) — Deus caritas estและคริสตชนได้รับเชิญให้ดำเนินชีวิตในความรักเช่นนั้น

มุมมองทางเทววิทยาเกี่ยวกับ Eros และ Agape

ตลอดประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร นักเทววิทยาได้ใคร่ครวญถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรักแบบ eros และ agape อย่างลึกซึ้ง บ้างก็เน้นความแตกต่างที่ตรงข้ามกัน ในขณะที่บางท่านพยายามประสานให้เห็นว่าความรักทั้งสองแบบนี้สามารถหลอมรวมกันในบริบทคริสตชนได้อย่างไร

นักบุญออกุสติน (St. Augustine): ออกุสตินถือเป็นนักเทววิทยาคนสำคัญช่วงปลายยุคโบราณ ท่านได้ไตร่ตรองถึงธรรมชาติของความรักไว้ในงานเขียนหลายชิ้น ออกุสตินแยกแยะระหว่างความรักที่มุ่งสู่วัตถุหรือความสุขส่วนตน (ซึ่งบางครั้งเรียกว่า cupiditas หรือความใคร่แบบติดยึด) กับความรักที่มุ่งสู่องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้อื่นอย่างถูกระเบียบ (เรียกว่า caritas หรือความรักเมตตา) กล่าวคือ caritas เป็นความรักที่ถูกจัดระเบียบอย่างถูกต้อง (ordo amoris) โดยให้พระเจ้าเป็นจุดสูงสุด และรักทุกสิ่งในฐานะที่สัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเหมาะสม ขณะที่ cupiditas คือความรักใฝ่ต่ำที่เบี่ยงเบนไปติดในสิ่งสร้างมากกว่าจะมุ่งสู่พระผู้สร้าง แนวคิดนี้สะท้อนความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่างความรักที่เสียสละตนเพื่อพระเจ้า (คล้าย agape) กับความรักเชิงปรารถนาตนเอง (ที่อาจเทียบกับ eros ในด้านลบ) แต่ออกุสตินไม่ได้ปฏิเสธ eros โดยสิ้นเชิง ท่านพยายามสังเคราะห์ความรักฝ่ายมนุษย์เข้ากับความรักฝ่ายพระเจ้า ท่านกล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้าสำหรับพระองค์ และดวงใจของข้าพเจ้าจะไม่พบความสงบจนกว่าจะพักพิงในพระองค์” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความปรารถนาอย่างลึกซึ้ง (eros) ของมนุษย์จะหาความสมบูรณ์ได้ก็เมื่อพักพิงในความรักของพระเจ้า (agape) เท่านั้น กล่าวได้ว่าความใคร่ปรารถนาในชีวิตมนุษย์ หากถูกชี้นำอย่างถูกต้อง ย่อมพามนุษย์ไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายสูงสุดของความรัก

นักบุญโธมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas): ในยุคกลาง อไควนัสได้วิเคราะห์ธรรมชาติของความรักไว้อย่างเป็นระบบ ท่านให้นิยามว่า “การรักคือการประสงค์ความดีแก่ใครสักคน” ซึ่งชี้ว่าหัวใจของความรักคือเจตจำนงที่หวังดีต่อผู้อื่น อไควนัสจำแนกความรักออกเป็นสองลักษณะ คือ amor amicitiae (ความรักฉันมิตรภาพ หรือ “รักแบบมิตร”) และ amor concupiscentiae (ความรักแบบใคร่หรือ “รักเพราะอยากได้”)    รักฉันมิตรภาพ คือความรักที่รักอีกฝ่าย “เพราะตัวเขาเอง” และปรารถนาให้เขาได้รับความดี (สอดคล้องกับความรักแบบ agape ที่มุ่งประโยชน์ของผู้ถูกรัก) ส่วน รักแบบใคร่ คือความรักที่รักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “ไม่ใช่เพราะตัวมันเอง แต่เพราะสิ่งนั้นตอบสนองความต้องการหรือความพึงพอใจของผู้รัก” เช่น เราอาจพูดว่า “ฉันรักไวน์” ซึ่งหมายถึงเราปรารถนาไวน์นั้นเพื่อตนเอง (รักแบบ concupiscentiae) ไม่ได้รักไวน์เพื่อความดีของไวน์เอง แนวแบ่งนี้ทำให้อไควนัสชี้ว่าเมื่อเราพูดถึง “รักเพื่อนมนุษย์” อย่างแท้จริง เราต้องรักเขาแบบมิตรภาพ คือรักเขาเพื่อความดีของเขา (รักแบบ benevolentiae) ไม่ใช่เพียงเพราะเขาให้ประโยชน์หรือความสุขแก่เราเท่านั้น นอกจากนี้ อไควนัสยังอธิบายว่าความรักที่สมบูรณ์ที่สุดคือคุณธรรมแห่งความรักหรือ เมตตาธรรม (Caritas) ซึ่งเป็นความรักเหนือธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์สามารถรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด และรักเพื่อนมนุษย์เพื่อเห็นแก่พระเจ้า เมตตาธรรมนี้ก็คือความรักแบบ agape ในมิติคริสตชน ซึ่งยกระดับความรักธรรมดาของมนุษย์ให้เข้าร่วมในความรักของพระเจ้า

อันเดอร์ส นายเกร็น (Anders Nygren) และการถกเถียงยุคใหม่: ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักเทววิทยาชาวสวีเดนชื่ออันเดอร์ส นายเกร็น ได้เขียนหนังสือชื่อ Agape and Eros (1930) ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก โดยเสนอว่าความรักแบบ agape และ eros เป็น “ขั้วตรงข้าม” กันโดยสิ้นเชิง นายเกร็นให้เหตุผลว่า eros เป็นความรักแบบยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (self-centered love) เป็นความรักเชิงปรารถนาและแสวงหาการครอบครองเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ส่วน agape เป็นความรักที่ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบ (self-giving love) เป็นความรักที่พระเจ้าประทานและเป็นแบบอย่างของคริสต์ศาสนาโดยแท้จริง นายเกร็นกล่าวว่าในประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์ มีความพยายามจะประสาน eros เข้ากับ agape โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคออกุสตินที่ใช้คำว่า caritas ซึ่งเขาเห็นว่าเป็น “การปนเปื้อน” ทำให้แนวคิด agape บริสุทธิ์ด้อยลงไป นายเกร็นยืนยันว่าคริสต์ศาสนาที่แท้นั้นคือศาสนาแห่ง agape เพียงอย่างเดียว และควรปฏิเสธมิติ eros เสีย เพราะ eros นั้นทำให้เราหันเหจากพระเจ้าและมุ่งหาประโยชน์เพื่อตนเอง อย่างไรก็ดี มุมมองของนายเกร็นได้รับการโต้แย้งจากนักคิดหลายคน เช่น นักเทววิทยาอย่าง Henri de Lubac และ Karl Barth ที่เห็นว่าแนวแบ่งขาดเช่นนั้นรุนแรงเกินไป และธรรมชาติมนุษย์ไม่อาจตัดขาดความใฝ่หา (eros) ได้ สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับมัน มิใช่ทำลายหรือปฏิเสธ

สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16: พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงเสนอแนวคิดเรื่องความรักไว้อย่างลุ่มลึกในสมณสาสน์ Deus Caritas Est (“พระเจ้าทรงเป็นความรัก”, ค.ศ. 2005) พระองค์ทรงชี้ว่าแม้ eros และ agape จะมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งสองอย่าง “ไม่อาจแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง” หากแต่เป็นสองมิติของความรักอันสมบูรณ์หนึ่งเดียวที่มนุษย์พึงมี เบเนดิกต์ที่ 16 ทรงยืนยันว่าคริสตศาสนาไม่ได้ทำลายหรือวางยาพิษ eros ดังที่ไนเชอหรือผู้วิจารณ์ยุคตรัสว่า “คริสตจักรวางยาพิษความรักเสน่หา” แต่กลับเยียวยาและยกระดับ eros ให้กลับคืนสู่ศักดิ์ศรีที่แท้จริงvatican.vavatican.va พระองค์ทรงอธิบายว่าในวัฒนธรรมกรีกโบราณ eros มักถูกเทิดทูนดั่ง “ความบ้าคลั่งศักดิ์สิทธิ์” ที่ครอบงำมนุษย์ (ดังคำกล่าว omnia vincit amor หรือ “ความรักชนะทุกสิ่ง” ของกวีโรมัน) แต่คริสตศาสนามิได้ปฏิเสธ eros ในฐานะพลังดึงดูด หากปฏิเสธการบูชา eros แบบผิดทิศทาง (เช่น ลัทธิบูชาทางเพศในวิหารที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสตัณหา)vatican.vavatican.va พระคัมภีร์ยืนยันว่า eros ที่ปราศจากการควบคุมตามใจใคร่อย่างบ้าคลั่งจะไม่นำมนุษย์ให้ก้าวขึ้นสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากจะฉุดมนุษย์ให้ตกต่ำ (เป็น “การเสื่อม” แทนที่จะเป็น “การขึ้นสูง” สู่พระเจ้า) ดังนั้น eros ต้องการการฝึกฝนวินัยและการชำระให้บริสุทธิ์ (disciplined and purified) เพื่อที่มันจะไม่ใช่เพียงความรื่นรมย์ชั่วคราว แต่กลายเป็น “การลิ้มรสล่วงหน้าแห่งความสุขสูงสุดของการดำรงอยู่อย่างเต็มบริบูรณ์”vatican.va พระสันตะปาปาทรงกล่าวว่า eros โดยตัวมันเองคือแรงขับที่พามนุษย์ออกนอกตนเอง (“extasis” อันเป็นคุณลักษณะของ eros) มุ่งไปหาสิ่งดีงามและพระเจ้า แต่ eros จะบรรลุถึงศักดิ์ศรีสูงสุดได้ก็ต้องดำเนินไปบน “หนทางขึ้นสู่ที่สูง อาศัยการสละตน การชำระและการเยียวยา” (path of ascent, renunciation, purification, and healing) กล่าวคือ eros ต้องหลอมรวมกับ agape คือได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยความรักเมตตาแห่งพระเจ้า เมื่อรักเสน่หาได้รับการกล่อมเกลาภายในความรักเสียสละเช่นนี้ มนุษย์จึงจะรักได้อย่างสมดุลทั้งกายและวิญญาณ และความรักของมนุษย์ก็จะสะท้อนความรักของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ในทัศนะของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ eros และ agape จึงมิใช่ความรักคนละประเภทที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หากแต่เป็นสองด้านของความรักหนึ่งเดียวที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์รู้จัก ซึ่งทั้งด้านการดึงดูดแสวงหา (eros: รักแบบมนุษย์ที่โหยหาพระเจ้าและผู้อื่น) และด้านการให้โดยเปล่าประโยชน์ (agape: รักแบบพระเจ้าที่มอบแก่ผู้อื่น) ล้วนจำเป็นต่อกันและกัน ความรักแท้ต้องประกอบด้วยทั้งการได้รับและการให้ ดังที่เบเนดิกต์ที่ 16 ทรงสรุปว่า “eros และ agapeความรักซึ่งขึ้นสูงและความรักซึ่งลงต่ำ — ไม่เคยถูกแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์” แต่ทั้งสองหลอมรวมเป็นความรักที่ครบถ้วนในแผนการณ์ความรักของพระเจ้า

คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกเกี่ยวกับความรัก

พระศาสนจักรคาทอลิกได้สืบทอดความเข้าใจเรื่องความรักทั้งสองมิติผ่านทางคำสอนและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนและยืนยันถึงคุณค่าของ agape ในขณะเดียวกันก็มิได้ละทิ้งมิติของ eros แต่เน้นการยกระดับให้ถูกต้อง

คำสอนในหนังสือคำสอนฯ (Catechism of the Catholic Church): หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกได้กล่าวถึงคุณธรรมแห่งความรัก (เมตตาธรรม) ว่าเป็นคุณธรรมทางเทวศาสตร์สูงสุด และยังได้ให้นิยามความรักตามแนวคิดของนักบุญโธมัส อไควนัสว่า “การรักคือการประสงค์ดีต่อผู้อื่น” (to love is to will the good of the other)ctrummer.blogspot.com ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความรักในทรรศนะคาทอลิกไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรืออารมณ์ แต่เป็นการตัดสินใจของเจตจำนงที่จะทำความดีแก่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว คำสอนข้อที่ 1766 ของหนังสือคำสอนฯ กล่าวไว้ชัดเจนถึงคำนิยามนี้ และย้ำว่าความรักมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ต่อเมื่อมีรากฐานอยู่ในความรักของพระเจ้าที่ปราศจากเงื่อนไข นอกจากนี้ หนังสือคำสอนฯ ภาคที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตสมรสและความรักในครอบครัวยังสอนว่า “พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยความรัก ทรงเรียกมนุษย์ให้รัก ซึ่งเป็นกระแสเรียกพื้นฐานดั้งเดิมของมนุษย์... เพราะมนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก” (เทียบ คำสอนฯ ข้อ 1604) นี่สะท้อนว่าความรักแบบ eros (เช่น ความรักฉันสามีภรรยา) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างของพระเจ้า แต่ต้องดำเนินในแนวทางที่สอดคล้องกับความรักแบบ agape คือรักกันด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และเปิดรับใหม่ (ในการให้กำเนิดบุตร) ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์

Youcat (Youth Catechism): Youcat ซึ่งเป็นหนังสือคำสอนฉบับเยาวชนของพระศาสนจักร ได้อธิบายเรื่องความรักไว้อย่างเข้าใจง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ ในหัวข้อ “ความรักคืออะไร” Youcat สรุปว่าความรักคือ “การมอบหัวใจตนเองให้ผู้อื่นอย่างเสรี” และกล่าวว่า “รูปแบบความรักที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้คือความรักระหว่างชายหญิงที่ทั้งสองคนมอบตัวเองให้แก่กันและกันตลอดไป ความรักของมนุษย์ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนหนึ่งของความรักพระเจ้า... ยิ่งมนุษย์รักมากเท่าใด เขาก็ยิ่งเหมือนพระเจ้ามากเท่านั้น” ข้อความนี้เน้นย้ำว่าแม้ eros (ความรักระหว่างชายหญิง) จะเป็นรูปแบบความรักที่งดงามบนพื้นโลก แต่สุดท้ายแล้วความรักทั้งมวลย่อมสะท้อนถึง agape คือความรักของพระเจ้าที่ไม่สิ้นสุด การที่คนสองคนสัญญาจะรักกันตลอดไป (เช่น ในศีลสมรส) เป็นภาพแทนของความรักนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงมีและทรงเชิญชวนเราเข้าร่วม ยิ่งไปกว่านั้น Youcat ยังสอนด้วยว่าความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึกหวือหวาชั่วคราว แต่เป็นการตัดสินใจและคำมั่นที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อคนที่เรารัก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดความรักแบบ agape ที่เน้นการให้ด้วยเจตจำนงและความซื่อสัตย์

เอกสารคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปา: นอกจาก Deus Caritas Est ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่กล่าวถึงแล้ว พระสันตะปาปาพระองค์อื่นๆ ก็ได้ให้คำสอนเรื่องความรักที่สอดคล้องกับแนวคิด eros และ agape เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโล ที่ 6 ในสมณสาสน์ Humanae Vitae (ค.ศ. 1968) ได้กล่าวถึง “ความรักคู่สมรส” ว่าต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของความรักฝ่ายกาย (eros) ที่อยู่ภายใต้คุณค่าทางจริยธรรมและการเปิดรับชีวิต ซึ่งทำให้ความรักนั้นเป็นความรักที่ครบถ้วนและซื่อสัตย์ (สะท้อน agape) สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงสอนเรื่อง “ความรักและความรับผิดชอบ” (Love and Responsibility) และอธิบายในการเทศนา Theology of the Body ว่าความรักแบบเพศสัมพันธ์ (eros) ไม่ใช่สิ่งไม่ดี หากแต่เป็นของประทานที่พระเจ้าประทานมาเพื่อให้ชายหญิงมอบตนเองแก่กัน ฉะนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพศักดิ์ศรีอีกฝ่ายและการอุทิศตนเอง (self-donation) ซึ่งทำให้ eros นั้นกลายเป็นการแสดงออกของ agape ในชีวิตสมรส เอกสารเหล่านี้ตอกย้ำจุดยืนของพระศาสนจักรที่ว่า ความรักของมนุษย์จะงดงามที่สุดเมื่อความรักแบบ eros ของเราถูกหลอมรวมอยู่ในความรักแบบ agape กล่าวคือ มีทั้งความหลงใหลและความเสียสละ ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

มุมมองทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ Eros และ Agape

แนวคิดจิตวิทยาคลาสสิก: วงการจิตวิทยาเองก็ได้พยายามจำแนกประเภทของความรักที่มนุษย์มีต่อกัน นักจิตวิทยาสังคมบางคนได้หยิบยืมคำกรีกโบราณมาใช้อธิบายรูปแบบความรัก เช่น John Lee (1973) เสนอทฤษฎี “รูปแบบความรัก 6 แบบ” (Love Styles) ซึ่งสองในหกรูปแบบนั้นคือ eros และ agape โดยนิยามว่า ความรักแบบเสน่หา (Eros) คือความรักที่เกิดแรงดึงดูดใจอย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ต่อคนรัก มีความหลงใหลโรแมนติกและผูกพันลึกซึ้งรวดเร็ว  ผู้ที่มีสไตล์รักแบบนี้มักเปิดเผยความรู้สึกตรงไปตรงมาและพร้อมจะทุ่มเทให้ความสัมพันธ์อย่างเต็มที่ ขณะที่ ความรักแบบเสียสละ (Agape) เป็นความรักที่ผู้รักมุ่งจะ “ให้” มากกว่า “รับ” คำนึงถึงความสุขและประโยชน์ของคนที่ตนรักเป็นสำคัญ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่เรียกร้องและพร้อมให้อภัย ถือว่า “การให้” คือหัวใจสำคัญของความรักประเภทนี้ มุมมองนี้สอดคล้องกับความเข้าใจทั่วไปในทางจิตวิทยาว่า eros คือรักใคร่แบบหลงใหล (passionate love) ส่วน agape คือรักเมตตาแบบเอื้ออาทร (altruistic love) ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น นักจิตวิทยาพบว่าผู้ที่มีทัศนคติความรักแบบ agape สูง มักแสดงออกถึงความเมตตา กรุณา และความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่า ส่วนผู้ที่ยึดความรักแบบ eros อย่างเดียวอาจมีความเสี่ยงที่จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางหรือคาดหวังความพึงพอใจส่วนตนมากกว่า อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าความรักในความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาวะนั้นควรผสมผสานทั้งสองด้าน คือมีทั้งความหลงใหลและความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เช่น ทฤษฎีความรักสามเส้าของ Sternberg (1986) ระบุว่าความรักสมบูรณ์ประกอบด้วย “ความเสน่หา” (passion - ใกล้เคียง eros), “ความสนิทสนม” (intimacy - ใกล้เคียง philia) และ “ความผูกพันยั่งยืน” (commitment - ซึ่งต้องอาศัย agape ในการให้คำมั่นแม้ยามทุกข์ยาก) การมีทั้งสามองค์ประกอบนี้ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงและเติมเต็ม

มุมมองจิตวิทยาเชิงบวกและการวิจัย: จิตวิทยายุคใหม่ให้ความสนใจกับแนวคิด “ความรักกรุณา” (compassionate love หรือ altruistic love) ซึ่งใกล้เคียงกับ agape โดยหมายถึงความรักที่ประกอบด้วยความห่วงใยลึกซึ้งต่อผู้อื่น ไม่จำกัดเฉพาะคนรักหรือครอบครัว แต่รวมถึงความเมตตาต่อมนุษยชาติทั่วไป นักวิจัยพบว่าความรักลักษณะนี้ส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตและความสุขของปัจเจกบุคคล เพราะการให้และเห็นผู้อื่นมีความสุขก่อให้เกิดความพึงพอใจทางใจรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้ งานศึกษาด้านความผูกพัน (attachment theory) ยังชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างรูปแบบความรักกับประสบการณ์ชีวิตตอนต้น เช่น การมีรูปแบบความผูกพันที่มั่นคง (secure attachment) มักสัมพันธ์กับการที่บุคคลสามารถรักผู้อื่นอย่างมั่นคงและเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น (other-focused love) ในระดับสูง มากกว่า ในทางตรงข้าม ผู้ที่มีความผูกพันไม่มั่นคง (เช่น หลีกเลี่ยงหรือวิตกกังวล) มักมีแนวโน้มจะแสวงหาความรักเพื่อตอบสนองตนเองหรือมีความต้องการครอบครองสูงกว่า งานวิจัยโดย Scrofani (2012) พบว่าคนที่ผูกพันมั่นคงแสดงพฤติกรรมในความสัมพันธ์แบบ “มุ่งผู้อื่น” สูง กล่าวคือใส่ใจความต้องการและประโยชน์ของคู่ตน ส่วนคนที่ผูกพันไม่มั่นคงจะแสดงพฤติกรรม “มุ่งตนเอง” มากกว่าและมีแนวโน้มใช้อารมณ์ด้านลบหรือการควบคุมในความสัมพันธ์มากกว่า  สิ่งนี้สอดคล้องกับมุมมองทางคริสต์ศาสนาที่ว่า การได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่วัยเยาว์ (เช่น ความรักจากพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาแบบ agape) จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่รักผู้อื่นเป็น และไม่จมอยู่กับการแสวงหาการเติมเต็มความรักเพื่อตนเองฝ่ายเดียว

จิตวิทยาในบริบทคริสต์: นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาทางคริสตศาสนาหลายคนได้บูรณาการแนวคิดเรื่องความรักแบบ agape เข้ากับการบำบัดและการอภิบาลจิตใจ แนวคิดเรื่อง “ความรักไร้เงื่อนไข” (unconditional love) ถือเป็นแกนสำคัญในการบำบัดแนวของ Carl Rogers ที่เรียกว่า Unconditional Positive Regard ซึ่งหมายถึงท่าทีรับฟังและยอมรับผู้รับการปรึกษาอย่างไม่มีเงื่อนไข นักวิชาการคริสต์มองว่าท่าทีนี้เป็นภาพสะท้อนของความรักแบบ agape ของพระเจ้าที่ทรงรักมนุษย์โดยไม่ขึ้นกับความดีความชอบ พระสงฆ์หรือนักบำบัดคริสเตียนบางท่านพบว่าการที่ผู้เข้ารับการบำบัด “รู้สึกว่าตนเป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์จากผู้มีอำนาจสูงสุดที่ตนศรัทธา” (เช่น ประสบการณ์การรับรู้ความรักของพระเจ้า) สามารถส่งผลเยียวยาบาดแผลในจิตใจได้อย่างลึกซึ้ง  การวิจัยของ Sparrow (2008) ระบุว่าผู้ที่รายงานว่าตนมีประสบการณ์ฝ่ายจิตที่รู้สึกถึงการพบพระเจ้าหรือพลังเหนือธรรมชาติที่เมตตาตน มักบรรยายว่าพระผู้เป็นเจ้าทรง “รู้จักฉันอย่างลึกซึ้งและรักฉันโดยปราศจากเงื่อนไข” สิ่งนี้สร้างผลทางจิตใจคือทำให้บุคคลเกิดความมั่นคงและความหวัง เห็นคุณค่าในตนเองผ่านสายพระเนตรของพระเจ้าผู้ทรงรักเขา  ในมุมนี้ จิตวิทยาคริสต์ชี้ว่าการเปิดตนเองรับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าที่เป็น agape สมบูรณ์ จะช่วยมนุษย์ให้สามารถรักผู้อื่นได้ดีขึ้น เพราะเมื่อมนุษย์รู้ว่าตนเป็นที่รัก เขาย่อมพร้อมจะเผื่อแผ่ความรักนั้นต่อไปยังผู้อื่น ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงรักกันและกันเหมือนที่เรารักท่าน” ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ต้องรับความรักจากพระองค์ก่อน จึงจะรักผู้อื่นในมาตรฐานเดียวกันได้

บทสรุป

จากการสำรวจทั้งมิติพระคัมภีร์ เทววิทยา คำสอนพระศาสนจักร และจิตวิทยา จะเห็นได้ว่า eros และ agape เป็นแนวคิดเรื่องความรักที่มีความหมายต่างกันแต่เกื้อกูลกันในชีวิตมนุษย์ Eros แทนความรักแบบมนุษย์ที่มีแรงปรารถนาและความหลงใหล ซึ่งเป็นพลังขับดันให้เราก้าวออกจากตัวเองไปสู่อีกคนหนึ่งหรือสู่อุดมคติที่สูงกว่า ขณะที่ Agape เป็นความรักที่เป็นแบบอย่างของพระเจ้า คือการรักที่พร้อมจะให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและมุ่งความดีของผู้อื่นเป็นสำคัญ พระคัมภีร์เน้นความใหม่ของข่าวดีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” และทรงเรียกร้องให้เรารักแบบ agape แต่ก็มิได้ละทิ้งมิติของ eros หากแต่เชื้อเชิญให้เรานำ eros นั้นมาสู่ความครบครันผ่านการชำระและการหลอมรวมเข้ากับ agape ในทำนองเดียวกัน นักบุญออกุสตินและอไควนัสได้ชี้ให้เห็นว่าความใฝ่หารักแท้ของมนุษย์จะพบความสงบได้เมื่อมุ่งไปหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นจุดหมายของความรัก และการรักผู้อื่นอย่างถูกต้องย่อมหมายถึงการหวังดีต่อเขาด้วยใจบริสุทธิ์ (caritas) ไม่ใช่รักเพื่อประโยชน์ตนเองฝ่ายเดียว ข้อสรุปนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ทรงสอนว่าความรักที่แท้จริงต้องประกอบด้วยทั้ง eros และ agape ที่หลอมรวมกันอย่างกลมกลืน มนุษย์ต้องการทั้งความรักเชิงหลงใหลและความรักเชิงเมตตาเพื่อให้หัวใจได้รับการเติมเต็มและยกระดับขึ้นสู่ความรักในระดับที่ใกล้เคียงกับพระเจ้ามากขึ้น

ในภาคปฏิบัติของชีวิต ความรักแบบ eros เช่นในความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาหรือคู่รัก ย่อมต้องการคุณค่าของ agape มาประคับประคองให้ความรักนั้นยืนยาวและเปี่ยมความหมาย คือมีการให้ การเสียสละ การให้อภัย และความซื่อสัตย์ ขณะเดียวกัน ความรักแบบ agape ในสังคมก็ต้องอาศัยแรงขับของ eros ในความหมายกว้าง คือแรงปรารถนาที่จะเห็นสิ่งดีงามเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น แรงดลใจที่จะทำกิจการรักเพื่อนมนุษย์อย่างกระตือรือร้น มิใช่ความรักที่แห้งแล้งแต่เป็นความรักที่มีชีวิตชีวา จะเห็นได้ว่าทั้ง eros และ agape ล้วนมีส่วนในการทำให้ความรักของมนุษย์สมบูรณ์และสะท้อนถึงธรรมชาติของพระเจ้า

ดังนั้น ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจึงเป็นความรักที่รวมเอาหัวใจของ eros และจิตวิญญาณของ agape เข้าไว้ด้วยกัน คือความรักที่ทั้งปรารถนาอย่างลึกซึ้งและพร้อมให้อย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่มนุษย์สัมผัสได้ทั้งในมิติของชีวิตคู่ การครองเรือน มิตรภาพ ตลอดจนการรักเพื่อนมนุษย์ทั่วไป และท้ายที่สุดความรักนั้นเองจะนำเรากลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักนิรันดร

เชิงอรรถและบรรณานุกรมเบื้องต้น

1.     พระคัมภีร์ไบเบิล (ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่), ฉบับอมตธรรมและฉบับคาทอลิกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง.

2.     Augustine, Confessions (อ้างถึงคำกล่าวในเล่ม 1 ที่ว่า “Our hearts are restless until they rest in You.”)newadvent.org

3.     Thomas Aquinas, Summa Theologiae I-II, Q.26 (อภิปรายเรื่องความรักแบ่งเป็นรักฉันมิตรภาพและรักแบบใคร่)newadvent.orgnewadvent.org

4.     Anders Nygren, Agape and Eros (1930, แปลอังกฤษ 1953) – แนวคิดเปรียบเทียบความรักสองรูปแบบในคริสตศาสนาen.wikipedia.orgen.wikipedia.org

5.     สมณสาสน์ Deus Caritas Est ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 (ค.ศ. 2005) – ว่าด้วยความรักคริสตชน โดยเฉพาะย่อหน้าที่ 3-5 กล่าวถึง eros และ agapevatican.vathefreelibrary.com

6.     Catechism of the Catholic Church (1992) – ดูข้อ 1766 (คำนิยามความรักตามอไควนัส) และส่วนที่ว่าด้วยศีลสมรสctrummer.blogspot.com

7.     Youcat: Youth Catechism of the Catholic Church (2011) – หัวข้อ “What is love?” (ข้อ 402) อธิบายความรักในภาษาที่เข้าถึงเยาวชนslideserve.com

8.     บทความ “Eros and Agape” โดย Dr. Alice von Hildebrand, ใน Catholic Culture Librarythefreelibrary.comthefreelibrary.com (อภิปรายความรักคู่สมรส vs ความรักเพื่อนมนุษย์ และคำศัพท์ละตินที่เกี่ยวข้อง)

9.     บทความ “The 5 Love Categories: Do You Really Know What Love Is?” โดย Dr. Robert Enright, Psychology Today (2021)psychologytoday.compsychologytoday.comกล่าวถึงประเภทความรักตามแนวคิดกรีกและเพิ่ม “compassionate love”.

10.  บทความ “Agape Love: How to Love Unconditionally” โดย Kendra Cherry, Verywell Mind (2023)verywellmind.comverywellmind.comอธิบายลักษณะความรักแบบ agape ในมุมมองจิตวิทยาสมัยใหม่.

11.  บทความ “รูปแบบความรัก – Love Styles” (2025) โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยpsy.chula.ac.thpsy.chula.ac.thอธิบายความรัก 6 รูปแบบ (เสน่หา, เล่นเกม, มิตรภาพ, ปฏิบัติ, ลุ่มหลง, เสียสละ) ในเชิงจิตวิทยาสังคมร่วมสมัย.

12.  Sparrow, G. (2008) – งานวิจัยด้านจิตบำบัดเรื่องประสบการณ์ทางศาสนากับการเยียวยาจิตใจ (อ้างในบทความ The Art of Love: A Roman Catholic Psychology of Love)thefreelibrary.com

13.  Scrofani, J. (2012) – งานวิจัยด้านความผูกพันและพฤติกรรมรักแบบมุ่งผู้อื่น (อ้างในบทความ The Art of Love: A Roman Catholic Psychology of Love)thefreelibrary.com

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น